ตอนที่ 863 แถลงไข

หมอดูยอดอัจฉริยะ

สถานที่ที่เยี่ยเทียนอยู่ ณ ตอนนี้ เกิดจากการขุดเจาะสันเขาของภูเขาทั้งลูกไปจนหมด ภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่เพียงมีรถถังจอดอยู่นับร้อยคัน ปืนใหญ่อีกหลายร้อยกระบอกเท่านั้น แต่ยังมีทางวิ่งสำหรับเครื่องบิน และเครื่องบินรบเปล่งประกายสีเงินหลายลำจอดอยู่ที่สุดปลายทางวิ่งอย่างสงบอีกด้วย

หลังจากเข้าสู่เขตสันเขาแล้ว รถก็ขับตรงไปสู่ส่วนลึกของสันเขาทันที จากนั้นยังต้องผ่านด่านประตูไฟฟ้าอีกหลายแห่ง รถจึงจะจอดลง แต่แล้วเยี่ยเทียนก็รู้สึกว่ารถทั้งคันรวมถึงร่างของเขากำลังตกลงสู่เบื้องล่าง ที่แท้อีกฝ่ายก็ขับรถตรงเข้าไปในลิฟต์เลย

“คุณเยี่ย ถึงแล้วครับ!”

หลังจากลงไปลึกประมาณสามสิบกว่าเมตร ลำแสงสายหนึ่งก็สาดส่องเข้ามา ประตูรถถูกเปิดออกจากด้านนอก

อยู่ท่ามกลางความมืดมิดมาสองชั่วโมงกว่า เมื่อปะทะกับแสงสว่างจ้ากะทันหัน คนส่วนใหญ่จะไม่ชินกับแสง ต่างก็มักจะรู้สึกแสบตาจนน้ำตาไหลพรู ฉางเฮ่ายืนอมยิ้มอยู่นอกประตูรถ ท่าทางจะอยากดูว่าเยี่ยเทียนจะทำหน้าตาน่าเยาะเย้ยอย่างไรออกมาบ้าง

แต่สีหน้าท่าทางของเยี่ยเทียนกลับทำให้ฉางเฮ่าต้องผิดหวัง หลังจากเยี่ยเทียนก้าวออกมาจากรถ ฉางเฮ่ากลับไม่เห็นว่าสีหน้าของเขาจะมีที่ใดผิดแปลกไป แสงไฟสว่างจ้าเหนือศีรษะนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขาเลยสักนิด

“ซ่อนเสียลึกลับจริงนะ ไม่นึกเลยว่า ซีซาน[1]จะมีที่แบบนี้ซุกซ่อนอยู่ด้วย คงเอาไว้ใช้หลบภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ละสิ?”

เยี่ยเทียนมองไปรอบๆ สิ่งก่อสร้างใต้ดินเหล่านี้ล้วนสร้างมาจากคอนกรีต และจุดที่ผืนดินค่อนข้างสูงก็ยังมีเสาคอนกรีตหนาค้ำยันไว้อีกด้วย ต่อให้มีหัวรบนิวเคลียร์ลูกหนึ่งตกลงมาจากข้างบน เชื่อว่าที่นี่ก็คงจะไม่เป็นอันตรายใดๆ แน่นอน

ผนังทั้งหมดของสิ่งก่อสร้างใต้ดินนี้ถูกทาสีเคลือบไว้แล้ว แต่ยังสามารถระบายอากาศได้ดีอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เยี่ยเทียน แต่เปลี่ยนเป็นคนอื่นละก็ ต่อให้เป็นความฝันก็คงนึกไม่ถึงหรอกว่าตัวเองอยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายสิบเมตรแล้ว

“คุณ…คุณรู้ได้ยังไงว่าที่นี่คือซีซาน?”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ฉางเฮ่าก็มีสีหน้าอย่างกับกินแมลงวันลงไปตัวหนึ่ง เขาไม่นึกเลยว่า มาตรการรักษาความลับของเขานี้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้วจะกลับกลายเป็นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

เยี่ยเทียนโบกมือ ชี้ไปที่ทางแยกสายหนึ่งอย่างเฉยเมยแล้วตอบว่า

“พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก เหล่าฉาง เลิกเล่นลูกไม้ตลบตะแลงพวกนี้ได้แล้วละ รีบไปกันเถอะ เสร็จเรื่องแล้วผมจะได้กลับเร็วๆ หน่อย”

“คุณ…คุณยังรู้อะไรอีก? ใครเป็นคนบอกคุณน่ะ?!”

คราวนี้สีหน้าของฉางเฮ่าเปลี่ยนไปจริงๆ แล้ว เท้าถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน มือขวาสอดไปที่ใต้รักแร้ปานสายฟ้าแลบ เพราะทิศทางที่เยี่ยเทียนชี้ไปนั้น เป็นตำแหน่งของห้องประชุมซึ่งมีผู้นำระดับอาวุโสหลายท่านอยู่ในนั้น

พลังฝีมือของฉางเฮ่าเข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยนแล้ว เขาจึงรู้ว่าพลังปราณนั้นสามารถใช้ในการรับรู้ถึงเรื่องบางอย่างที่คนทั่วไปไม่อาจสังเกตได้ อย่างการฝึกชี่กงรักษาโรคและการทายอักษรข้ามฉากกั้นในสมัยก่อน ที่จริงแล้วก็เป็นการใช้พลังปราณช่วยเปิดเส้นลมปราณคลายจุดในร่างกาย หรือใช้พลังปราณสัมผัสถึงตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษนั่นเอง ฉางเฮ่าเองก็ทำได้เหมือนกัน

แต่ตำแหน่งของผู้นำอาวุโสเหล่านั้นอยู่ไกลจากที่นี่ถึงสี่สิบห้าสิบเมตร และระหว่างทั้งสองแห่งยังมีหินผา โครงเหล็กและคอนกรีตขวางกั้นอยู่อีกด้วย ฉางเฮ่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า เยี่ยเทียนพบสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไร

“พอเถอะ ของสิ่งนั้นน่ะใช้กับผมไม่ได้ผลหรอก อย่าเอาออกมาเลย”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองไปยังหินผาจุดหนึ่งซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างใดๆ กับหินผารอบๆ เลย แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ที่ทุกท่านเชิญผมมานี่ แค่เพราะอยากเห็นว่า ผมจะหล่อเหลาน่ามอง สง่าผ่าเผยทรงเสน่ห์ขนาดไหนเท่านั้นน่ะหรือครับ? ถึงอย่างไรก็น่าจะให้น้ำชามาดื่มสักถ้วยสิ ผมได้ยินมาว่า ใบชาจากต้นชาต้าหงเผาที่อู่อี๋ซานนั่นน่ะ โดนพวกคุณเหมาไปหมดเลยนี่!”

พอเยี่ยเทียนกล่าวขึ้นมาเช่นนั้น ผู้อาวุโสหลายคนในห้องประชุมที่อยู่ไกลออกไปสี่สิบห้าสิบเมตรนั้น ต่างก็เปลี่ยนสีหน้าไปพร้อมๆ กัน และหนึ่งในนั้นยังรวมถึงซ่งเฮ่าเทียนซึ่งเพิ่งจะเร่งรุดมาถึงด้วย

“ซ่งเหล่า[2] หลานชายคุณนี่ร้ายจริงนะ อาจจะมีพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินอยู่จริงๆ ก็ได้นา?”

ผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานในห้องประชุมนั้น เป็นชายสูงวัยอายุราวหกสิบปี สีหน้ามุ่งมั่นจริงจังคนหนึ่ง แต่ยามนี้บนใบหน้าของเขากลับเปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ใจ เพราะสายตาของเยี่ยเทียนที่มองมาที่กล้องเมื่อครู่นั้น ดูราวกับจะมองทะลุเข้ามาในใจของพวกเขาก็ไม่ปาน ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งบรรยายไม่ถูกขึ้นมา

“ถึงเขาจะเป็นหลานผม แต่ก็เติบโตบนภูเขาตั้งแต่เล็ก หลี่ซั่นหยวนเป็นคนแบบไหน พวกคุณก็คงจะรู้กันอยู่แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้จักเยี่ยเทียนมากไปกว่าพวกคุณเท่าไหร่หรอก!”

ซ่งเฮ่าเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มเฝื่อนๆ เนื่องจากความแค้นระหว่างตระกูลเยี่ยและตระกูลซ่ง เขาจึงเพิ่งจะได้รู้จักกับเยี่ยเทียนหลังจากที่ตนลงจากตำแหน่งไปแล้ว แต่หลายปีมานี้เยี่ยเทียนก็แทบจะไม่ได้อยู่ที่กรุงปักกิ่งเลย ดังนั้นสิ่งที่ซ่งเฮ่าเทียนรู้จึงมีอยู่จำกัดจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาจงใจจะหลบเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้

ส่วนเรื่องที่เยี่ยเทียนกราบหลี่ซั่นหยวนเป็นอาจารย์นั้น แน่นอนว่าย่อมปิดบังจากคนเหล่านี้ไม่ได้เช่นกัน กระทั่งเรื่องสมัยเด็กที่แม้แต่เยี่ยเทียนเองยังอาจจะลืมไปแล้ว ก็ยังถูกพวกเขาขุดคุ้ยขึ้นมาได้ ข้อมูลเหล่านี้ย่อมมาจากหมู่บ้านเชิงเขาที่เยี่ยเทียนเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็กนั่นเอง

“บางทีเรื่องบางเรื่อง อาจจะเหมือนอย่างที่อยู่ในบันทึกก็ได้กระมัง?”

ชายสูงวัยที่นั่งตำแหน่งประธานคนนั้นทอดถอนใจ กดปุ่มสีเขียวปุ่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดขึ้นว่า

“ฉางเฮ่า พาคุณเยี่ยเข้ามาเลย พวกเราเช็ดถูเก้าอี้คอยรับแขกอยู่นานแล้วละ!”

“คุณเยี่ย เชิญ!”

หลังจากได้ยินคำสั่งของชายสูงวัย ฉางเฮ่าก็คลายมือข้างขวาที่กุมด้ามปืนอยู่ออก แต่กลับส่งพลังปราณในกายไปไว้ที่มือทั้งสองข้าง หากเยี่ยเทียนเล่นตุกติกอะไรขึ้นมา เขาก็จะลงมือโดยไม่ไว้ไมตรีเด็ดขาด

“วุ่นวายกันจริงๆ เลย”

แม้จะเป็นระยะทางเพียงสี่สิบห้าสิบเมตร แต่เยี่ยเทียนต้องผ่านประตูอีกถึงสามด่าน ประตูทั้งสามด่านนี้ล้วนหล่อหลอมขึ้นจากเหล็กกล้า และแต่ละครั้งที่จะผ่านด่าน เยี่ยเทียนก็จะถูกค้นตัวหนึ่งครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีมาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัดเข้มงวดมาก

“ให้ทุกท่านรอเสียนานเลย ขออภัย ต้องขออภัยจริงๆ ครับ!”

เมื่อเข้าไปถึงในห้องประชุมซึ่งมีพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยตารางเมตรแล้ว เยี่ยเทียนก็ประสานมือคารวะไปรอบทิศอย่างสบายๆ เป็นกันเอง แล้วก็ไม่รอให้ใครเชื้อเชิญ ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงฝั่งตรงข้ามชายสูงวัยตำแหน่งประธานคนนั้น จนพวกฉางเฮ่าที่ตามอยู่ข้างหลังต่างพากันขมวดคิ้ว

นอกจากการประชุมประเภทที่ต้องจัดขึ้นทุกๆ ปีแล้ว ยากนักที่ผู้อาวุโสเหล่านี้จะได้มาชุมนุมกัน ยามนี้เมื่อต่างมารอเยี่ยเทียนกันพร้อมหน้า กลับได้เพียงคำพูดลอยๆ เช่นนี้เป็นการตอบแทน

เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้เป็นคนแปลกหน้าเลยสักนิด ปกติถ้าบ้านไหนมีโทรทัศน์ก็ต้องจำคนเหล่านี้ได้อยู่แล้ว หากเปลี่ยนเป็นเมื่อหลายปีก่อน เยี่ยเทียนก็คงจะรู้สึกหวั่นเกรงอยู่ แต่ในตอนนี้ บุคคลผู้ได้กุมอำนาจสูงสุดในโลกของคฤหัสถ์เหล่านี้ กลับไม่ได้ดูพิเศษอะไรเลยในสายตาของเยี่ยเทียน

ผู้อาวุโสแซ่เยวี่ยคนนั้นควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก เขาเมินเฉยต่อท่าทีเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ของเยี่ยเทียนโดยสิ้นเชิง และกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“คุณเยี่ยไม่ใช่คนธรรมดาๆ พวกเราเป็นฝ่ายรอก็สมควรแล้วละ!”

“ตกลง อย่างนั้นเราก็มาเริ่มเปิดประเด็นสำคัญกันเลยดีกว่า”

เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง

“ถ้าพวกคุณมีคำถามหรือความประสงค์อะไร ก็แจ้งผมมาได้เลย คำถามให้ถามได้แค่ข้อเดียว ส่วนความประสงค์นั้น ผมไม่รับรองนะว่าจะตอบตกลงได้ และพวกคุณก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากนี้ไปห้ามมาตอแยผมอีก!”

“แก…พูดแบบนี้ได้ยังไง?!”

เยี่ยเทียนกล่าวยังไม่ทันสิ้นเสียง นายพลที่นั่งอยู่ข้างๆ ผู้อาวุโสแซ่เยวี่ยนายหนึ่งก็ตบโต๊ะพลางลุกขึ้นยืน

“อย่านึกว่าตัวเองเป็นหลานของซ่งเหล่าแล้ว พวกเราจะทำอะไรแกไม่ได้นะไอ้เด็กบ้า นี่ถ้าอยู่ในกองทัพละก็ ป่านนี้คงให้คนลากแกออกไปยิงเป้าแล้ว!”

ในเรื่องความสามารถของเยี่ยเทียนนั้น คนทั้งหลายในที่ประชุมนี้ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันไป บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ และนายพลผู้ได้กุมทหารหาญนับล้านผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ไม่เชื่อ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพูดจาไร้สัมมาคารวะเช่นนี้ จึงไม่อาจข่มเพลิงโทสะในใจได้อีก

แต่ละคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ ล้วนเป็นบุคคลที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้เพียงลั่นวาจาเท่านั้น โดยเฉพาะนายพลระดับใหญ่ซึ่งกุมกำลังพลนับล้านไว้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ เมื่อระเบิดโทสะขึ้นมาแล้ว อุณหภูมิในห้องประชุมก็ลดลงไปหลายองศาทันที แม้แต่บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งสามารถออกศึกสู้รบได้เหล่านั้น ก็ยังต้องหดคออย่างไม่อาจข่มกลั้น

“เฮ้ ท่านผู้เฒ่า เขาจะบอกว่าผมต้องพึ่งบารมีของท่านอยู่ด้วยแหละ”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นมาดังลั่น ไม่ได้เห็นนายพลอาวุโสซึ่งกำลังโกรธจัดจนผมชี้ชันผู้นั้นอยู่ในสายตาเลย เขาโบกมือพูดว่า

“ท่านนายพลก็อายุปูนนี้แล้ว ทำไมยังมีโทสะรุนแรงแบบนี้อีกล่ะครับ? ธาตุไฟกำเริบจะกระเทือนถึงตับ ผมแนะนำให้ไปตรวจดูเสียหน่อยนะ”

“แก ทหาร!” นายพลอาวุโสโมโหกับคำพูดของเยี่ยเทียนจนแทบจะตายแล้วมาเกิดใหม่อีกรอบ กระทั่งถึงขนาดไม่สนใจจะไว้หน้าซ่งเฮ่าเทียนแล้ว เรียกคนให้เข้ามาลากเยี่ยเทียนออกไปเดี๋ยวนั้นเลย

“นี่เหล่าจ้าว ใจเย็นๆ ก่อน พวกเรามีเวลาอยู่ไม่มากนะ”

เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยังไม่ทันได้ขานตอบ ชายสูงวัยรูปลักษณ์สง่าอย่างบัณฑิตอีกคนหนึ่งก็โบกมือปรามขึ้นก่อน แล้วหันไปพูดกับเยี่ยเทียนว่า

“พ่อหนุ่ม เรื่องต่างๆ ที่คุณทำลงไปในไซบีเรียน่ะพวกเรารู้หมดแล้ว เราประหลาดใจกันมากว่า ร่างกายของมนุษย์นั้น สามารถมีพลังถึงระดับที่ว่ากันในเทพนิยายหรือตำนานต่างๆ ได้จริงๆ น่ะหรือ? คุณจะชี้แจงให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม?”

ชายสูงวัยรูปลักษณ์สง่างามสมถะ และมีบุคลิกของปราชญ์บัณฑิตผู้นี้แซ่อู๋ เขานั่งอยู่ตำแหน่งที่สูงที่สุดรองจากคุณเยวี่ยซึ่งนั่งตำแหน่งประธาน เมื่อได้ยินเขาเอ่ยขึ้นเช่นนั้น นายพลจ้าวก็ได้แต่ข่มกลั้นโทสะในใจ แล้วนั่งลงอย่างโมโหฮึดฮัด

“นี่ถือว่าเป็นคำถามรึเปล่าครับ?”

เยี่ยเทียนมองชายสูงวัยผู้นั้นแวบหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเพื่อความสงบสุขของครอบครัวในวันหน้า เขาก็คงคร้านที่จะมานั่งสนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่ที่นี่ ถ้าเขามีเวลาว่างละก็ ไม่สู้ไปจ่ายกับข้าวที่ตลาดสดเป็นเพื่อนภรรยายังจะดีเสียกว่า ตั้งแต่ได้เริ่มบำเพ็ญพรต เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองยิ่งห่างไกลจากชีวิตของปุถุชนมากขึ้นทุกที

เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถามดังนั้น แต่ละคนในห้องประชุมก็สบตากันแวบหนึ่ง อู๋เหล่าพยักหน้าแล้วตอบว่า “นี่แหละคือคำถามของพวกเรา หวังว่าคุณเยี่ยจะตั้งใจชี้แจงแถลงไข แล้วรัฐบาลจะไม่ทำให้คนอย่างพวกคุณผิดหวังแน่นอน!”

“พูดตามตรงนะ พวกคุณก็ไม่มีอะไรที่จะให้ผมได้หรอก!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดต่อ

“ในเมื่อพวกคุณอยากรู้กัน อย่างนั้นผมจะบอกให้ก็ได้ สิ่งต่างๆ ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เต๋าเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งหมด การบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคที่พวกคุณมองว่าเป็นเพียงเทพนิยายนั้น ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน เรื่องที่คนเหล่านั้นหอกดาบฟันแทงไม่เข้า สามารถย้ายภูเขาก้าวข้ามมหาสมุทร กายเนื้อเหาะเหินได้นั้น ก็เป็นความจริงอีกเช่นกัน”

เยี่ยเทียนมองบรรดาผู้อาวุโสที่กำลังตะลึงปากอ้าตาค้างแวบหนึ่ง แล้วพูดต่ออย่างเนิบช้า

“แน่นอน ที่พูดกันว่าจะอายุยืนไม่แก่ไม่ตายนั่นน่ะเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ในโลกนี้ไม่ว่าใครก็หนีการเกิดแก่เจ็บตายไม่พ้น นี่เป็นกฎของธรรมชาติ ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งนั้น”

สาเหตุที่เยี่ยเทียนเพิ่มคำพูดตอนสุดท้ายเข้าไปนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเขาคาดเดาความคิดจิตใจของผู้อื่นได้ แต่เพราะเขาจำเป็นต้องนำสิ่งที่ไม่น่าฟังมาพูดเกริ่นไว้ก่อน ยอดอัจฉริยบุคคลอย่างจิ๋นซีฮ่องเต้และจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้นั้น หลังจากที่ล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว ต่างก็พยายามเสาะแสวงหนทางสู่ความเป็นอมตะเช่นกันมิใช่หรือ?

………………..

[1] ซีซาน (西山) เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงปักกิ่ง

[2] การเติมคำว่า -เหล่า ไว้ท้ายแซ่ เป็นวิธีเรียกขานเพื่อแสดงความเคารพและความสนิทสนมต่อผู้สูงวัย โดยมักใช้กับผู้สูงวัยที่มีตำแหน่งฐานะสูง