‘เทพมารหลินที่มาจากแดนฐิติประจิม ได้แสดงมาดของการเป็นเทพมารอีกครั้งในเดือนนี้ เมื่อหลายวันก่อนทำลายสถิติห้าหอในสิบสองหอในคราเดียว!’
‘สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีก่อน ถูกคนหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและเป็นเหมือนปีศาจยิ่งกว่าเขาในตอนนั้นทำลาย!’
‘หลายปีมานี้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนทั่วหล้าต่างตั้งคำถามว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ที่ถูกมองว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน จะถูกเอาชนะได้หรือไม่’
‘ตอนนี้การปรากฏตัวอย่างโดดเด่นของเทพมารหลิน ได้เปิดเผยคำตอบให้เราแล้ว!’
‘เทพมารหลิน คนรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่ไร้พรรคไร้สำนัก กลับป่วนแดนฐิติประจิม ฝ่าฟันสังหารออกจากการการปิดล้อมอย่างหนาแน่นของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ตอนนี้ก็มาเจิดจรัสในนครหยกขาวอีกครั้ง! เส้นทางแห่งตำนานของเขาจะดำเนินต่อไปได้หรือไม่’
‘เรามาตั้งหน้าตั้งตารอกัน!’
นี่ก็คือข่าวที่ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้า ถูกเผ่าวาทวาโยใช้คำพูดฮึกเหิมบรรยายออกมาอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
ในลานฮือฮาอย่างที่สุดไปแล้ว ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตกอยู่ในความโกลาหล
อย่างที่ในข่าวบอก คนรุ่นเยาว์ที่ไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง กลับสามารถลืมตาอ้าปากในดินแดนรกร้างโบราณที่ผู้กล้านับหมื่น ผู้มีความสามารถมากมาย สร้างตำนานครั้งแล้วครั้งเล่า เขียนเกียรติยศที่เป็นของตน นี่เป็นเรื่องที่ไม่กล้าจินตนาการจริงๆ!
สิ่งที่ยากจะเชื่อที่สุดคือ ภายใต้การกดข่มของสำนักโบราณมากมาย เทพมารหลินนี่ยังคงสามารถลืมตาอ้าปากอย่างแข็งกร้าว ไม่เคยหม่นมัวและเงียบหาย น่าแปลกใจเกินไปแล้ว
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าชื่นชมเพียงเทพมารหลิน!”
ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์หลายคนต่างตื่นเต้น สีหน้าเผยความยกย่อง
“หึ ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น ตอนนี้ต่อให้เทพมารหลินสะดุดตาแค่ไหน แต่ก็ยังไม่ได้เติบใหญ่ขึ้นมาอย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าอาจจะหักโค่นได้ทุกเมื่อ!”
และมีคนแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ น้ำเสียงแฝงความอิจฉา
“ให้ตาย ข้าชอบการกระทำของเทพมารหลินนัก ตัวคนเดียวกล้าขัดแย้งกับสำนักโบราณมากมาย เพียงแค่ความกล้าหาญ ทอดสายตามองไปทั่วหล้า ใครจะเทียบได้”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในที่นั้นดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
หลินสวินปวดหัวขึ้นมาระลอกหนึ่ง ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำนักกระบี่เทียมฟ้าหรือเหล่าขุมอำนาจที่เคยมีความแค้นกับตน กลัวว่าคงจะมองตนเป็นหนามยอกอก หมายจะกำจัดตนให้สาแก่ใจ
ในทำนองเดียวกับการยิงนกที่ยื่นหัวออกมา ตอนนี้ตนดูเหมือนแข็งแกร่งโดดเด่น แต่กับกลายเป็นการดึงดูดความสนใจจากสายตามากมาย
ในสายตาพวกนี้ ไม่มีทางมีเพียงความหวังดีอย่างแน่นอน!
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกปราณในโลกถึงทั้งรักทั้งชังเผ่าวาทวาโย…” หลินสวินยิ้มขื่น
ขึ้นไปอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดานเกียรติภูมิผู้กล้า ย่อมสามารถทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายออกไปอีก เป็นที่รู้จักของคนทั่วหล้า
นี่เป็นกิตติคุณอย่างหนึ่ง
แต่เช่นเดียวกัน ในระหว่างนี้ก็จะดึงดูดความไม่ประสงค์ดีมามากมาย!
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ใต้หล้านี้ยังจะมีใครไม่รู้จักเจ้า” เซียวชิงเหอยิ้มอย่างสดใสอยู่ข้างๆ
หลินสวินพูดอย่างไม่อภิรมย์ “หยุดพูดไร้สาระ รีบไป”
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีความสุขเช่นนี้ หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ สามารถมีชื่อเสียงอย่างเจ้าในวันนี้คงจะดีใจจนคลั่งไปแล้ว แต่ดูเจ้าสิ ท่าทางไม่เต็มใจ กังวลว่าจะเดือดร้อนเพราะชื่อเสียงหรือ”
เซียวชิงเหอยิ้มพูด
หลินสวินกลับไม่มีกะจิตกะใจล้อเล่น ขมวดคิ้วพูด “ไร้ที่พึ่งพิงก็เหมือนแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ พอมีคลื่นโหมซัดสาดก็จะถูกม้วนเข้าไป สำหรับข้าในตอนนี้ชื่อเสียงนี้อันตรายมากกว่าจะเป็นผลดี”
พูดจบเขาก็ก้าวไปทางนอกเมืองแล้ว
‘ดูเหมือนเจ้าหมอนี่ไม่ได้หน้ามืดตามัวกับความสำเร็จที่ได้รับในตอนนี้… นี่อาจจะเป็นผู้กล้าที่แท้จริง เห็นชื่อเสียงเป็นเมฆที่ลอยล่องไร้ความหมาย มุ่งมั่นอยู่กับมรรคาของตนเท่านั้น…’
เซียวชิงเหอพลางใคร่ครวญ พลางไล่ตามฝีเท้าของหลินสวิน
……
นอกเมืองเนินยุทธ์ เทือกเขาเรียงรายเป็นลูกคลื่นราวกับไม่มีที่สิ้นสุด สภาพรกร้างทั้งแถบ
เขาสามกระจ่างซึ่งเป็นที่ตั้งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลผืนนั้น
“เจ้าจะไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าสภาพนี้หรือ”
ระหว่างทางเซียวชิงเหออดถามไม่ได้
แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็เป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่ง ไม่ว่าวิชาแปลงกายของหลินสวินจะแนบเนียนเพียงใด แต่ถ้ากล้าปรากฏตัวในเขาสามกระจ่าง จะต้องถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจับได้อย่างแน่นอน
“เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าช่วยอะไรข้าสักหน่อย” หลินสวินยิ้มเอ่ย
“ข้าหรือ” เซียวชิงเหออึ้ง
“ใช่ ข้าไม่สะดวกปรากฏตัว จึงต้องขอให้เจ้าไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณสักหน่อย”
“แต่…”
เซียวชิงเหอพูดอย่างลังเล “ให้ข้าไปก็ได้ แต่เจ้าก็ต้องบอกสิว่าสหายเก่าคนนั้นของเจ้าเป็นใคร”
“จ้าวจิ่งเซวียนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ”
พอคำพูดนี้ของหลินสวินดังออกมา สีหน้าของเซียวชิงเหอแปลกประหลาดขึ้นมากะทันหัน ร้องว่า “ที่แท้ก็เป็นนาง!”
คราวนี้หลินสวินกลับแปลกใจขึ้นมา “ทำไมหรือ เจ้ารู้จักนางหรือ”
สีหน้าของเซียวชิงเหอยิ่งแปลกพิกล จ้องหลินสวินแล้วพูดว่า “บอกข้าก่อนได้หรือไม่ว่า เจ้า… กับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน”
“สหาย” หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“แค่สหายจริงๆ หรือ” เซียวชิงเหอพูดเพื่อความแน่ใจอีกขั้น
หลินสวินรับรู้ได้อย่างมีไหวพริบว่าคำถามเช่นนี้ของเซียวชิงเหอดูไม่ปกตินัก เขาพิจารณาครู่หนึ่งจึงพูด “ใช่ เป็นสหาย”
เรื่องบางเรื่อง ไม่สามารถอธิบายให้เซียวชิงเหอเข้าใจได้
“งั้นก็ดี”
เซียวชิงเหอแอบโล่งอก เอ่ยว่า “จ้าวจิ่งเซวียนที่เจ้าพูดถึงข้าเองก็รู้จัก แต่ไม่ใช่เพราะนางงดงามและสะดุดตา แต่เพราะคนผู้หนึ่ง”
“ใคร?” หลินสวินมุ่นคิ้ว
“เยี่ยนจั่นชิว!” เซียวชิงเหอพูดออกมาทีละคำ
ชื่อนี้ราวกับมีพลังเวทมนตร์แปลกประหลาด ทำให้ตอนเซียวชิงเหอพูด สีหน้าเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นมา
“คนผู้นี้คือใคร” หลินสวินอดถามไม่ได้
“เจ้าเพิ่งมาแดนชัยบูรพาได้ไม่นาน ไม่รู้จักเยี่ยนจั่นชิวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สำหรับผู้ฝึกปราณท้องถิ่นแดนชัยบูรพา เยี่ยนจั่นชิวเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่เป็นดั่งตำนานคนหนึ่ง”
เสียงของเซียวชิงเหอหนักอึ้ง ราวกับเพียงแค่ชื่อเยี่ยนจั่นชิวนี้ ก็สามารถนำพาความกดดันอันใหญ่หลวงอย่างมากให้เขา
“เขาเป็นบุตรเทพยุคปัจจุบันของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ถือกำเนิดในตระกูลเยี่ยนที่เป็นตระกูลอริยมรรคบรรพกาล จัดอยู่ในอันดับที่สามของสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแห่งแดนชัยบูรพา!”
“ตอนที่คนผู้นี้ถือกำเนิด บนหลังมีภาพ ‘ลายมรรคเกล็ดมังกร’ ครอบครองพลังมหามรรค ‘มังกรฟ้าแปดภาคี’ แต่กำเนิด ฝึกปราณในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจนถึงปัจจุบัน อายุยังไม่ถึงสามสิบปีก็มีสมญานามว่า ‘มังกรไร้พ่ายแล้ว’”
“ข้าเคยได้ยินเฒ่าดึกดำบรรพ์ในสำนักพูดว่า ในร่างกายของเยี่ยนจั่นชิวคนนี้มี ‘เลือดเจินหลง’ ไหลเวียนอยู่ เผ่าฝั่งมารดาของเขามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงบรรพกาล!”
หลินสวินฟังถึงตรงนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้
ฟังดูแล้วเยี่ยนจั่นชิวคนนี้ไม่เพียงแค่พลังต่อสู้โดดเด่น แม้แต่ชาติกำเนิดก็ยังเรียกได้ว่าน่ากลัวอย่างที่สุด เขามาจากตระกูลเยี่ยนที่เป็นตระกูลอริยมรรค อีกทั้งฝั่งมารดาก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลง
แม้แต่ตัวเขา ตอนนี้ก็กลายเป็นบุตรเทพรุ่นปัจจุบันของสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแล้ว เพียงแค่ชาติกำเนิดและที่มาก็สามารถทำให้บุคคลระดับผู้กล้าส่วนใหญ่ในโลกจืดจางลงแล้ว
“เมื่อประมาณหกปีที่แล้ว ศิษย์พี่ของข้าหมีเหิงเจินเคยต่อสู้กับเยี่ยนจั่นชิวครั้งหนึ่ง ขั้นตอนนั้นไม่มีใครรู้ และผลลัพธ์ก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น ศิษย์พี่ของข้าเคยส่งเสียงถอนหายใจเบาๆ บอกว่า เยี่ยนจั่นชิวคนนี้เรียกได้ว่าเป็นคนที่เหมือนเจินหลงจริงๆ ทำให้เขาไม่ยอมรับไม่ได้!”
เซียวชิงเหอสีหน้าซับซ้อน “นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นศิษย์พี่ประเมินคนในรุ่นเดียวกันสูงเพียงนี้”
หลินสวินฟังถึงตรงนี้ก็อดพูดอย่างสงสัยไม่ได้ “คนผู้นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่ง แต่เขากับจ้าวจิ่งเซวียนมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน”
สีหน้าของเซียวชิงเหอพลันแปลกประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง “ง่ายมาก เมื่อสามปีที่แล้วเคยมีผู้สืบทอดคนหนึ่งของแดนเร้นอริยะเดินทางไปสู่ขอที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หมายจะแต่งจ้าวจิ่งเซวียนเป็นคู่บำเพ็ญ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร”
ไม่รอคำตอบ เขาก็ถามเองตอบเอง “ตอนนั้นเยี่ยนจั่นชิวที่ปิดด่านอยู่รู้ข่าวก็ออกด่านมาทันที และลงมือโดยไม่สนการห้ามปราบของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณและไม่ถามเหตุผลใดๆ ซัดเจ้าคนที่มาสู่ขอจนเกือบตาย!”
หลินสวินหรี่ตา ในที่สุดก็เดาเหตุผลบางอย่างออกรางๆ แล้ว
“ตอนนั้นหลังจากเยี่ยนจั่นชิวทำเรื่องนี้เสร็จก็ประกาศกร้าวว่า ต่อไปใครกล้าคิดเกินเลยกับจ้าวจิ่งเซวียนต้องผ่านด่านเขาเยี่ยนจั่นชิวก่อน ไม่เช่นนั้นแม้ราชันสวรรค์มา เขาก็ไม่ปล่อยไว้!”
พูดถึงตรงนี้เซียวชิงเหออดหดหู่ไม่ได้ “ตอนนั้นเรื่องนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เลยเชียว ทำให้ผู้ฝึกปราณที่เดิมทีไม่รู้จักผู้หญิงที่ชื่อจ้าวจิ่งเซวียน ก็จำชื่อนี้ได้ตั้งแต่ตอนนั้น”
จนตอนนี้ในที่สุดหลินสวินจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อครู่นี้เซียวชิงเหอจึงถามว่าตนกับจ้าวจิ่งเซวียนเป็นอะไรกันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
ที่แท้ก็เพราะข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนยังมี ‘ผู้พิทักษ์บุปผา’ อย่างเยี่ยนจั่นชิวอีกคน
“แต่ว่า เยี่ยนจั่นชิวกับจ้าวจิ่งเซวียนเป็นอะไรกัน” หลินสวินขมวดคิ้ว ความจริงในใจเขามีการคาดเดาบางอย่างรางๆ แล้ว
“นี่ก็พูดยากแล้ว มีคนบอกว่า นอกจากฝึกปราณ สิ่งที่เยี่ยนจั่นชิวห่วงใยและชื่นชอบที่สุดก็คือจ้าวจิ่งเซวียน”
“และมีคนบอกว่า เยี่ยนจั่นชิวหมายตาจ้าวจิ่งเซวียนเป็นคู่ครองในอนาคต ไม่ยอมให้คนอื่นแตะต้อง”
“สรุปแล้ว สิ่งที่มั่นใจได้คร่าวๆ ก็คือ ความสัมพันธ์ของเยี่ยนจั่นชิวกับจ้าวจิ่งเซวียนต้องไม่ธรรมดาแน่ ไม่เช่นนั้นบุคคลระดับยอดมกุฎที่ราวกับปีศาจไร้เทียมทานอย่างเยี่ยนจั่นชิว จะสนใจจ้าวจิ่งเซวียนขนาดนี้ได้อย่างไร”
เซียวชิงเหอพูดถึงตรงนี้ก็เตือนว่า “เพราะฉะนั้นข้าว่าเจ้าอย่าคิดเกินเลยกับผู้หญิงคนนี้จะดีที่สุด แม้เป็นสหายก็ต้องระวังขอบเขต จะได้ไม่ล่วงเกินจนเกิดศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างเยี่ยนจั่นชิวเพิ่มมาอีกคน”
หลินสวินขานรับว่าอ้อ ในใจรู้สึกฝาดเฝื่อนน้อยๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ไม่เจอกันหลายปี เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนจะมีผู้พิทักษ์บุปผาอย่างเยี่ยนจั่นชิวเพิ่มเข้ามา
นี่คือชายในดวงใจที่นางเลือกงั้นหรือ
หรือบางทีนางอาจจะคบหากับเยี่ยนจั่นชิวแล้ว
ความคิดของหลินสวินค่อนข้างสับสน และลังเลเล็กน้อยว่าจะไปเยี่ยม ‘สหายเก่า’ อย่างจ้าวจิ่งเซวียนตอนนี้หรือไม่
หากตนปรากฏตัวตรงหน้านางโดยพลการตอนนี้ จะทำให้นางเกิดความกลัดกลุ้มใจโดยใช่เหตุหรือไม่
อีกอย่างไม่เจอกันหลายปี นางจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่นางที่เขาคุ้นเคยในตอนนั้นอีกต่อไปแล้วหรือไม่
ภาพของหญิงสาวที่ปลอมเป็นชาย บุคลิกสง่างาม รอยยิ้มกระจ่างตา ปรากฏขึ้นในหัวของหลินสวินอย่างควบคุมไม่อยู่
ในใจยิ่งรู้สึกฝาดเฝื่อนและลังเลกว่าเดิม
“หลินสวิน เจ้า… คงไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับจ้าวจิ่งเซวียนนั่นจริงๆ หรอกกระมัง”
เห็นว่าหลินสวินเงียบไป สีหน้าก็ดูสับสน เซียวชิงเหออดตกใจไม่ได้ พลันส่งเสียงอย่างสงสัย
“อย่าพูดเหลวไหล!” หลินสวินถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง ลอบสูดหายใจเข้าลึกๆ สกัดกั้นความรู้สึกแปลกประหลาดในใจไว้
“เช่นนั้นครั้งนี้เจ้าจะไปเยี่ยม… สหายเก่าคนนี้อยู่หรือไม่” เซียวชิงเหอถาม
“ไป ทำไมจะไม่ไป หรือเพราะเยี่ยนจั่นชิวคนเดียวก็ต้องเปลี่ยนความตั้งใจในการมาเยี่ยมของข้าในครั้งนี้” หลินสวินยิ้ม
จู่ๆ เขาก็พบว่า เมื่อครู่นี้ตนคิดมากไป
ก่อนที่จะมั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวจิ่งเซวียนกับเยี่ยนจั่นชิว คิดมากขนาดนั้นก็ดูไม่มีความหมายเลยสักนิด ไม่ต่างอะไรกับการตีตนไปก่อนไข้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาครุ่นคิดอย่างใจเย็นแล้ว ระหว่างเขากับจ้าวจิ่งเซวียนก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษ อย่างมากที่สุดก็เรียกได้ว่าเป็นสหายเก่าที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และชื่นชมซึ่งกันและกันก็เท่านั้น
ส่วนความสัมพันธ์เช่นนี้จะสามารถพัฒนาไปอีกขั้นได้ไหมนั้น…
หลินสวินเองก็ไม่รู้
หรือจะบอกว่า ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่รู้ชัดว่าชอบจ้าวจิ่งเซวียนในเชิงชู้สาวมากกว่า หรือชอบในฐานะสหายมากกว่า
แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้เขาก็ต้องเจออีกฝ่ายให้ได้!
“ฮ่า ก็จริง!”
เซียวชิงเหอตบเข่าฉาด หัวเราะลั่นขึ้นมา “ข้าก็ลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าข้าเป็นถึงเทพมารหลิน ที่พูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความกังวลโดยใช่เหตุ”
พูดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็เอ่ยอย่างตื่นเต้น “จะว่าไป ข้ากลับรอคอยอย่างมากว่าเจ้าจะสามารถชิงตัวจ้าวจิ่งเซวียนมาจากเยี่ยนจั่นชิวได้ จะได้ฉวยโอกาสนี้โจมตีความเย่อหยิ่งของเยี่ยนจั่นชิวสักหน่อย”
หลินสวินหมดคำพูด เจ้าหมอนี่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายชัดๆ!
ไม่นานเงาร่างของทั้งสองก็ไปปรากฏในกลุ่มเทือกเขาที่เรียงรายสลับทับซ้อน ท้องทุ่งสี่ด้านกว้างใหญ่ไพศาล ฟ้าสูงเมฆขาว
“ข้าจะรอข่าวจากเจ้าที่นี่”
หลินสวินหยุดฝีเท้า ห่างออกไปอีกไม่ถึงพันลี้ก็คือเขาสามกระจ่างอันเป็นที่ตั้งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแล้ว
“รอฟังข่าวจากข้า”
เซียวชิงเหอตอบรับอย่างเต็มที่
ด้วยฐานะผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของเขา เพียงแค่ไปเยี่ยมจ้าวจิ่งเซวียน ให้อีกฝ่ายออกมาระลึกความหลังกับหลินสวินเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
……
บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหินประหลาด หลินสวินนั่งอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่ง เหม่อมองทะเลเมฆที่อยู่ห่างไกล
ในสมองหวนคิดถึงภาพครั้งแรกที่เจอจ้าวจิ่งเซวียน จนถึงการปฏิสัมพันธ์ครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากนั้น
จ้าวจิ่งเซวียนงดงามมาก เป็นความงามที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ผ่าเผยและตรงไปตรงมา ทุกๆ รอยยิ้ม ทุกๆ อริยาบถ ล้วนเผยบุคลิกที่พาให้รู้สึกราวกับอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ
เวลาอยู่กับนางทำให้หลินสวินรู้สึกผ่อนคลาย สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ
พูดได้ว่าในบรรดาผู้หญิงที่หลินสวินรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วชิงเยียนที่สง่างามไร้เทียมทาน ไป๋หลิงซีที่งามดั่งภาพวาด หรือเยวี่ยไฉ่เวยที่สติปัญญาหลักแหลม…
ต่างมีความงาม มีบุคลิกและความโดดเด่นของตน
แต่มีเพียงจ้าวจิ่งเซวียนที่ทำให้หลินสวินรู้สึกสบายใจและเป็นอิสระอย่างที่สุดเมื่อได้ใกล้ชิดกัน
ผู้หญิงทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่เห็นได้ชัดว่าสำหรับหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนนั้นพิเศษไม่เหมือนใคร
ส่วนซย่าจื้อ…
หลินสวินคิดถึงตรงนี้ในหัวใจพลันกระตุกวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขื่น ราวกับจนปัญญา ทั้งคล้ายรักถนอมเอ็นดู
‘ไม่เจอกันหลายปี แต่ละคนต่างมีการเปลี่ยนแปลงของตนเอง เพียงแต่… ก็ไม่รู้ว่าแม่นางจ้าวจะเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วหรือไม่…’
หลินสวินพึมพำในใจ
ห่างออกไปทะเลเมฆพวยพุ่ง หมุนวนพลิกม้วนไม่หยุด ปรากฏเป็นสีสันงดงามหลากหลายท่ามกลางการส่องสว่างของดวงสุริยันที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้าในทิศตะวันตก
เช่นเดียวกับหลินสวินในตอนนี้ ภายนอกดูนิ่งสงบ ความจริงภายในใจกลับเกิดระลอกคลื่น ความคิดสับสนวุ่นวาย ไม่ได้สงบเหมือนอย่างภายนอก
หืม
ภายใต้การรับสัมผัสของจิตรับรู้อันยิ่งใหญ่ของหลินสวิน ในบริเวณที่ห่างออกไปพันลี้ ได้ปรากฏแสงเคลื่อนไหวอันงดงามมากมาย
หลินสวินยืนขึ้นโดยพลัน เส้นผมสีดำพลิ้วไหว ชุดคลุมสีขาวพระจันทร์โบกพลิ้วจนเกิดเสียงดังท่ามกลางลมภูเขาที่พัดกระหน่ำ
ห่างออกไป ทะเลเมฆม้วนตลบ อาทิตย์อัสดงราวกับเพลิง
——