ตอนที่ 973 เกาะลึกลับหายไป

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากหารือกับทุกคน ฮวาเยว่ก็สั่งการให้เหมยเซียงออกไปแจ้งข่าวกับขุมกำลังอื่น ๆเพื่อให้พวกเขามารวมตัวกันที่ประตูเมือง

“พวกเราทั้งหมดไปด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ หากเกิดอะไรขึ้น เราจะได้ร่วมมือกันจัดการกับมัน”

ฉินอวี้โม่ก็ริเริ่มกล่าวออกไป ถึงแม้ว่าสือโหลวจะตายไปแล้วและร่างอวตารของผู้นำจอมยุทธ์ปีศาจจะถอนตัวไปแล้วก็ตาม ซึ่งหมายความว่าบนเกาะแห่งนั้นไม่มีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอยู่อีก

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับหมอกหนาทึบเหล่านั้น ด้วยการที่นางมีไข่มุกเลี่ยงวารีอยู่ การข้ามผ่านหมอกเหล่านั้นไปก็คงจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก

“ตกลง”

ฮวาเยว่ไม่ปฏิเสธและตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปยังเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรอย่างเต็มกำลัง

ภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ประตูเมืองก่อนเดินออกไปที่ชายหาดด้วยกัน

สมาชิกของชายฝั่งทางเหนือกว่าครึ่งตัดสินใจติดตามไปเช่นกันและครานี้พวกเขาเตรียมเรือขนาดใหญ่ไว้มากกว่าสิบลำ

ทุกคนไม่รอช้าและก้าวขึ้นบนเรืออย่างรวดเร็วก่อนเรือจำนวนนับสิบจะเคลื่อนตัวไปยังทิศทางของเป้าหมาย

หมอกรอบบริเวณยังคงหนาแน่นบดบังทัศนวิสัยเช่นเดิม ทว่าฉินอวี้โม่ก็ถ่ายทอดคำสั่งให้กับไข่มุกเลี่ยงวารีก่อนที่มันจะดูดซับหมอกเหล่านั้นไปโดยสมบูรณ์และทำให้หมอกเหล่านั้นจางหายไป

เมื่อทัศนวิสัยชัดเจนมากขึ้น ทุกคนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

หลังจากการเดินทางสองก้านธูป เรือทั้งหมดก็แล่นมาถึงพิกัดที่เกาะลึกลับตั้งอยู่ก่อนหน้านี้ ทว่าทุกคนกลับพบเพียงความว่างเปล่าและไร้วี่แววของเกาะโดดเดี่ยวแห่งเดิม

จู่ ๆ เกาะนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย !

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”

ผู้คนที่เคยถูกจับตัวมาที่เกาะก่อนหน้านี้ต่างก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นและไม่อาจเข้าใจภาพตรงหน้าได้เลย

เกาะโดดเดี่ยวที่ปรากฏเหนือน้ำได้หายไปแล้ว สำหรับผู้ที่ทำให้เกาะขนาดใหญ่นั้นหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยและรวดเร็วเช่นนี้…ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังในระดับใดกันที่จะมีความสามารถอันน่าทึ่งเช่นนี้

หลังจากลาดตระเวนสำรวจไปทั่วบริเวณ ทุกคนก็ยังไม่พบเบาะแสร่องรอยใดๆ เกาะลูกนั้นหายไปจากพื้นที่บริเวณนี้แล้วจริง ๆ และทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมราวกับมันไม่เคยปรากฏมาก่อน

“กลับกันเถอะ เกรงว่าพวกจอมยุทธ์ปีศาจคงจะตระหนักได้ว่าแผนการล้มเหลว พวกเขาจึงล่าถอยกันออกไปแล้ว”

เรียกได้ว่าจอมยุทธ์ปีศาจก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเฉียบขาดจริง ๆ เมื่อรับรู้ว่าแผนการของตนเองไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ พวกเขาจึงอพยพหนีออกไปโดยตรงเพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด

เว้นเพียงแต่ผู้ที่กลายเป็นผีดิบรับใช้ภายใต้การควบคุมของจอมยุทธ์ปีศาจ เกือบทุกคนบนเกาะก่อนหน้านี้ก็ได้รับการช่วยเหลือจากฉินอวี้โม่และคณะแล้ว

ในตอนนี้เมื่อเกาะหายไปแล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถบุกจู่โจมเพื่อสร้างความเสียหายให้กับจอมยุทธ์ปีศาจได้อีก ทว่าแผนการของพวกเขาก็ถูกทำลายไปแล้วและนั่นหมายความว่าภารกิจของการเดินทางเข้ามาช่วยในชายฝั่งทางเหนือของแต่ละขุมกำลังในครานี้บรรลุผลสำเร็จ

ทุกคนพยักศีรษะให้กันก่อนหันหลังและมุ่งหน้ากลับสู่ชายฝั่งทางเหนือ

“ครานี้เราสูญเสียศิษย์ฝีมือดีของชายฝั่งทางเหนือไปหลายคนและพลังอำนาจโดยรวมของเราก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักซึ่งจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวกลับมา การที่จอมยุทธ์ปีศาจริอาจทำเช่นนี้กับเรา หลังจากนี้เราก็จะกลายเป็นศัตรูกับพวกเขาไปโดยปริยาย หลังจากที่ทุกคนกลับไป ฝากบอกบรรดาผู้นำของสามสำนักและเก้านิกายด้วยว่าพวกเราชายฝั่งทางเหนือยินดีร่วมมือกับพวกท่านเพื่อจัดการกับจอมยุทธ์ปีศาจด้วยกัน”

ภายในห้องโถงประชุม ผู้เฒ่าไห่กล่าวแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

ก่อนหน้านี้พวกเขาวางตัวเป็นกลางมาเสมอ ทว่าครานี้พวกเขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ต่อหน้าจอมยุทธ์ปีศาจที่มุ่งร้ายและคิดเล่นงานพวกเขาอยู่ตลอดเวลา มีเพียงการร่วมมือกับสามสำนักและเก้านิกายเท่านั้นที่พวกเขาจะรับมือกับคนเหล่านั้นได้ หากพวกเขาเพิกเฉยต่อเรื่องนี้และรอให้สามสำนักและเก้านิกายพ่ายแพ้ต่อจอมยุทธ์ปีศาจไป ชายฝั่งทางเหนือของพวกเขาก็จะไม่ได้เผชิญกับผลลัพธ์ที่ดีอย่างแน่นอน

สมาชิกของพวกเขาที่ตายไปคือข้อยืนยันที่ดีที่สุด

“ในเมื่อผู้เฒ่าไห่ลั่นวาจาเช่นนี้ พวกเราสามสำนักและเก้านิกายก็จะวางใจได้มากขึ้น”

ฟู่อวิ๋นซิวประกบกำปั้นทั้งสองเข้าด้วยกันและกล่าวอย่างจริงใจ ในฐานะนายน้อยของสำนักเมฆาคราม วาจาของเขาถือเป็นตัวแทนของสำนักเมฆาครามได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น การที่สำนักเมฆาครามเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในหมู่สามสำนักและเก้านิกาย ทัศนคติของพวกเขาก็หมายถึงทัศนคติของขุมกำลังอื่นเช่นกัน ในอนาคตข้างหน้า สามสำนักและเก้านิกาย รวมถึงชายฝั่งทางเหนือจะได้มีโอกาสร่วมมือกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที

หลังจากหารือในห้องโถงกันพักใหญ่ ทุกคนก็กล่าวร่ำลากัน

แม้ว่าสามสำนักและเก้านิกายจะเดินทางมาด้วยกัน ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดที่จะเดินทางกลับไปด้วยกัน นอกเหนือจากนิกายหมื่นบุปผา นิกายกระบี่สายฟ้า ฟู่อวิ๋นซิวและคนของสำนักเมฆาคราม คนอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนแยกย้ายกันกลับไปตามทางของตน

“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ความสัมพันธ์ของนิกายเรากับนิกายกระบี่สายฟ้าไม่ดีต่อกันนัก เราจะเดินทางกลับไปกับพวกเขาจริง ๆ หรือ?”

เหลียนซวงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจ พวกนางได้รับคำสั่งจากผู้คุมกฎฝั่งขวาให้หาทางทำลายแผนการของฉินอวี้โม่และสหาย ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ จอมยุทธ์ปีศาจจะล่าถอยกันกลับไปเช่นนี้ ทำให้พวกนางไม่จำเป็นต้องดำเนินตามแผนการของตนเองอีก

ความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และพวกนางยังคงเป็นปฏิปักษ์กันเช่นเดิม และนางหวังว่าการมาที่นี่ในครานี้จะช่วยให้ตนมีโอกาสจัดการกับคนเหล่านี้ได้ น่าเสียดายที่นางและเหลียนอู้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดและแทบไม่มีโอกาสกระดิกตัวด้วยซ้ำ ซ้ำร้ายตอนนี้ฮวาเยว่ก็ตัดสินใจให้ศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาเดินทางกลับไปกับนิกายกระบี่สายฟ้าอีก สิ่งนี้ทำให้นางอึดอัดใจอย่างที่สุด

“หากเจ้าไม่อยากเดินทางกับพวกเรา เจ้าก็แยกไปกับเหลียนอู้ก่อนได้เลย”

ฮวาเยว่ไม่คิดสนใจทั้งสองเช่นกันและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

นางคาดการณ์ไว้ว่าจ้าวนิกายและผู้คุมกฎฝั่งขวาน่าจะติดต่อกับจอมยุทธ์ปีศาจมานานแล้ว และนิกายหมื่นบุปผาก็มิใช่นิกายเช่นในอดีตอีกต่อไป

เหลียนซวงและเหลียนอู้ก็หมายหัวคิดกำจัดฉินอวี้โม่อยู่ตลอดเวลาและหาทางก่อกวนคนอื่น ๆ อยู่ไม่เลิก นางจึงไม่ต้องการเดินทางร่วมกับคนทั้งสองเช่นกัน

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะล่วงหน้าไปก่อนเพื่อกลับไปรายงานกับท่านจ้าวนิกายเจ้าค่ะ”

เนื่องจากทราบดีว่าต่อให้อยู่ต่อไปก็ไม่มีโอกาสทำอะไรฉินอวี้โม่ได้ เหลียนซวงและเหลียนอู้จึงไม่ลังเลและตอบตกลงทันที

“ไปสิ รีบไปเร็วเข้า ข้ารู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นพวกเจ้าอยู่ในสายตา”

เซียงหร่วนกล่าวออกไปโดยตรงและไม่ไว้หน้าเหลียนซวงแม้แต่น้อย

เซียงยู่เองก็กำลังคิดว่าเมื่อกลับไปถึงที่นิกายครานี้ นางจะต้องหาทางออกจากฝั่งขวาและเข้าร่วมฝั่งซ้ายให้ได้ นางรังเกียจเกินกว่าจะทนอยู่กับฮวาหรงสตรีที่มีจิตใจชั่วร้ายผู้นั้นอีก…

เหลียนซวงและเหลียนอู้ก็แยกตัวออกไปและเดินทางกลับไปพร้อมกับคณะของนิกายเมฆาล่องลอย

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จึงตัดสินใจอยู่ที่ชายฝั่งทางเหนืออีกหนึ่งวันก่อนเตรียมตัวออกเดินทาง

ก่อนออกจากชายฝั่งทางเหนือ นางไม่ลืมที่จะมอบอุปกรณ์สื่อสารให้กับผู้เฒ่าไห่และกำชับให้เขาติดต่อตนทันทีที่เกิดปัญหาหรือความวุ่นวายใด

“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้าและทุกคนต้องระวังตัวให้มากล่ะ สามสำนักและเก้านิกายในตอนนี้ซับซ้อนกว่าเมื่อก่อนมากนักและเราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าผู้ใดเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เจ้าก็มีไข่มุกเลี่ยงวารีอยู่ในมือแล้ว ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจไม่มีทางล้มเลิกตัดใจจากมันแน่ เจ้าคือความหวังของดินแดนมหาเทพของเราและเราจะปล่อยให้เกิดอะไรกับเจ้าไม่ได้โดยเด็ดขาด !”

ผู้เฒ่าไห่กำชับฉินอวี้โม่และทุกคนพร้อมกับรู้สึกซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือของพวกนาง

“ผู้เฒ่าไห่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ พวกเราจะระวังตัว”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะทว่ามีความคิดหนึ่งอยู่ในใจ

ฮวาฟางเฟยและจอมยุทธ์ปีศาจมีความเกี่ยวข้องกันและพวกนางจะหาทางจัดการกับนางอย่างลับ ๆ เพื่อช่วงชิงไข่มุกเลี่ยงวารีไปอย่างแน่นอน หลังจากกลับไปที่นิกายหมื่นบุปผา ภยันตรายที่พวกนางต้องเผชิญจะไม่น้อยลงกว่าก่อนเป็นแน่และพวกนางจะต้องเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด…

หลังจากกล่าวอำลากับทุกคนที่ชายฝั่งทางเหนือ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศทางของนิกายหมื่นบุปผา

“ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านแม่ไม่ได้อยู่ในกำมือของพวกจอมยุทธ์ปีศาจ ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไปนะเจ้าคะ”

เมื่อเห็นบิดาขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นกังวล ฉินอวี้โม่ก็กล่าวปลอบใจเนื่องจากทราบดีว่าเขากำลังนึกถึงอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่

“ข้าไม่รู้เลยว่าจะได้พบแม่ของเจ้าเมื่อใด”

ฉินเทียนกล่าวอย่างอับจนปัญญาและไม่อาจปิดบังความคำนึงหาต่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้เลย

ในเมื่อนางไม่ได้อยู่ที่นิกายหมื่นบุปผาและไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือของจอมยุทธ์ปีศาจ แล้วอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปอยู่ที่ใดกัน…

“ไม่ต้องกังวล ข้าเชื่อว่าเราจะได้พบกันในไม่ช้า”

ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าอีกไม่นานครอบครัวของตนจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาและไม่ต้องทนต่อความเจ็บปวดของการพลัดพรากอีกต่อไป…

ในขณะเดียวกันนี้ สตรีนางหนึ่งก็กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งโดยที่ดวงตาของนางปิดสนิทและกำลังใช้ความคิดไตร่ตรองอย่างหนัก