บทที่ 1717 ลิ้มรสแส้สยบมังกรอีกแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

สิบแส้? เหมียวอี้พูดไม่ออก นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ตัวเองโดนแส้สยบมังกร? เขาย่อมเข้าใจอยู่แล้วว่าตำหนักสวรรค์ไม่มีทางใช้แส้ธรรมดามาเฆี่ยนให้คันแน่ รสชาติที่เหมือนวิญญาณหลุดร่างร่างแบบนั้นทำให้เขากลัวจนตัวสั่นเช่นเดียวกัน!

ใช้เครื่องมือลงโทษโดยไม่แม้แต่จะตรวจสอบก่อน สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขานิดหน่อย

อิ๋งอู๋เชวียที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นงงเป็นไก่ตาแตก เขาไม่เคยลิ้มรสแส้สยบมังกรแต่ก็เคยเห็นมาก่อน นั่นเป็นวิธีการลงโทษที่เขาชอบทำมาใช้สั่งสอนลูกน้อง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งมันจะมาเยือนบนร่างกายตัวเอง เขาไม่อยากจะลิ้มรสชาติมันเลยจริงๆ จึงหันซ้ายหันขวามองขุนนางใหญ่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋ง แล้วหันไปมองพี่น้องตัวเองอีก หวังว่าจะมีคนช่วยวิงวอนขอความเมตตาให้

ทว่าผลลัพธ์ก็ทำให้เขากลัวมาก ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักล้วนอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคน แม้แต่พี่ใหญ่ของเขาก็ทำหน้าขรึมไม่พูดอะไร

ราชสำนักก็เป็นอย่างนี้ ขนาดประมุขชิงยังต้องควบคุมตัวเอง เป็นสถานที่ที่พูดกันด้วยเหตุผล พูดกันตามกฎระเบียบ ไม่ใช่สถานที่ประลองว่าหมัดใครใหญ่กว่า ไม่อย่างนั้นใครวรยุทธ์สูงคนนั้นก็มีอำนาจตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องสร้างระบบราชสำนักขึ้นมาปกครองใต้หล้าหรอก ประมุขชิงเองก็จำกัดตัวเองไว้ในขอบเขตนี้ พูดจาอย่างมีเหตุผลเช่นกัน บรรดาขุนนางใหญ่ก็ย่อมว่าอะไรไม่ได้แล้ว

ที่จริงในใจกลุ่มขุนนางเข้าใจชัดเจนมาก ว่าภายนอกประมุขชิงลงโทษหนิวโหย่วเต๋อ แต่ความจริงแล้วกำลังยื่นมือปกป้องหนิวโหย่วเต๋ออยู่ การยื่นมือครั้งนี้ถือว่าเล่นในงดงามมาก ทำให้ไม่มีใครว่าอะไรได้

ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? ในขณะที่หวาดกลัว อิ๋งอู๋เชวียถูกทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเข้ามาดึงขึ้นจากพื้น ถูกลากออกไปข้างนอกพร้อมเหมียวอี้แล้ว

ปฏิกิริยาของบรรดาขุนนางใหญ่ในตำหนักเงียบสงบมาก กลับเป็นพวกผู้หญิงที่มีการตอบสนองแตกต่างกันไป บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็ตกใจ บางคนยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น คนที่เสียดายก็มี

ลูกหลานแต่ละตระกูลที่อยู่ในงานเลี้ยงนอกตำหนักลุกขึ้นยืนทันที ได้แต่มองดูอิ๋งอู๋เชวียกับเหมียวอี้ถูกลากไป ต่างก็มองออกว่าสองคนนี้กำลังถูกลากไปทำโทษ จะประหารหรืออะไรก็ไม่มีใครรู้ คนในตำหนักกล้าร่ายอิทธิฤทธิ์สอดแนมออกมาข้างนอก แต่พวกเขาไม่กล้าร่ายอิทธิฤทธิ์สอดแนมเข้าไปในตำหนัก

เพียงแต่พอได้เห็นว่าตระกูลอิ๋งที่มีอำนาจมากขนาดนั้นแต่ยังปกป้องอิ๋งอู๋เชวียไม่ได้ ก็นับว่าสะเทือนใจกลุ่มลูกหลานขุนนางมาก

ประมุขชิงที่อยู่ในตำหนักเอียงหน้ามองซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เรื่องยังไม่เรียบร้อย อย่าทำให้คนตายไปก่อน”

ซ่างกวนชิงก้มหน้าเล็กน้อยบอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว ย่อมรู้ว่าหมายถึงใคร เพราะของอย่างแส้สยบมังกร เวลาได้ลงมือขึ้นมาก็เกิดเหตุไม่คาดคิดได้เยอะมาก บางครั้งเฆี่ยนร้อยครั้งก็อาจจะไม่ถึงตาย แต่บางครั้งเฆี่ยนครั้งเดียวก็อาจทำให้ตายได้ เขาแอบใช้ระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อถ่ายทอดคำสั่งลงไป

ตอนนี้ประมุขชิงถึงได้ยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้นจากโต๊ะ แล้วกล่าวกับเซี่ยโห้วท่าด้วยรอยยิ้ม “คิดเสียว่าเพิ่มความสนุกสนานให้งานเลี้ยง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านปู่สวรรค์ข้าเก็บไปใส่ใจ”

เซี่ยโห้วท่ารีบยกจอกสุราขึ้นเอ่ยรับ แล้วประมุขชิงก็ยกจอกสุราหันไปทางกลุ่มขุนนางอีก “ชนจอกอวยพรท่านปู่สวรรค์ร่วมกัน”

ทุกคนย่อมทยอยกันยืนขึ้น จากนั้นพอซ่างกวนชิงโบกมือ บรรดาเทพธิดาที่เรือนร่างอรชรอ่อนช้อยก็หลั่งไหลออกมาจากตำหนักข้างซ้ายและขวา เสียงดนตรีระบำดังขึ้นอีกครั้ง

ราชินีสวรรค์ที่กำลังยกจอกสุราจิบเอียงหน้าส่งสายตาให้เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างกัน เอ๋อเหมยติดตามรับใช้นางมาหลายปี ย่อมเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ จึงก้มหน้าเล็กน้อยบอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว

ตรงจุดทำโทษที่อยู่อีกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงแส้ฟาดเปรี๊ยะๆ อิ๋งอู๋เชวียส่งเสียงร้องครวญครางราวกับผีสาง วันนี้เขาเพิ่งจะรู้รสชาติที่กระชากวิญญาณของแส้สยบมังกร เขาไม่อยากจะกรีดร้องอย่างอนาถขนาดนี้ แต่กลับควบคุมความรู้สึกไม่ไหว สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณจริงๆ

ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่ได้กรีดร้องอย่างอนาถขนาดนั้น แต่ในลำคอกก็ครางเสียงต่ำ “ฮือฮือ” อย่างควบคุมไม่อยู่เช่นกัน แขนขาทั้งสี่ที่ถูกโซ่เหล็กล่ามก็สั่นเทิ้มเช่นกัน เหงื่อเม็ดใหญ่บนใบหน้าก็เพียงพอจะอธิบายปัญหาได้แล้ว

หลังของทั้งสองเละเทะจนเห็นกระดูก เลือดสดไหลเต็มพื้น

มังกรทองที่พันอยู่บนเสาไกลๆ ทั้งยังมีหงส์สีรุ้งอีกตัวที่เหาะบนเสาหิน พวกมันกำลังมองมาทางลานทำโทษอย่างไม่ละสายตา

หลังจากทำโทษเสร็จแล้วแกะโซ่ออก ทั้งสองก็นอนหมอบชักกระตุกอยู่ทางกองเลือด ทหารสวรรค์ที่ทำโทษเสร็จแล้วเก็บแส้ จากนั้นก็มีท่าทีนิ่งดูดาย ทำท่าเหมือนสนใจแต่การฆ่า ไม่สนใจการฝัง

คนของตระกูลอิ๋งรีบพุ่งเข้ามาแล้ว หามอิ๋งอู๋เชวียที่สลบเป็นตายออกไป ขณะเดียวกันก็มองเหมียวอี้ที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างโกรธแค้น ถ้าไม่ใช่เพราะมีทหารสวรรค์อยู่ คาดว่าคงจะเข้าไปแตะสักสองที

เหมียวอี้ยังไม่ทันสลบ แค่นอนหมทอยกระตุกอยู่ตรงนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองโดนฟาดจนมีแรงต้านแล้วหรือเปล่า เอาเป็นว่าครั้งนี้รู้สึกเหมือนการโดนแส้ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่ก็เพียงพอจะทำให้เขานอนนิ่งลุกไม่ไหว

ครั้งนี้ตระกูลโค่วไม่มีใครเข้าไปช่วยเขา

รอจนกระทั่งคนของตระกูลอิ๋งออกไปหมดแล้ว แน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ไม่ถูกคุกคามอีก ทหารสวรรค์ที่ทำหน้าที่ลงโทษถึงได้มองเหมียวอี้พลางส่ายหน้าถอนหายใจ จากนั้นทยอยกันเดินออกไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เคยเป็นคนของกองทัพองครักษ์ นับว่าเคยเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดของกองทัพองครักษ์เช่นกัน ทุกคนต่างรู้ว่าเขาได้รับความชื่นชมจากนายท่านโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย อีกทั้งในบรรดาพวกเขาก็มีคนเคยดื่มสุรากับเหมียวอี้มาแล้วด้วย ย่อมเป็นตอนที่เหมียวอี้เฝ้ายามอยู่ที่อุทยานหลวง

ในขณะนี้เอง ด้านหลังประตูพระจันทร์ที่อยู่ไม่ไกลถึงมีเทพธิดากลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา พุ่งมาข้างกายเหมียวอี้แล้วรีบประคองขึ้นมา มีบางคนยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวเข้าปากเหมียวอี้ แล้วมีอีกหลายคนเป่าละอองดาวหลายกลุ่มใส่บาดแผลอันน่าหวาดกลัวบนหลังเหมียวอี้

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ที่เหงื่อออกเต็มศีรษะมองซ้ายมองขวาอย่างยากลำบาก หรือว่าจะเป็นคนของแม่เฒ่าลวี่ที่สวนกลางเขียวขจี? เทพธิดาจากสวนกลางเขียวขจีสามารถเข้าพระตำหนักอุทยานได้เหรอ? และดูจากเครื่องแบบของเทพธิดากลุ่มนี้ ก็เหมือนจะเป็นของวังสวรรค์นะ นี่มันเรื่องอะไร?

รอจนอาการบาดเจ็บของเหมียวอี้บรรเทาคงที่แล้ว กลุ่มเทพธิดาก็หามเหมียวอี้ขึ้นมาอีก หามออกไปนอกพระตำหนักอุทยาน

ไม่ได้ลากไปที่อื่น นำเหมียวอี้ไปส่งที่สวนกลางเขียวขจีโดยตรง

เมื่อเห็นเหมียวอี้อยู่ในสภาพนี้ แม่เฒ่าลวี่กับเฟยหงที่กำลังรอฟังข่าวจากเหมียวอี้อยู่ก็ตกใจมาก

หลังจากนำทางให้พวกเทพธิดาส่งเหมียวอี้เข้าโพรงไม้แล้ว แม่เฒ่าลวี่ก็ออกมาพร้อมกับพวกนาง แล้วถามว่า “นางหนู เขาเป็นอะไรไปแล้ว?”

นางจำได้ว่าผู้หญิงพวกนี้คือเทพธิดาของตำหนักนารีสวรรค์ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นนางที่ควบคุมส่งพืชพรรณไปให้ตำหนักนารีสวรรค์ แต่สิ่งที่นางแปลกใจก็คือ เหตุใดคนของตำหนักนารีสวรรค์ถึงมาส่งเหมียวอี้ที่นี่ด้วยตัวเองได้?

เทพธิดาเหล่านั้นยิ้มบางๆ พวกนางรู้ว่าแม่เฒ่าลวี่เข้าออกตำหนักนารีสวรรค์บ่อย ถึงขนาดพูดคุยสัพเหระกับราชินีสวรรค์บ่อยด้วย จึงไม่กล้าวางมาดต่อหน้าแม่เฒ่าลวี่ แต่วันนี้ปิดปากสนิทมาก ทำความเคารพแล้วกล่าวขอตัวลาเลย “แม่เฒ่า พวกเรายังมีธุระ ขอตัวก่อนค่ะ”

ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดหันตัวแล้วจากไป

แม่เฒ่าลวี่ที่มองส่งด้วยความสงสัยกลับเข้ามาในโพรงไม้แล้วอึ้งอีกรอบ ไม่ใช่เพราะสภาพบาดแผลที่อนาถของเหมียวอี้ แต่เพราะเห็นเฟยหงร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจขณะใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวรักษาบาดแผลให้เหมียวอี้

แม่เฒ่าลวี่ตั้งใจจ้องสีหน้าเฟยหงที่ร้องไห้อย่างปวดใจ แล้วก็จ้องเหมียวอี้ที่กำลังครางเบาๆ อีก นางค่อยๆ หลับตาแล้วเงียบงันอยู่นานมาก สุดท้ายก็เดินอ้อมเสาไปตรงหน้าเตียง มองเหมียวอี้ที่เหงื่อออกเต็มศีรษะพลางแสยะยิ้ม “ไปก่อเรื่องอะไรมาอีกแล้วล่ะ? รู้อยู่ชัดๆ ว่าไม่มีใครชอบขี้หน้าเจ้า ยังจะเป็นฝ่ายไปเข้าไปหาเรื่องเจ็บตัวอีก ที่เจ้าเก็บชีวิตกลับมาได้ ก็นับว่าดวงแข็งแล้ว ในสายตาเจ้า แม่บุญธรรมอย่างข้าคงไม่สำคัญอะไร เจ้าน่ะ ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ ข้าไปยุ่งกับเจ้าไม่ไหวแล้ว” พูดจบก็เหลือบมองเฟยหงแวบหนึ่ง แล้วหันตัวเดินจากไป ไม่พูดอะไรกับนางสักคำ

เหมียวอี้ยิ้มอย่างขื่นขม พอหันไปเห็นเฟยหงร้องไห้ ก็รีบถ่ายทอดเสียงเกลี้ยกล่อม “บาดเจ็บกว่านี้ข้าก็เคยมาแล้ว กายเนื้อบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เช็ดน้ำตาสักหน่อย อย่าให้คนอื่นมองพิรุธอะไรออก”

เฟยหงกัดริมฝากพลางพยักหน้าเช็ดน้ำตา

งานวันเกิดที่อุทยานหลวงจัดต่อเนื่องอีกหนึ่งวัน รายการแสดงบันเทิงต่างๆ ที่สวนหรรษาก็ย่อมขาดไม่ได้

ระหว่างทางไปสวนหรรษามีเวลาว่างเล็กน้อย ประมุขชิงเรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาคุยเป็นการส่วนตัว “เรื่องวันนี้ เจ้าคิดว่ายังไง?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนเห็นว่านอกจากซ่างกวนชิงที่ติดตามอยู่ข้างกาย ก็เหลือแค่เขาคนเดียว เขารับผิดชอบด้านไหนล่ะ? ที่เรียกเขามาก็ย่อมต้องเกี่ยวกับเรื่องที่เขารับผิดชอบอยู่แล้ว พอจะเข้าใจความหมายในคำพูดของประมุขชิงแล้ว “หรือฝ่าบาทรู้สึกว่าเรื่องในวันนี้มีเงื่อนงำ?”

ประมุขชิงลูบเครา “เจ้าลูกลิงนั่นใจกล้าไม่เบา เรียกได้ว่าใช้แผนการชุดแล้วชุดเล่า ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าลูกลิงนั่นเตรียมตัวมา? หดหู่ท้อแท้ชีวิต เลยตบตีอนุภรรยาระบายอารมณ์เหรอ? เจ้าดูท่าทางที่มีชีวิตชีวาของเขาสิ เหมือนคนที่หดหู่ท้อแท้ชีวิตเหรอ?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกลุ้มใจนิดหน่อย “ข่าวที่สายลับส่งมาเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือว่าจงใจเล่นละคร?”

ประมุขชิงเหล่ตาถาม “ไม่ใช่ว่าสายลับของเจ้าโดนเขาซื้อไปแล้วร่วมกันเล่นละครตบตาหรอกนะ?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบปฏิเสธ “น่าจะไม่ถูกซื้อขอรับ” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ฝ่าบาท จุดอ่อนของสายลับคนนั้นอยู่ในมือข้าน้อบ ฐานะของสายลับคนนั้นคือ…”

ซ่างกวนชิงไม่รู้ว่าเขากำลังพูดความลับอะไร จากนั้นก็พบว่าประมุขชิงเหลือบมองซือหม่าเวิ่นเทียนด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วไม่ได้ถามอะไรอีก เปลี่ยนเป็นกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้าเจ้าลูกลิงนั่นวางแผนมานานแล้วจริงๆ แสดงว่าเจ้าลูกลิงนั่นก็ไม่ธรรมดา!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าเห็นด้วย เพียงแต่ในใจอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายวางแผนมานานแล้วยังไงล่ะ คนเบื้องล่างมีใครบ้างที่ไม่คิดทำทุกวิถีทางเพื่อไต่เต้าขึ้นมาข้างบน ชัดเจนแล้วว่านี่คือแผนลับ ตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่ง ขนาดท่านยังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเลย

ทว่ากลับได้ยินประมุขชิงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าลูกลิงนั่นใจกล้าไม่เบา คิดวางแผนลามปามมาถึงหัวข้าแล้ว ถ้ามีความสามารถ ข้าไม่เสียดายที่จะให้ผลประโยชน์หรอก แต่ถ้ากล้าคิดไม่ซื่อ…ใช้ความพยายามกับสายลับคนนั้นหน่อย ในอนาคตอาจจะได้ใช้งานสำคัญก็ได้” พูดจบก็โบกมือให้ออกไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที เมื่อสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง เกรงว่าในอนาคตสายลับคนนั้นคงจะกลายเป็นมือสังหาร จึงกุมหมัดคารวะทันที “รับทราบ! ข้าน้อยขอตัว”

รอจนเขาออกไปแล้ว ประมุขชิงก็เอียงหน้าบอกอีก “เรีบกอู๋ฉวี่กับเกาก้วนมา”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วใช้ระฆังดาราติดต่อ

“ฝ่าบาท!” ไม่นานอู๋ฉวี่กับเกาก้วนก็เข้ามาทำความเคารพพร้อมกัน

“ไม่ต้องมากพิธี!” ประมุขชิงโบกมือให้ทั้งสอง แล้วบอกอู๋ฉวี่ว่า “เจาจัดกำลังพลกลุ่มหนึ่งคุ้มกันส่งหนิวโหย่วเต๋อกลับไป แล้วคุ้มกันที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีชั่วคราว ป้องกันไม่ให้มีคนเล่นตุกติกกับหนิวโหย่วเต๋อก่อนผลการเดิมพันจะออก…” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ถ้าการเดิมพันดำเนินไปอย่างเสียเปรียบ จะมีคนไปรื้อเวที ให้คนของเจ้าให้ความร่วมมือด้วย เข้าใจความหมายของข้าใช่มั้ย?”

อู๋ฉวี่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจแล้ว ถ้าการเดิมพันทำให้ฝั่งนี้ได้เปรียบก็ให้ปกป้งหนิวโหย่วเต๋อ แต่ถ้าการเดิมพันทำให้ฝั่งนี้เสียเปรียบ ที่บอกว่าจะมีคนรื้อเวที ก็หมายความว่าจะมีคนกำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้งเพื่อพังการเดิมพันนี้ ส่วนคนที่เขาส่งไปคุ้มกันก็ห้ามแทรกแซง เขาพยักหน้ากุมหมัดคารวะ “น้อมรับบัญชา!”

ประมุขชิงหันกลับมาสั่งเกาก้วนอีก “หน่วยตรวจการขวาเบิกตากว้างๆ หน่อย ถ้ามั่นใจว่ามีคนเล่นตุกติกแทรกแซงอยู่เบื้องหลังการรับคนที่ตลาดผี คงไม่ต้องให้ข้าสอนว่าเจ้าต้องทำยังไง?”

“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ

…………………………