“อันใด ขาดสหายหานและพวกทั้งสามไป พละกำลังของพวกเราก็จะลดลง จะไม่มีปัญหาสินะ? สหายซวนจิ่วหลิงในยามนี้อยู่ที่ใด คงไม่ใช่ว่าคิดจะไม่มารวมตัวกับพวกเราสินะ” อิ๋นกังจื่อขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามตรงๆ

“นั่นทำอันใดไม่ได้ มีเพียงสหายหานและพวกทั้งสามคุ้มกันตาอาคมด้วยตัวเอง พวกเราถึงจะไม่ต้องกังวลว่าเขตอาคมสองธงทลายธุลีจะถูกอีกฝ่ายทลาย ถึงอย่างไรเสียเขตอาคมนี้ก็เป็นเขตอาคมลับของแดนเซียน ไว้จัดการกับเซียนเที่ยงแท้โดยเฉพาะย่อมไม่อาจขาดเครื่องเมื่อสังหารได้ ความเหมาะสมของทั้งสองนั้นก็ต้องเลือกเพียงอย่างหนึ่งแล้ว ส่วนสหายซวนจิ่วหลิงทุกท่านไม่ต้องกังวล เขามาถึงแล้ว” หมิงจวินตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน

ชั่วพริบตาที่สิ้นเสียงคำพูดของเขา เสียงราบเรียบของบุรุษอีกเสียงหนึ่งก็ดังก้องไปมากลางอากาศ

“อันใด ทุกท่านกังวลว่าผู้แซ่ซวนจะถอยทัพกะทันหันหรือ! เจ้าพวกวางใจ ต่อให้พวกเจ้าเปลี่ยนใจ ผู้แซ่ซวนก็จะลงมือเพียงลำพัง มีโอกาสสังหารเซียนคนหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะพบได้ทั่วๆ ไป”

“พูดจาโอ้อวดเช่นนี้ เป็นเสียงของสหายซวนดังคาด ในเมื่อสหายมาถึงแล้ว เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวมาพบพวกเรา” ฮูหยินอูหลิงมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่แววตาพลันเปล่งประกายสว่างวาบพลางกวาดตามองไปขณะเอ่ย

คนอื่นๆ ได้ยินก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง

“ผู้แซ่ซวนชอบไปไหนมาไหนลำพัง ไม่จำเป็นต้องพบหน้าพวกเจ้า ทุกท่านรู้แค่ว่ายามที่ควรลงมือข้าน้อยก็จะลงมือก็พอ” ซวนจิ่วหลิงยังคงถ่ายทอดเสียงมาอย่างไร้ความรู้สึก

ครานี้ผู้แข็งแกร่งระดับมหายานทุกคนทำได้เพียงมองหน้ากันหมดคำพูด ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ไม่อาจหาตำแหน่งซ่อนตัวของอีกฝ่ายพบจึงตกตะลึงไปหลายส่วน

ตรงขอบของแดนหมิงซา ไกลออกไปตรงขอบฟ้ามีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบและเลือนรางจมหายเข้าไปในแดนหมิงซา

ฉับพลันนั้นลำแสงสีเขียวพลันหม่นแสงลง กลางอากาศมีสำเภาเหาะใสแจ๋วความยาวสิบจั้งเศษปรากฏขึ้น

ตรงส่วนหน้าของสำเภาเหาะ หกปีกและปิงเฟิงล้วนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าซีดขาว

“ครั้งนี้มันเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าบ้านั่นจะไม่เพียงพลังปราณไม่ได้รับความเสียหายจากการสูญเสียครั้งก่อนและดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้า แต่จนถึงยามนี้ก็น่าจะปลอดภัยแล้ว พวกเรารออย่างเงียบๆ เถิด ให้มันเข้ามาใกล้กว่านี้ค่อยเข้าไปด้านใน” หกปีกหันหน้าไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง แววตาฉายแววหวาดกลัวขณะเอ่ย

“ใช่แล้ว ครั้งนี้พวกเราไม่เพียงใช้ยาลูกกลอนและยันต์วิเศษที่พันธมิตรเฮ่อเหลียนซางมอบให้จนเกือบจะหมดแล้ว แม้กระทั่งพลังดั้งเดิมของเจ้ากับข้าที่เพิ่งฟื้นฟูก็ถูกชดเชยเข้าไปจนหมด หากครั้งนี้คนของพันธมิตรซางไม่อาจกดเจ้าบ้านั่นได้ เจ้ากับข้าก็ไม่มีโอกาสหนีรอดอีก” ใบหน้างดงามของปิงเฟิงก็ดูไม่ได้ขณะเอ่ยตอบเช่นกัน

“หมิงจวินไม่ได้เชิญผู้แข็งแกร่งแนวหน้าทั้งแผ่นดินใหญ่มาหรือ หนึ่งในนั้นน่าจะมีเจ้านายคนก่อนของข้าด้วยสินะ แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่เจ้านายคนก่อนของข้ามีฝีมือไม่ธรรมดา หากเขาเข้าร่วมในครั้งนี้กว่าครึ่งก็คงไม่พลาด” หกปีกเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“อ่อ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเชื่อใจพี่หานขนาดนั้น” ปิงเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย

“หึ หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะเสนอเงื่อนไขให้หมิงจวินชักจูงไม่ให้เขามายุ่งกับข้าในเวลาพันปีทำไม ช่วงเวลาพันปีก็เพียงพอให้ข้าฝึกฝนแล้ว และไม่ต้องหวาดกลัวผู้ใดในแดนวิญญาณ” หกปีกแค่นเสียงหึ แล้วเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

“งั้นหรือ ข้ากลับรู้สึกว่าจากคุณสมบัติอัปมงคลของพี่หาน พันปีจากนี้อิทธิฤทธิ์อันน่ากลัวจะอยู่ขั้นไหนก็สุดจะรู้ได้ แม้กระทั่งไม่แน่ว่าภายในหมื่นปีอาจจะบรรลุขึ้นไปในแดนเซียนก็เป็นได้” ปิงเฟิงเหลือบตามองหกปีกแวบหนึ่ง มุมปากเผยแววยิ้มเยาะขณะเอ่ย

“บรรลุไปแดนเซียน! ฮ่าๆ เจ้าเองก็มองเรื่องนี้ง่ายดายเกินไป ระดับมหายานทั้งแดนวิญญาณมีกี่ร้อยคน แต่ภายในแสนปีนี้เคยได้ยินผู้ใดบรรลุขึ้นไปในแดนเซียนหรือไม่ ต่อให้เจ้านายเก่าของข้าผู้นี้มีคุณสมบัติสูงส่งแค่ไหน หากไม่มีวาสนา ก็มีโอกาสบรรลุแดนเซียนได้แค่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น” หกปีกหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะเอ่ย

“งั้นหรือ แต่ข้ามั่นใจมากว่าสุดท้ายพี่หานจะบรรลุขึ้นไปแดนเซียนได้ หากครั้งนี้เจ้ากับข้าหนีเอาชีวิตรอดได้ เจ้ากับข้ามาพนันกันเป็นอย่างไร” ปิงเฟิงฟังจนมาถึงยามนี้ ใบหน้าพลันสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะเอ่ย

“พนันอันใด?” หกปีกประหลาดใจเล็กน้อย

“ง่ายมาก ก็พนันว่าพี่หานจะบรรลุขึ้นไปในแดนเซียนภายในหมื่นปีกลายเป็นเซียนเที่ยงแท้ได้หรือไม่” ปิงเฟิงเอ่ยทีละคำๆ

“พนันกับอันใด?” หกปีกจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวข้างกาย รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น ถึงได้ครุ่นคิดแล้วพลันเอ่ยถามอย่างเย็นชา

“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเจ้าหรือ หากข้าแพ้ก็จะตกลงเรื่องนี้ ยอมแต่งเป็นภรรยาเจ้า แต่หากพี่หานบรรลุขึ้นไปภายในหมื่นปี เจ้าต้องสัญญาว่าหลังจากนี้ที่ๆ ข้าอยู่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายถอยออกไป ห้ามขัดแย้งอันใดกับข้า แน่นอนว่าภายในหมื่นปี ก็ห้ามมารบกวนข้า” ปิงเฟิงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

“เจ้ามั่นใจในตัวเจ้านายเก่าของข้าขนาดนั้นเลยหรือ!” หกปีกได้ยินก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส

“อันใด เจ้าไม่กล้าหรือ หากเจ้าไม่มั่นใจในการคาดเดาของตัวเอง ย่อมไม่จำเป็นต้องพนัน ขอแค่อีกเดี๋ยวถูกพี่หานพากลับไปเป็นสัตว์เลี้ยงก็พอแล้ว” ปิงเฟิงเอ่ยด้วยท่าทีอมยิ้มน้อยๆ

“ข้าไม่ได้ไม่กล้า ทว่าต้องเปลี่ยนนิดหน่อย ในเมื่อเจ้าคิดว่าจะจบการพนันในหมื่นปี เช่นนั้นก็ยอมรับผลก็แล้วกัน หากเจ้านายเก่าของข้าไม่อาจบรรลุขึ้นไปในหมื่นปี ข้าก็ไม่คิดจะแต่งเจ้าทำเมีย เจ้ามาเป็นคนรับใช้ของข้าเถิด จากนี้คำสั่งต่างๆ จากข้าเจ้าห้ามปฏิเสธ และยิ่งไปกว่านั้นการพนันครั้งนี้เจ้ากับข้าต้องสาบานด้วยจิตมาร” หกปีกมีสีหน้าเคร่งขรึมชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

“เป็นสาวใช้! สาบานด้วยจิตมาร! ได้ ไม่มีปัญหา” ปิงเฟิงกลอกตาไปมาคาดไม่ถึงว่าตอบตกลงไปเสียเลย

หกปีกเห็นเช่นนั้นก็ใจหายวาบ แต่เมื่อขบคิดอีกทีอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาใดๆ โอกาสที่ตนจะแพ้นั้นน้อยมาก ทันใดนั้นก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา

เขาใช้นิ้วชี้ไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นโลหิตบริสุทธิ์ก็หมุนวน กลายเป็นหน้าผีสีแดง

หกปีกบริกรรมคาถา อาคมในมือกล่าวคำสาบานด้วยจิตมารกับหน้าผีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ปิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันเลิกคิ้วดำขลับ พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาพลางร่ายอาคมเช่นกัน และตอบรับคำสาบาน

หลังจากที่พนันเสร็จ ปิงเฟิงหกปีกก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนมองเห็นสีหน้ามีแผนการจากแววตาของอีกฝ่าย

แต่จากนี้ไม่รอให้ทั้งสองคนได้พูดอันใดอีก หกปีกพลันหน้าเปลี่ยนสี ชั่วครู่ก็หันหน้าไปมองด้านหลัง

แทบจะในเวลาเดียวกัน ท้องฟ้าด้านหลังพลันมืดมน เสียงฟ้าผ่าดังแว่วมา และยิ่งไปกว่านั้นยังดังขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเสียงดังสนั่นราวกับระลอกคลื่นยักษ์

“รีบไป เขาจะมาแล้ว” ปิงเฟิงเอ่ยด้วยหน้าเปลี่ยนสี

หกปีกใช้มือหนึ่งร่ายอาคมโดยไม่ปริปาก มือหนึ่งพลิกฝ่ามือโยนยาลูกกลอนสีแดงสดเม็ดหนึ่งเข้าไปในปาก

ชั่วขณะนั้นสำเภาเหาะแวววาวใต้ฝ่าเท้าของทั้งสอง พลันสั่นเทา ชั่วครู่ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป แค่กะพริบวาบๆ ก็หายวับไปจากแดนหมิงซา

ทว่าหลังจากผ่านไปสิบชั่วลมหายใจ ขอบฟ้าด้านหลังพลันมีลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้น สายธารโลหิตปรากฏขึ้น และหมุนวนมายังทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

ในสายธารโลหิตสายนั้นมังกรโลหิตห้ากรงเล็บแปดตัวพ่นลำแสงสีทองแยกเขี้ยวตะปบเล็กส่งเสียงดังซ่าๆ ปรากฏขึ้นลางๆ

ชั่วพริบตาสายธารโลหิตก็หมุนวนแล้วจมหายเข้าไปในแดนหมิงซา แล้วไล่ตามสำเภาเหาะแวววาวไป

ระยะห่างที่ทั้งสองไล่ล่ากัน ความเร็วเหนือกว่าที่คนนอกจะจินตนาการได้ แต่ระยะห่างกลับยิ่งหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว

ไม่ถึงหนึ่งกาน้ำชา หกปีกและพวกทั้งสองที่ยืนอยู่บนสำเภาเหาะแวววาวก็มองเห็นทัศนียภาพสีโลหิตที่มืดฟ้ามัวดินด้านหลังได้ด้วยตาเนื้อ สีหน้าพลันตึงเครียดขึ้น

“ยันต์ลี้วายุที่หมิงจวินให้มายังอยู่หรือไม่?” หกปีกเอ่ยถามปิงเฟิง

“มีแค่แผ่นสุดท้ายแล้ว” ปิงเฟิงลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นจะรออันใด ไม่ใช้ยันต์วิเศษในยามนี้จะใช้ยามใด!” หกปีกคำรามเสียงต่ำขณะเอ่ย

ปิงเฟิงได้ยินก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่ปริปาก ยันต์สีเงินระยิบระยับพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ แค่กะพริบวาบก็จมหายเข้าไปในสำเภาใต้ฝ่าเท้าอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมาผิวของสำเภาเหาะก็มีอักขระยันต์สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นแล้วเปล่งแสงสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง หดเล็กลงแล้วหายเข้าไปในตัวสำเภาอีกครั้ง

ชั่วขณะนั้นสำเภาเหาะแวววาวพลันระเบิดเสียงกรีดร้องแหลมสูงเสียดแก้วหูออกมา หลังจากเลือนรางความเร็วก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก พุ่งออกไปเร็วกว่าสายธารโลหิตด้านหลัง

“หึ เอาอีกแล้ว แค่อาณาจักรที่สาบสูญ คาดไม่ถึงว่าจะมียันต์ลี้วายุของแดนเซียนของพวกเรา เป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่ง” หม่าเหลียงที่ยืนอยู่บนหัวมังกรโลหิตในสายธารโลหิตพลันแค่นเสียงอย่างเย็นชาขณะเอ่ย

“นายท่าน กว่าครึ่งน่าจะเป็นยันต์ที่เซียนทิ้งไว้ในแดนนี้ มิเช่นนั้นคนเหล่านี้จะหลอมยันต์เซียนได้อย่างไร” หยางลู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างค้อมตัวลงขณะตอบกลับ

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเขามียันต์วิเศษคอยช่วย ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากแล้ว มิเช่นนั้นก็น่าจะจับพวกเขาได้ตั้งแต่สองสามเดือนก่อนแล้ว” หม่าเหลียงเผยสีหน้ารำคาญออกมา

“นายท่านวางใจ แม้ว่าจะยังมียันต์ของแดนเซียน แต่ก็ไม่มากแน่ จากการสูญเสียของพวกเขาก่อนหน้า คงมีอีกแค่ไม่กี่แผ่นแล้ว ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นยันต์แผ่นสุดท้ายแล้ว” หยางลู่เอ่ยอย่างนอบน้อม กลับไม่รู้ว่าคำพูดส่งเดชของตนจะเป็นสถานการณ์ที่แท้จริงของหกปีกและพวกทั้งสอง

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง หยางลู่ เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ซุ่มโจมตีข้าที่ดีหรือ!” หม่าเหลียงเอ่ยขึ้นก่อนอย่างไม่คิดเช่นนั้น แต่หลังจากที่จิตสัมผัสมหาศาลกวาดผ่านไปรอบด้าน ฉับพลันนั้นก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาพลางเอ่ยถาม

“หรือว่านายท่านพบอันใด” หยางลู่พลันตกตะลึง พลางรีบเอ่ยถาม

“ไม่พบ ทว่าไอทมิฬที่นี่เข้มข้นมาก ต่อให้จิตสัมผัสของข้าถูกจำกัด หากวางกับดักที่นี่ ก็เป็นที่ๆ ยอดเยี่ยมมากในการต่อกรกับข้า” หม่าเหลียงหัวเราะบางๆ แต่แววตากลับฉายแววเย็นชา