เช้าตรู่วันที่สองบรรพชนเฒ่าฮัวสือมาปรากฏตัวในห้องโถงชั้นหนึ่งของหอคอยด้วยสีหน้าเคารพนบน้อม แล้ว พลางถ่ายทอดคำพูดของปิงเฟิงที่ได้พบก่อนหน้านี้กับหานลี่

“เช่นนั้น ปิงเฟิงก็ถูกตะขาบเกล็ดน้ำแข็งหกปีกลักพาตัวไป และยิ่งไปกว่านั้นเขายังคิดเป็นศัตรูกับข้า” หานลี่ลูบใต้คางแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทางขบคิด

“สหายปิงเฟิงกล่าวเช่นนั้นจริง และยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุที่หกปีกยอมเป็นเหยื่อล่อนั้น ก็เพราะอาวุโส

หมิงจวินตกลงว่าจะช่วยพูดไม่ให้ท่านอาจารย์หานไปยุ่งกับมันภายในระยะเวลาพันปี” บรรพชนฮัวสือเอ่ยตามความจริง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ใช่แล้ว สมบัติอาคมสองสามชิ้นที่ข้าให้พกติดตัวไป ได้ให้สหายปิงเฟิงแล้วหรือยัง?” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ

“น้องได้มอบให้แล้ว”

“เช่นนั้นก็ดี เจ้าออกไปเถิด รอให้สงครามใหญ่มาถึง เจ้าก็หลบไปให้ไกลได้เท่าไหร่ก็ดียิ่งดี” หานลี่ถึงได้พยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ

บรรพชนเฒ่าฮัวสือย่อมตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไปจากหอคอย

เวลาที่เหลือหานลี่แค่ฝึกฝนอยู่ในหอคอยเงียบๆ และไม่มีเจตนาจะออกไป

ในยามนั้นไม่เพียงผู้แข็งแกร่งระดับมหายานคนอื่นๆ จะมาถึงสวรรค์เหนือสวรรค์ตามลำดับ คนของพันธมิตรซางก็เริ่มวางเขตอาคมสองธงทลายธุลี

ส่วนสมบัติสวรรค์ทมิฬสองชิ้นที่เป็นตาอาคมนั้น ก็ถูกวางไว้อย่างแน่นหนา นอกจากหมิงจวินและอาวุโสของพันธมิตรซางสองสามคนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่อนุญาตให้เข้าใกล้เลยสักนิด

กลับเป็นจิตวิญญาณเที่ยงแท้สองสามตนที่หมิงจวินพูดนั้นกลับไม่เห็นเงา ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวที่ใด คงคิดจะเรียกออกมาในวันที่ทำการต่อสู้

ครึ่งเดือนต่อมาหานลี่ที่นั่งสมาธิอยู่เงียบๆ ในหอคอยพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นตรงหน้า ลูกบอลสีแดงเพลิงพุ่งออกมา ชั่วพริบตาก็กลายเป็นสะเก็ดไฟระเบิดออกมา

ชั่วขณะนั้นเสียงราบเรียบพลันดังก้องไปมาภายในห้อง

“สหายหาน คนผู้นั้นออกจากแดนหมิงซาไปไม่ไกล พวกเราเองก็เริ่มเคลื่อนไหว รีบมาที่ตำหนักที่ปรึกษากันครั้งทีแล้วเถิด”

หานลี่ได้ยินคำนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม มือหนึ่งร่ายอาคม กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบ ก็ทะลวงผ่านเพดานห้องหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

หนึ่งกาน้ำชาต่อมาด้านหน้าตำหนักที่ทุกคนมารวมตัวกันครั้งที่แล้ว ลำแสงหลีกหนีมารวมตัวกันจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ทยอยกันร่อนลงในตำหนัก

เมื่อลำแสงหลีกหนีของหานลี่หม่นแสงลงแล้วปรากฏขึ้นในตำหนัก ที่นี่ก็มีผู้แข็งแกร่งสิบกว่าคนมารวมตัวกัน หนึ่งในนั้นมีฮูหยินอู อิ๋นกังจื่อ และพวกที่เขารู้จัก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนแปลกหน้า

หนึ่งในนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรบุรุษและสตรีที่หน้าตาคล้ายกันคู่หนึ่ง ซึ่งดึงดูดความสนใจของหานลี่ไป

บุรุษและสตรีที่หน้าตาคล้ายคลึงกันมีอายุไม่เกินยี่สิบปีเศษ บุรุษหน้าตาหล่อเหลาเย็นชา สตรีหน้าตางดงาม แต่ไอทมิฬสีม่วงแดงที่แผ่ออกมาจากร่างของทั้งสอง ยิ่งกว่านั้นกลางอากาศในรัศมีสองสามจั้งที่ยืนอยู่ยังบิดเบี้ยว ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง

สายตาที่อิ๋นกังจื่อและคนอื่นๆ มองไปทางของบุรุษและสตรีคู่นี้ก็เผยความหวาดกลัวออกมาเล็กๆ

หมิงจวินยังคงนั่งตัวตรงอยู่ตรงตำแหน่งหลัก กำลังฟังรายงานของบุรุษวัยกลางคน

“สหายหกปีกทั้งสองล่อมารเหี้ยมตนนั้นไปที่ขอบของแดนหมิงซาตามสัญญาแล้ว หากดูจากความเร็วในยามนี้มากสุดคงใช้เวลาอีกสองสามชั่วยามก็จะเข้าสู่เขตอาคมสองธงทลายธุลี ศิษย์ทุกคนในพันธมิตรและอาวุโสต่างๆ ล้วนล่วงหน้าไปก่อนทุกท่านแล้ว พิธีการเรียกธงวิญญาณถูกจัดเตรียมไว้แล้ว สามารถเรียกจิตวิญญาณเที่ยงแท้ให้ลงมาจุติที่นี่ได้ตลอดเวลา…”

“เยี่ยม อีกครึ่งชั่วยามก็เริ่มพิธีการเรียกธงวิญญาณ ส่วนเขตอาคมสองธงทลายธุลีนั้น ไม่มีคำสั่งของข้าผู้ใดก็ไม่อาจเปิดใช้การได้ เรื่องอื่นก็ทำตามแผนเดิม อีกเดี๋ยวข้าและสหายคนอื่นๆ จะไปลอบโจมตี ถึงยามนั้นทุกอย่างก็มอบให้ข้าจัดการ” หมิงจวินฟังจนก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมาพลางออกคำสั่ง

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นพยักหน้า แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีจากไป

“สหายทุกท่านคงได้ยินแล้ว พันธมิตรของเราเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ถึงยามนั้นขอแค่ทุกท่านลงมือพร้อมกัน จะต้องกดเทพเซียนผู้นี้ได้ ทว่าบอกเอาไว้ก่อน หากถึงยามนั้นมีผู้ใดคิดจะถอยหรือมีความคิดอื่น อย่าโทษว่าผู้แซ่หมิงไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่า” หมิงจวินเอ่ยกับทุกคนด้วยสีหน้าราบเรียบ

“หึๆ พี่หมิงวางใจ ถึงยามนี้ผู้ใดจะถอยอีก!”

“ใช่แล้ว หากถึงยามนั้นมีผู้ใดคิดเรื่องไม่ดี พวกเราจะลงมือสังหารพร้อมกัน”

ในบรรดาผู้แข็งแกร่งระดับมหายานเหล่านี้มีคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจ

คนอื่นๆ ก็ทยอยกันเห็นด้วย

“สหายหมิง พวกเราพี่น้องมาถึงแล้ว เหตุใดยังไม่เห็นเงาร่างของซวนจิ่วหลิง เขาคงไม่ได้เปลี่ยนใจ ไม่มาหรอกกระมัง” บุรุษหนึ่งในบุรุษและสตรีที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่พลันเอ่ยถามอย่างเย็นชา

อิ๋นกังจื่อและพวกได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี

“สหายอวิ๋นต้านวางใจ สหายซวนจิ่วหลิงมาถึงเมื่อสองวันก่อน แต่แค่เขาต้องสำแดงเคล็ดวิชาลับชั่วคราง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีภาระสำคัญ ดังนั้นถึงได้ยังไม่ปรากฏตัว” หมิงจวินตอบกลับอย่างมีมารยาท

บุรุษและสตรีผู้นี้ก็คือ ‘อวิ๋นต้านเย่ว์หลิง’

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พวกเราพี่น้องได้ยินมานานแล้วว่าซวนจิ่วหลิงสามารถสังหารจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้ จึงอยากพบหน้ามาโดยตลอด” สตรีนามว่าเย่ว์หิวผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

คาดไม่ถึงว่าบุรุษและสตรีคู่นี้จะเผยท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับซวนจิ่วหลิงออกมาเล็กๆ

หมิงจวินทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่น กลับไม่กล้าเอ่ยปากอันใดต่อ

โชคดีที่อวิ๋นต้านเย่ว์หลิวทั้งสองคงไม่ได้ซักไซ้ต่อ จากนี้ก็คุยกันเอ่ยเงียบๆ

หมิงจวินผ่อนคลายลงทันใดนั้นก็กำชับเรื่องสำคัญกับทุกคน

ในยามนั้นข้างหูของหานลี่พลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ฉับพลันนั้นก็มีเสียงถ่ายทอดเสียงของหมิงจวินดังมา

เขาฟังไปเพียงสองสามประโยค ใบหน้าก็อดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้ แต่แค่คิดก็พยักหน้าเบาๆ

หมิงจวินเห็นเช่นนี้ใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมา

ผลคือหลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ ผู้แข็งแกร่งระดับมหายานส่วนใหญ่ก็ควบคุมลำแสงหลีกหนีออกไปจากตำหนัก ตรงไปยังจุดที่จะซุ่มโจมตีที่คุยกันไว้

ชั่วพริบตาในตำหนักก็เหลือเพียงหมิงจวิน หานลี่ อวิ๋นต้าน เย่ว์หลิวสี่คน

บุรุษและสตรีผู้นั้นพิจารณาหานลี่สองแวบด้วยความประหลาดใจ บุรุษเอ่ยกับหมิงจวินอย่างราบเรียบ

“สหายหมิงจะให้พวกเราพี่น้องไปปกป้องสมบัติสวรรค์ในเขตอาคมป้องกัน เรื่องนี้เป็นภาระอันใหญ่หลวง หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น พวกเราพี่น้องกลัวว่าจะรับผิดชอบไม่ไหว”

“หึๆ สหายทั้งสองถ่อมตนเกินแล้ว หากพี่น้องอย่างพวกท่านทำไม่ได้ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเหมาะสมกว่าแล้ว เขตอาคมสองธงทลายธุลีเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะครั้งนี้ ขอแค่สมบัติสวรรค์ทมิฬสองชิ้นไม่เป็นไร ตาอาคมสองจุดก็จะปลอดภัย ทั้งเขตอาคมก็จะเกิดการหมุนเวียนอย่างไม่หยุดพัก” หมิงจวินเอ่ยอย่างเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง

“พวกเราพี่น้องต่อสู้และถอยพร้อมกัน ทำได้แค่ดูแลตาอาคมเดียวกัน ดูแล้วตาอาคมอีกจุดหนึ่งต้องมอบให้สหายท่านอื่น เขารับภารกิจนี้ได้ ไม่มีทางผิดพลาดสินะ?” บุรุษพยักหน้าฉับพลันนั้นก็ชี้ไปหานลี่อย่างไม่เกรงใจ

หานลี่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ไม่ได้ตอบอันใด และไม่มีท่าทีโกรธเคืองเลยสักนิด

“ทั้งสองวางใจ สหายหานเองก็เป็นอาวุโสที่มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร ข้ามอบเรื่องนี้ให้ย่อมวางใจเขามาก” หมิงจวินหาววอดแล้วตอบอย่างคลุมเครือ

“ในเมื่อพี่หมิงกล่าวเช่นนี้ พวกเราพี่น้องก็วางใจ ทุกอย่างเอาตามที่สหายจัดการ” สตรีนามว่าเย่ว์หลิวพิจารณหานลี่อีกสองแวบฉับพลันนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“เยี่ยม ตาเฒ่าจะจัดการให้สหายทั้งสองไปที่ตาอาคม” หมิงจวินได้ยินพลันดีใจ จากนั้นก็ตบมือ “แปะๆ” สองครั้ง

ผลคือด้านนอกตำหนักมีนักรบชุดเกราะของพันธมิตรซางเดินเข้ามา พาพี่น้องคู่นั้นออกไปจากตำหนักอย่างนอบน้อม

“สหายหานตาอาคมของเขตอาคมสองธงทลายธุลีต้องมอบให้เจ้าแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาสินะ”

หมิงจวินถึงได้หันหน้ามาเอ่ยถามหานลี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พี่หมิงมองผู้แซ่หานสูงเกินไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าน้อยก็ทำได้แค่ต้องรับหน้าที่อย่างไม่คิดชีวิต” หานลี่แค่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็ตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน

“ฮ่าๆ เรื่องนี้ทำได้แค่ต้องฝากผู้มีความสามารถแล้ว มีสหายและสองพี่น้องอวิ๋นต้านคอยรักษาการณ์ด้วย อาคมสองธงทลายธุลีก็นับว่าไม่มีอันใดขาดตกบกพร่องแล้ว” หมิงจวินหัวเราะร่าแล้วเอ่ย

หานลี่หัวเราะอย่างราบเรียบไม่ได้เอ่ยอันใดอีก

ยามนี้นักรบชุดเกราะอีกคนหนึ่งพลันเดินเข้ามาคารวะหานลี่แล้วพาเขาออกไปจากตำหนัก

ส่วนหมิงจวินก็รอให้เงาร่างของหานลี่หายไปจากประตูตำหนัก ก็หุบยิ้มกลับขมวดคิ้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

“เจ้ามั่นใจว่าเซียนผู้นี้มีวิธีทลายพลังกฎเกณฑ์เขตกั้นแดน ฟื้นฟูพละกำลังของแดนเซียนได้อย่างเต็มเปี่ยมหรือ มิเช่นนั้นแผนการของเจ้าคงยุ่งยากแล้ว” ฉับพลันนั้นเสียงของบุรุษแปลกหน้าพลันดังขึ้นด้านหลัง

หมิงจวิน จากนั้นเงาใต้ฝ่าเท้าของเขาก็เลือนราง คาดไม่ถึงว่าจะมีเงาร่างคนแปลกหน้าอีกสายหนึ่งแยกออกมาอย่างช้าๆ

หมิงจวินไม่ประหลาดใจเลยสักนิด กลับเอ่ยอย่างราบเรียบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไป

“วางใจ แม้ว่าภาพเหมือนการต่อสู้ที่ข้าได้มาจากสวรรค์โลหิตจะไม่สมบูรณ์ ทำได้แค่ดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่จากภาพเหมือนเทวะสีทองก็เพียงพอจะแสดงออกได้แล้วว่าอีกฝ่ายฟื้นฟูพละกำลังของเซียนได้ มิเช่นนั้น

ลี่ว์อิ่งและพวกคงไม่อาจต้านทานการโจมตีของเขาและตกอยู่ในมือของเขาได้ การจะเอาชนะให้ได้ในสงครามครั้งนี้ ต้องดูว่าการโจมตีของเจ้าจะได้ผลหรือไม่ มิเช่นนั้นจุดจบของพวกเราก็คงไม่ต่างอันใดกับลี่ว์อิ่งเท่าใดนัก”

“ขอแค่อีกฝ่ายฟื้นฟูร่างของเซียนเที่ยงแท้ พอไม่เตรียมการป้องกัน จะต้านทานการโจมตีจากเขตอาคมเก้าเคราะห์ได้อย่างไร เคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาลับจากแดนเซียนที่บรรพชนของข้าถ่ายทอดมา และเป็นวิธีการทำลายร่างเทพเซียนโดยเฉพาะ แม้ว่าข้าจะหลอมจิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งเก้าตามลำดับถึงได้มีพลังการโจมตีเช่นนี้ได้ แต่หากนำมาต่อกรกับเทพเซียนที่ลงมาจุติก็เหลือเฟือ” เงาร่างเลือนรางหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง

“เป็นเช่นนั้นจริง แม้ว่าเซียนผู้นั้นจะร้ายกาจ แต่เมื่ออยู่ในเขตอาคม พละกำลังก็ต้องลดลงไปกว่าครึ่ง คงไม่อาจหนีการโจมตีของเจ้าได้ การทำลายร่างของเซียนเที่ยงแท้ พละกำลังก็คงแข็งแกร่งกว่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั่วไป ไม่เพียงพอให้หวาดกลัวอีก” หมิงจวินเอ่ยอย่างราบเรียบ

“แต่คนอื่นก็ไม่รู้แผนการของเจ้า จากนี้จะยังมีกี่คนที่มีชีวิตรอด แต่สิ่งที่พูดยากก็คือจิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสี่คงกลายเป็นเป้ากระสุนสินะ” เงาร่างเลือนรางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“นั่นเป็นเรื่องที่ทำอันใดไม่ได้ การต่อกรกับเซียนที่มีพละกำลังเต็มเปี่ยม ไม่เสียอันใดเลยย่อมไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็เตือนแล้วว่าเซียนผู้นี้รับมือยาก ยามที่พวกเขาลงมือต้องระวังหน่อย” หมิงจวินตอบกลับอย่างไม่สนใจ