ตอนที่ 971 ช่วงเวลาวิกฤต

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฝ่ามือสีดำขนาดมหึมาครอบคลุมทั่วท้องฟ้าและทั้งร่างของฉินอวี้โม่โดยสมบูรณ์ แรงกดดันอันทรงพลังกดข่มนางไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย เวลานี้ ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจลอยอยู่กลางอากาศและสายตาเฉยเมยของเขาก็จ้องมองตรงมาที่ฉินอวี้โม่ราวกับกำลังมองดูมดปลวกก็ว่าได้

“โม่เอ๋อร์ !”

ใบหน้าของหานโม่ฉือแสดงถึงความกระวนกระวายอย่างชัดเจนและพุ่งตรงเข้าไปหานางทันที ทว่าคลื่นพลังบางอย่างก็พุ่งเข้ามาโจมตีเขาจนร่วงลงไปในมหาสมุทรเบื้องล่าง

อสูรมายาอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บกันพอสมควร แม้เห็นฉินอวี้โม่ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ พวกมันก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน

อสูรกลืนนภาก็พยายามพุ่งตรงเข้าไปใกล้ฉินอวี้โม่ ทว่าเนื่องจากความเร็วที่ช้ากว่ามาก มันจึงไม่สามารถเข้าไปถึงตัวนางได้ทันเช่นกัน

การเชื่อมต่อระหว่างฉินอวี้โม่และคฤหาสน์เฟิงหัวยังคงถูกตัดขาดไปและสาเหตุที่เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ออกมาได้ก็เป็นเพราะการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณระหว่างพวกมันกับมารยา ทว่าแม้จะออกมาได้ พวกมันก็ไม่สามารถกลับเข้าไปใหม่ได้

เมื่อฝ่ามือขนาดใหญ่กำลังจะฟาดลงมาถึงศีรษะของฉินอวี้โม่ จู่ ๆ แสงสว่างจ้าก็ฉายวาบขึ้นบนร่างของนาง

ตูมมม !

คลื่นพลังที่แกร่งกล้าพุ่งปะทะเข้ากับฝ่ามือใหญ่ยักษ์กลางอากาศ และนั่นมิใช่พลังจากผู้ใด หากแต่เป็นพลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ในร่างของฉินอวี้โม่นั่นเอง

เมื่อฉินอวี้โม่เผชิญกับวิกฤตร้ายแรงถึงชีวิต พลังลึกลับจะปรากฏออกมาช่วยชีวิตนางไว้เสมอ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่นางไม่มีท่าทีตื่นตระหนกมากนัก

พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ พลังมายาของฉินอวี้โม่และอสูรมายาตัวอื่น ๆ ก็ราวกับถูกดูดออกไปเช่นกัน ส่งผลให้รู้สึกอ่อนแอกันอย่างมาก ในเวลานี้คลื่นทะเลก็ซัดสูงราวกับเป็นคลื่นสึนามิ หากมิใช่เพราะไข่มุกเลี่ยงวารีที่มี เกรงว่าพวกนางคงจะไม่สามารถทรงตัวยืนอยู่ได้อีก

“พลังนั่นมัน…”

ในเวลานี้ สีหน้าของผู้นำจอมยุทธ์ปีศาจที่ยืนอยู่กลางอากาศก็เปลี่ยนไปทันที พลังชนิดนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความคุ้นเคยและเกิดความหวาดหวั่นขึ้นในหัวใจ มันมิใช่พลังของดินแดนมหาเทพ หากแต่เป็นพลังสายเลือดบริสุทธิ์ที่มีเพียงผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดเท่านั้นที่จะครอบครองได้ ฉินอวี้โม่ผู้นี้มีพลังเช่นนั้นอยู่ในร่างได้อย่างไรกัน ?!

ตูมมม !

เสียงดังสนั่นปะทุออกมาอีกครั้งและฝ่ามือสีดำของเขาก็แหลกสลายหายไปในอากาศทันที อีกทั้งคลื่นพลังที่แผ่มาจากร่างฉินอวี้โม่เมื่อครู่นี้ก็หายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

แรงกดดันทั่วบริเวณจางหายไปเช่นกันและทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบดังเดิม หานโม่ฉือรีบตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วและมองสตรีคนรักด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นกังวลในขณะที่แววตาที่ใช้มองผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจเต็มไปด้วยจิตสังหาร

เขาไม่ทันสังเกตเห็นพลังประหลาดที่แล่นไปทั่วร่างของตนเมื่อครู่นี้ด้วยซ้ำ…

พลังดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับพลังของผู้นำจอมยุทธ์ปีศาจทว่าไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แม้ปรากฏเพียงร่องรอยเสี้ยวหนึ่ง มันก็อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลที่สามารถทำลายทั้งยุทธภพได้ ราวกับว่าหากผู้ใดใช้มัน มันจะทำลายล้างทั้งดินแดนจนสิ้นซาก

“ข้าไม่เป็นไร อย่างที่ข้าเคยบอกไว้ ในร่างของข้ามีพลังประหลาดที่ช่วยปกป้องข้าเมื่อตกอยู่ในอันตราย”

ฉินอวี้โม่กล่าวปลอบใจให้หานโม่ฉือคลายกังวล

อสูรมายาทั้งหมดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกันก่อนตวัดสายตามองร่างอวตารกลางอากาศด้วยแววตาโกรธแค้น

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้าไม่อยากรู้รึว่ามารดาของเจ้าอยู่ที่ใด ?”

จู่ ๆ ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าววาจาที่ทำให้สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“คิดไว้ไม่มีผิด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าจอมยุทธ์ปีศาจจริง ๆ !”

ฉินอวี้โม่ไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใดนัก วาจาของอีกฝ่ายเป็นเพียงการยืนยันข้อสันนิษฐานเดิมที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม นางมั่นใจว่าตอนนี้มารดาของตนมิได้อยู่ในกำมือของจอมยุทธ์ปีศาจ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงจะใช้นางเป็นตัวประกันไปนานแล้ว

“ข้าเชื่อว่าเจ้าก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ฝ่ายมารและอารามโชติช่วงในดินแดนเทพมายาเป็นเพียงสาขาหนึ่งของจอมยุทธ์ปีศาจ พวกเรามีวิธีการมากมายในการตามหาเจ้า แม้ว่าการที่เจ้ามีพลังนั่นอยู่ในร่าง ข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม หากจะเชิญเจ้าไปเป็นแขกของจอมยุทธ์ปีศาจก็คงไม่ยากจนเกินไป !”

ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจไม่ปฏิเสธและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา หลายขุมกำลังที่พยายามหมายหัวฉินอวี้โม่นับตั้งแต่อยู่ในดินแดนเทพมายาเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจอย่างแท้จริง

“ไม่มีทางซะหรอก หากมารดาของข้าอยู่กับพวกเจ้าจริง ข้าก็คงจะยินดีกลับไปกับเจ้า ทว่าในเมื่อมารดาของข้าไม่ได้อยู่กับพวกเจ้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเป็นแขกของจอมยุทธ์ปีศาจหรอก !”

ฉินอวี้โม่ปฏิเสธเสียงแข็งและแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า !”

ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจหัวเราะขึ้นเบา ๆ พร้อมแผ่พลังมายาออกไปห่อหุ้มรอบตัวของฉินอวี้โม่ก่อนออกแรงดึงนางเข้ามา ราวกับต้องการจะจับตัวฉินอวี้โม่กลับไปให้ได้

หานโม่ฉือกำหมัดแน่นขณะกลิ่นอายรอบตัวของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยและกำลังคิดที่จะลงมือโจมตี

“โม่ฉือ ข้าจัดการเอง !”

ฉินอวี้โม่กล่าวปรามเขาไว้ขณะยกยิ้มมุมปากและเพลิงร้อนระอุก็ลุกโชนรอบร่างกายโดยที่แผดเผาพลังมายาเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว

“เหอะ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวจนไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงด้วยซ้ำ คิดจะทำร้ายนายหญิงของข้างั้นรึ ? เจ้าควรจะส่องกระจกดูตัวเองเสียบ้าง !”

น้ำเสียงอันน่าเกรงขามดังขึ้นในหูของทุกคนและจู่ ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าฉินอวี้โม่โดยที่สายตาจับจ้องตรงไปยังผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจพร้อมกล่าววาจาดูแคลนอย่างที่สุด

ในมือของร่างนั้นถือหอกสีแดงที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิงในขณะที่ร่างของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงร้อนระอุซึ่งก่อตัวกลายเป็นเหมือนโล่ป้องกันที่แกร่งกล้า

ด้วยใบหน้าที่เยือกเย็นและยืนผงาดอยู่บนอากาศนั้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของมันก็ราวกับเป็นตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุทธภพและไม่ได้ด้อยไปกว่ากลิ่นอายของหานโม่ฉือเลย แม้กระทั่งผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจก็ยังรู้สึกถึงความกดดันอยู่ไม่น้อย

“พี่ซิว !”

บรรดาอสูรมายาอุทานด้วยความประหลาดใจ ในที่สุด ‘พี่ซิว’ ก็ออกมาหลังจากเก็บตัวจำศีลเป็นระยะเวลานาน

การปรากฏตัวของซิวหมายความว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นจะได้รับการคลี่คลายอย่างแน่นอนและผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจจะไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่อฉินอวี้โม่ได้อีก

ในเวลานี้ กลิ่นอายรอบตัวของหานโม่ฉือก็กลับเป็นปกติแล้วและพลังประหลาดเมื่อครู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

แม้ว่าหานโม่ฉือจะสามารถใช้ ‘พลังนั้น’ ได้จริง ทว่าหากใช้มัน หลังจากนั้นเขาก็อาจจะต้องแยกจากฉินอวี้โม่และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เขาไม่ต้องการให้ศัตรูเหล่านั้นทราบว่าตนอยู่ที่ใด อย่างน้อยที่สุด จนกว่าเขาจะแข็งแกร่งมากพอที่จะประจันหน้ากับคนเหล่านั้นได้ การไม่เปิดเผยพลังของตนออกไปก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

กิเลนอัคคีและเนตรปีศาจที่กำลังกังวลใจก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน พวกมันไม่ต้องการให้หานโม่ฉือเปิดเผยพลังที่แท้จริงออกไป ถึงอย่างไร ‘คนเหล่านั้น’ ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจมากนัก การใช้พลังและเปิดเผยตัวเร็วเกินไปอาจนำพาวิกฤตมาถึงตัวซึ่งตอนนี้หานโม่ฉือก็ต้องรับมือกับปัญหาความวุ่นวายมากมายพอแล้ว

“นายหญิง ไปยืนชมเรื่องสนุก ๆ อยู่ด้านข้างและรอดูข้าเผาร่างอวตารนี่เถอะ”

ร่างของซิวเหาะขึ้นไปกลางอากาศและยืนประจันหน้ากับร่างอวตารของผู้นำจอมยุทธ์ปีศาจ ในขณะเดียวกันมันก็บอกให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือขยับออกไปพักด้านข้าง

อสูรกลืนนภาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่มหาศาลจากร่างของซิวและชะงักไปเล็กน้อย เป็นจริงดังที่มันคิดไว้ อสูรแห่งโชคชะตาของฉินอวี้โม่เป็นอสูรในตำนานจริง ๆ ในเมื่อมันปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว วิกฤตตรงหน้าก็จะได้รับการคลี่คลายเป็นการชั่วคราว แม้ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ความแข็งแกร่งบรรลุระดับสูงสุด ทว่าความแข็งแกร่งของซิวก็ยังเหนือกว่ามันมากนัก

หากผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจมาที่นี่ด้วยตัวเอง ซิวจะมิใช่คู่มือของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน ทว่าในเมื่อตอนนี้ศัตรูตรงหน้าเป็นเพียงร่างอวตาร มันก็จะจัดการกับอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

“ฮ่า ๆ ๆ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง !”

ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจก็เหมือนจะจดจำซิวได้และหัวเราะออกมาเบา ๆ ทว่าสีหน้าของเขาก็ไม่ผ่อนคลายเช่นเดิมอีกต่อไป

“ใช่ ข้าเอง…ทวดของเจ้า คิดจะทำร้ายนายหญิงของข้างั้นรึ ? ลงนรกไปเสียเถอะ !”

ซิวไม่ต้องการเสียเวลากล่าววาจาไร้สาระและปล่อยการโจมตีเข้าใส่อีกฝ่ายทันที ร่างของมันในตอนนี้รายล้อมไปด้วยเปลวเพลิงร้อนระอุและอัดแน่นไปด้วยพลังที่เกรี้ยวกราดซึ่งทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้ง่าย ๆ