ตอนที่ 951 กระบี่ขู่หลุน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ปราณสีแดงอ่อนสายหนึ่งลอยออกมาจากขนแผงคอสีเลือดกำน้อย ผสานเข้าไปในคลื่นไหวกระเพื่อมสีดำอย่างเชื่องช้า

ดวงตาของหลิ่วหมิงเกิดคลื่นไหวกระเพื่อมสีดำชั้นหนึ่งราวกับตอบรับ

หลังจากเข้ามาในเศษซากโลกบน เขาผ่านการต่อสู้เข่นฆ่าติดกันมาหลายครั้ง ไม่ว่าสภาพจิตใจหรือพลังก็ตกผลึกไม่น้อย เวลานี้ใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณจึงไม่เพียงไม่กินแรงอย่างก่อนหน้านี้ ตรงกันข้ามระยะทางที่สัมผัสได้กลับเพิ่มมากกว่าเดิมมาก

“ตามมาแล้วจริงๆ…” ดวงตาของหลิ่วหมิงส่องสว่างวูบหนึ่งจากนั้นเขาก็เก็บแขนที่ยื่นออกมากลับไป วงกระเพื่อมสีดำกะพริบวูบหนึ่งแล้วสลายไป ร่างจริงขยับวูบเดียวกลายเป็นเงาลวงสี่ร่างแยกย้ายไปสี่ทิศพุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว แทบจะหายลับขอบฟ้าไปในพริบตา

เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง ลำแสงสีเลือดเส้นหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วมาจากไกลๆ มันส่องสว่างวูบหนึ่งก่อนจะเผยร่างของจี๋อิ่ง

เขากวาดจิตสัมผัสไปรอบด้านแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลสีครามแผ่นหนึ่งออกมา

แสงสีครามกะพริบบนแผ่นค่ายกลอยู่พักหนึ่ง เสียงของสตรีที่แผ่วเบาแทบไม่ได้ยินหลายประโยคก็ดังขึ้น เหมือนจะเป็นหลานซือที่แจ้งอะไรบางอย่าง

จี๋อิ่งได้ยินก็หัวเราะหยันแล้วกลายเป็นรุ้งสีเลือดเส้นหนึ่งแหวกอากาศไปอีกครั้ง ทิศทางที่มุ่งไปก็คือทิศทางที่หลิ่วหมิงตัวจริงหลบหนี

หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างไปพันกว่าลี้กำลังเหาะไปด้านหน้าอย่างรีบร้อนขณะที่ใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณไปด้วย คลื่นไหวกระเพื่อมเป็นระลอกในดวงตา

“จี๋อิ่งผู้นี้ไม่รู้ใช้วิชาลับสะกดรอยอันใดถึงสัมผัสตำแหน่งที่แท้จริงของข้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่า” หลิ่วหมิงสีหน้าย่ำแย่

หลังจากเขาสำเร็จเคล็ดวิชาเงาสามส่วนขั้นปลาย ปราณของเงาลวงทั้งสี่ร่างที่แยกออกมาก็เหมือนกันทุกประการ เมื่อมีพลังจิตมหาศาลของเขาเกื้อหนุน ผู้ฝึกฝนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ต่ำกว่าระดับดาราพยากรณ์ล้วนแยกไม่ออกอย่างสิ้นเชิง

ก่อนหน้านี้ยามต่อสู้ประชิดถูกมองออกยังมีเหตุผลเข้าใจได้ แต่ยามนี้ระยะทางห่างไกลเช่นนี้ยังถูกอีกฝ่ายมองออกอย่างง่ายดายอีก นี่ไม่มีเหตุผลอยู่บ้างแล้ว

เมื่อคิดได้เช่นนี้ความเร็วลำแสงของเขาก็เร็วขึ้นอีกเล็กน้อยจนกลายเป็นดาวตกสีเงินสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป

หลิ่วหมิงไม่สังเกตเลยว่าในป่าทึบข้างใต้ลำแสงมีแสงสีฟ้าส่องสว่างบนต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง บนลำต้นปรากฏใบหน้าดวงหนึ่งออกมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้านั้นแลดูพร่ามัวอยู่บ้าง มีเพียงดวงตาสองข้างที่ทอแสงจิตวิญญาณระยิบระยับ ดวงตาใสกระจ่างดุจอัญมณีสีฟ้ากำลังมองทิศทางที่ลำแสงของหลิ่วหมิงมุ่งจากไปไกลอย่างไม่ละสายตา

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นใบหน้านั้นก็ค่อยๆ จมลงไปในลำต้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ห่างไปด้านหลังหลายพันลี้แผ่นค่ายกลสีครามในมือจี๋อิ่งสั่นไหว แสงสีครามเรืองๆ เปล่งออกมาอีกครั้ง เสียงของสตรีดังเลือนรางจากกลางแสงสีครามอีกหน

“ฮ่ะๆ ข้าจะดูซิว่าเจ้ายังจะหนีไปไหนได้?” จี๋อิ่งฟังแล้วก็หัวเราะเหี้ยมเหรียม ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากพ่นแสงสีแดงสายหนึ่งออกมา ท่ามกลางแสงสีแดงคือผลึกสีเลือดทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนชิ้นหนึ่ง ทันทีที่เรียกออกมาเส้นไหมแวววาวเล็กละเอียดมากมายนับไม่ถ้วนก็ยืดออกมาล้อมร่างกายเขาไว้

อึดใจต่อมาทั้งร่างของเขาก็กลายเป็นแสงสีเลือดแสบตาดวงหนึ่ง เห็นเงาหมาป่าตัวหนึ่งมีสายลมประคองขาทั้งสี่ข้างอยู่เลือนราง แสงสีเลือดส่องสว่างวูบเดียวก็พุ่งผ่านระยะทางร้อยกว่าจั้งด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเกือบครึ่งเท่า

เมื่อหลิ่วหมิงใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณสัมผัสตำแหน่งของจี๋อิ่งอีกครั้งก็พบว่าความเร็วลำแสงของจี๋อิ่งเพิ่มขึ้นมากอย่างฉับพลัน เวลาทั้งหมดไม่ถึงครึ่งก้านธูป ระยะห่างของทั้งสองคนก็ใกล้เข้ามามากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว

“สมควรตาย!”

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที  แม้ตนมีโอสถที่เสริมพลังเวทได้ไม่น้อย แต่ความเร็วของจี๋อิ่งเดิมทีก็เร็วมากอยู่แล้ว ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนกำลังย่นเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

บนหน้าเขาเผยสีหน้าลังเลเล็กน้อยแต่จากนั้นก็กัดฟันตบเบาๆ ข้างเอว ประกายแสงสีเงินส่องสว่างก่อนที่ฝักกระบี่ว่างเปล่าจะลอยออกมา จากนั้นเขาก็ฉีกยันต์สีเงินที่แปะอยู่ด้านบนออก

ฟึบ! กระบี่น้อยสีทองขนาดไม่กี่ชุ่นเล่มหนึ่งพุ่งออกมา

เขายิงเคล็ดกระบี่หลายสายออกไปอย่างต่อเนื่อง กระบี่น้อยสีทองพลันเปล่งแสงสีทองแสบตาแล้วขยายขนาดกลายเป็นกระบี่ยักษ์ยาวหลายจั้งเล่มหนึ่ง รอบตัวกระบี่เปล่งประกายสีฟ้าระยิบระยับ

เปรี้ยง!

ทันใดนั้นกระบี่ยักษ์สีทองก็สาดแสงสีทองสายหนึ่งหุ้มร่างกายของเขาแล้วกลายเป็นรุ้งกระบี่น่าตะลึงสายหนึ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงกะพริบวูบเดียวก็กลายเป็นจุดแสงจุดหนึ่งหายลับไปตรงขอบฟ้า

ความเร็วยามนี้เร็วกว่าก่อนหน้าเกือบหนึ่งเท่า!

หลิ่วหมิงยืนอยู่บนกระบี่ยักษ์อย่างมั่นคง หูได้ยินเสียงหวีดหวิวของกระบี่ดังชัด ทุกสิ่งรอบด้านพร่าเลือน ความเร็วนี่เร็วเกินไปอย่างแท้จริงจนทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกว่าควบคุมกระบี่ยักษ์ไม่อยู่เล็กน้อย

เขาเพิ่งเคยใช้วิชาขี่กระบี่กับลูกกลอนกระบี่เป็นครั้งแรก เทียบกับยามเป็นต้นแบบอาวุธเวทมันเร็วกว่ามากนักจริงๆ

หลิ่วหมิงแรกสุดตกตะลึง แต่จากนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง

ทว่าในตอนนั้นเองเสียงสั่นไหวแผ่วเบาก็ดังแทรกมากับเสียงหวีดหวิดใสกังวานของกระบี่

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วจากนั้นก็ถอนหายใจ

พลังจิตวิญญาณของลูกกลอนกระบี่ยังไม่มั่นคงโดยสมบูรณ์ หลายวันก่อนเขาฝืนเรียกมันออกมาครั้งหนึ่งเพื่อสังหารมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ วันนี้ก็เรียกออกมาใช้อีกครั้ง หากใช้นานเข้าเกรงว่าพลังจิตวิญญาณของลูกกลอนกระบี่คงเสียหาย

ในใจหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ มือก็พลิกเรียกกระบี่บินธาตุสายฟ้าที่เคยใช้คุมค่ายกลซึ่งเขาได้จากในท้องของอสูรยักษ์เล่มนั้นออกมา

ตัวกระบี่ยาวหนึ่งฉื่อกว่ามีเส้นสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งแลบออกมาเป็นระยะ เห็นชัดว่าพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม

กระบี่เล่มนี้หากมองเพียงคุณสมบัติน่าจะสูสีกับกระบี่ว่างเปล่ายามเป็นต้นแบบอาวุธเวท

เมื่อสายตาของเขาเคลื่อนไปจับที่ด้ามกระบี่ก็ตกตะลึง

ตอนที่เขาเอามันออกมาจากดวงตาค่ายกลของค่ายกลไหมครามจตุรทิศเขาไม่ทันสังเกตว่าด้ามกระบี่ของกระบี่เล่มนี้สลักอักขระโบราณสีเงินไว้สองตัว

“ขู่หลุน!”

หลิ่วหมิงเอ่ยออกมาแผ่วเบาจากนั้นก็อ้าปากพ่นพลังเวทสายหนึ่งให้วนเวียนรอบกระบี่บิน ตั้งใจว่าจะขี่กระบี่เหาะไปพลางผูกพันธะไปด้วย

……

สองวันหลังจากนั้นบนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวผ่องแห่งหนึ่ง แสงกระบี่ที่ทอประกายสีม่วงสายหนึ่งก็เหาะมาจากไกลๆ แล้วร่อนลงบนยอดเขาลูกหนึ่งในนั้น

ประกายแสงสีม่วงดับลงเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา แสงกระบี่สีม่วงกลายเป็นกระบี่บินยาวหนึ่งฉื่อกว่าเล่มหนึ่งอีกครั้งก่อนจะจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขาดังฟึบ

เวลานี้หลิ่วหมิงหน้าซีดเผือดเล็กน้อย เขารีบล้วงโอสถเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไป หลังจากผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง สีหน้าของเขาจึงดีขึ้นมาบ้าง

เมื่อหันหลังกลับไปมองทางที่มา สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เคร่งขรึมอย่างยิ่ง

สองวันที่ผ่านมานี้เขาเล่นไล่จับเหมือนแมวจับหนูกับจี๋อิ่งมาตลอด เพราะเรียกลูกกลอนกระบี่ออกมาใช้วิชาขี่กระบี่ซื้อเวลา ในที่สุดเขาจึงทำพันธะกับกระบี่ขู่หลุนเล่มนี้ในขั้นต้นสำเร็จแล้ว

หลังจากนั้นใช้วิชาขี่กระบี่ด้วยกระบี่เล่มนี้พร้อมการสนับสนุนของเคล็ดวิชาเกราะอสูร ในที่สุดเขาจึงรักษาระยะห่างจากลำแสงของจี๋อิ่งได้พอสมควร เมื่อรวมกับที่เขาเป็นฝ่ายนำอยู่ เขาจึงไม่กลัวจี๋อิ่งไล่ตามทันในชั่วครู่ชั่วยาม

ทว่าจี๋อิ่งผู้นี้กัดไม่ปล่อยผิดคาด ไม่ว่าหลิ่วหมิงจะเปลี่ยนทิศทางอย่างใดหรือใช้ยันต์สนับสนุนเพิ่มความเร็ว เขาก็ไล่ตามอยู่ด้านหลังติดๆ มาตลอด ไม่มีท่าทีจะยอมแพ้แม้แต่น้อย

“เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่ทางแก้…” หลิ่วหมิงสัมผัสได้ว่าพลังเวทในร่างกำลังฟื้นคืนมาอย่างช้าๆ สีหน้าของเขาดีขึ้นมาบ้างขณะที่เอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“กี๊ซ!”

เงาสีเทาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากหลังก้อนหินไม่ไกล กิ้งก่าสีเทาขนาดเท่าอ่างล่างหน้าตัวหนึ่งอ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมขย้ำเข้าใส่น่องของหลิ่วหมิงอย่างดุร้ายยิ่งนัก

หลิ่วหมิงตกใจจนขนลุก เขางอนิ้วดีดครั้งหนึ่ง ปราณกระบี่สีม่วงสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกจากนิ้ว ยิงลงบนร่างกิ้งก่าสีเทา ฟันมันปลิวออกไป

กิ้งก่าสีเทากลิ้งบนพื้นหลายตลบ เกล็ดบนแผ่นหลังแตกกระจุย บาดแผลยาวเส้นหนึ่งเลือดไหลออกมาไม่หยุด มันดิ้นรนอยู่ไม่กี่ครั้งก็ลุกขึ้นใหม่อีกครั้งแล้วคำรามดุร้ายใส่หลิ่วหมิง

ดวงตาหลิ่วหมิงฉายแววประหลาดใจ แม้เมื่อครู่เขาเพียงโจมตีส่งๆ ครั้งหนึ่ง แต่ปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณก็ไม่แน่ว่าจะทนรับไหว คลื่นพลังปีศาจบนร่างกิ้งก่าสีเทาตัวนี้ไม่รุนแรงแต่ร่างกายกลับทนทานปานนี้

ขณะที่เขากำลังคิดจะสังหารกิ้งก่าตัวนี้ เสียงตุ้บก็ดังขึ้นเป็นพรวน ด้านหลังก้อนหินยักษ์ที่อยู่ไม่ไกล กิ้งก่าสีเทาหน้าตาเหมือนกันทุกประการฝูงหนึ่งกระโดดออกมามากถึงหลายสิบตัว พวกมันกรีดร้องแล้วโถมเข้ามาด้านนี้อย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงสีหน้าตกตะลึง ร่างกายเหาะขึ้นไปกลางอากาศทันที

กิ้งก่าสีเทาเหาะไม่ได้ พวกมันอ้าปากกว้างร้องคำรามใส่หลิ่วหมิงที่ลอยอยู่กลางอากาศไม่หยุด

หลิ่วหมิงสีหน้าย่ำแย่อยู่บ้าง ปีศาจอสูรประหลาดนานาชนิดในเศษซากโลกบนเรียกได้ว่ามีไม่หมดไม่สิ้น ระหว่างทางที่เขาหนีมานี้ก็พบเจอไม่น้อย หากหลบหนีการตามล่าของจี๋อิ่งเช่นนี้ต่อไป ใครจะรู้ว่าจะพบเรื่องยุ่งยากอะไรอีก หากไม่ทันระวังหนีเข้าไปในรังของอสูรโบราณดึกดำบรรพ์อะไรเข้า เขาคงตายโดยที่ยังไม่รู้ว่าตายได้อย่างไรแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้บนใหน้าของหลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าแน่วแน่ ปากเอ่ยท่องมนตร์ใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณออกมา เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าเวลานี้จี๋อิ่งอยู่ห่างจากเขาไปสามสี่พันลี้และกำลังเหาะมาอย่างรวดเร็ว

ด้วยความเร็วของจี๋อิ่ง คาดว่าใช้เวลาไม่นานก็คงตามมาทันถึงที่นี่

สีหน้าเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วหมิง จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ทำท่าเคล็ดวิชา ร่างกายกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งหนีลึกเข้าไปในเทือกเขา

ในเมื่อสลัดไม่หลุด ถ้าเช่นนั้นก็ต้องสู้ตายกับจี๋อิ่งในเทือกเขาแห่งนี้!

แม้จี๋อิ่งจะร้ายกาจ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไร้กำลังสู้ หากหมดหนทางจริงๆ คงต้องยอมแลกให้กระบี่ว่างเปล่าเสียพลังจิตวิญญาณ หากเรียกมันออกมาอีกครั้งผสานเข้ากับสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า เขาก็มั่นใจหกส่วนว่าจะสังหารหมาป่าตัวนี้ได้

ลำแสงดับลง บนมือเขาปรากฏแสงสว่างจากนั้นแผ่นค่ายกลและธงค่ายกลตั้งหนึ่งก็โผล่ออกมา นี่ก็คือของที่ใช้วางค่ายกลโปรดสัตว์นั่นเอง

ขณะที่เขาปล่อยจิตสัมผัสออกไป คิดจะหาตำแหน่งที่ซ่อนเร้นสักแห่งวางค่ายกล ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้า หันขวับเพ่งมองไปยังทิศทางหนึ่ง เขาเห็นตรงนั้นมีจุดแสงสีฟ้าอ่อนจุดหนึ่งปรากฏขึ้นและกำลังเหาะมาที่นี่อย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีแล้วเก็บแผ่นค่ายกลกับธงค่ายกลในมือไปในทันใด ร่างกายขยับวูบหนึ่ง คนก็ร่อนลงไปในป่าทึบแห่งหนึ่งเบื้องล่าง

ผลปรากฏว่าเขาเพิ่งซ่อนตัวและใช้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเก็บคลื่นพลังเวทไปเสร็จ แสงสีฟ้าสายหนึ่งก็เหาะเข้ามาอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบอย่างยิ่งจากนั้นค่อยๆ หยุดอยู่กลางอากาศ

หลิ่วหมิงลอบคร่ำครวญในใจอยู่ในป่าทึบเบื้องล่าง เวลานี้พลังเวทของเขายังฟื้นกลับมาได้ไม่ถึงครึ่ง หากผู้ที่มาคือศัตรูสถานการณ์ก็ย่ำแย่อย่างยิ่งแล้ว

ลำแสงสีฟ้าค่อยๆ จางลง เผยร่างของหญิงสาวชุดสีฟ้าโปร่งคนหนึ่งออกมา ขนนกสีฟ้าสามเส้นบนศีรษะสะดุดตาอย่างยิ่ง ไม่ใช่หลานซือแล้วยังจะเป็นใครได้อีก?

“สหายหลิ่ว พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว”

ดวงเนตรงามของหญิงสาวชุดฟ้าเคลื่อนสายตามา จากนั้นนางก็หมุนตัวหันหน้ามายังที่ซ่อนของหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงเนตรดั่งอัญมณีสีฟ้าทั้งสองข้างทอแสงเจิดจ้า

หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นวูบที่แผ่นหลัง เขาเหล่ตามองครั้งหนึ่งแล้วก็ต้องตกตะลึง

ต้นไม้โบราณต้นหนึ่งหลังร่างฉับพลันมีใบหน้าพร่ามัวดวงหนึ่งโผล่ออกมา ดวงตาสีฟ้าทั้งสองข้างทอแสง มันหน้าตาเหมือนกับสตรีบนท้องฟ้าทุกประการ!

“ที่แท้ก็ท่านนั่นเอง! ท่านทราบนามของข้าได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงเห็นว่าร่องรอยถูกเปิดเผยแล้วจึงเหาะออกจากที่ซ่อน เหาะมาอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวชุดฟ้าห่างออกมาสองสามจั้งก่อนจะเอ่ยถามอย่างเย็นชา