ในใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น นอกแม่น้ำแห่งความมืด กองทัพสำนักแห่งความมืดกับพันธมิตรตระกูลคงกระพันกำลังสู้รบกัน เต็มไปด้วยเสียงฆ่าฟัน พลังเทพจำนวนมาก คลื่นวิถีเต๋ากระจายไปทั่วสารทิศ
ทว่าเวลานี้ พริบตาที่หวังเป่าเล่อยกเท้าและย่ำลงมา การสู้รบของตี้ซานกับคนเต๋าหยางและปรมาจารย์เยาถง รวมทั้งสุสานวิญญาณล้วนเกิดกระแสคลื่นในสัมผัสสวรรค์ ต่างมองไปโดยพร้อมเพรียง
เมื่อเทียบกับตระกูลคงกระพันสามคนนั้น ความรู้สึกของสุสานวิญญาณรุนแรงกว่ามาก เพราะ…ร่างเดิมของเขาคือต้นไม้สุสานวิวาณต้นหนึ่งพอดี และต้นไม้ก็คือพืช เดิมทีก็อยู่ในธาตุไม้
แม้เต๋าธาตุไม้ของหวังเป่าเล่อจะครอบคลุมอยู่แค่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แต่จากกระแสเต๋าที่แผ่กระจายออกมาจากการมาในเวลานี้ก็ยังคงทำให้สุสานวิญญาณสัมผัสได้ถึงพลังบีบคั้นรุนแรงและความคลุ้มคลั่งของสัมผัสสวรรค์ได้อยู่เช่นเดิม
แต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไร หรือพูดให้ถูกก็คือ สุสานวิญญาณ…คือคนส่วนน้อยที่สังเกตเห็นถึงแก่นแท้หลังจากได้เห็นหวังเป่าเล่อสัมผัสกับซวนฮว๋าแล้ว
จักรพรรดิสวรรค์ไม่สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ฝึกเต๋าธาตุไม้ แต่…เต๋าธาตุไม้ของสุสานวิญญาณทำให้เขาเข้าใจดีว่าทำไปหลังจากที่ซวนฮว๋ากลับไปแล้วถึงถือสันโดษในทันที
เนื่องจาก…ซวนฮว๋าเองก็ฝึกเต๋าธาตุไม้!
ดอกบัวสีดำสิบห้ากลีบนั่น ไม่ว่าจะมหัศจรรย์อย่างไร เปลี่ยนแปลงมาได้อย่างไร แต่ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงเนื้อแท้ของมัน
ดังนั้น แม้ซวนฮว๋าจะเป็นระดับจักรวาล แต่วินาทีที่สัมผัสเข้ากับหวังเป่าเล่อ แก่นแท้ก็ยังคงถูกทำให้สั่นสะเทือนจนเกิดแรงสั่นสะเทือนที่คนนอกไม่สามารถสัมผัสได้และยากจะเข้าใจขึ้นขุมหนึ่งในสัมผัสสวรรค์
สุสานวิญญาณล้วนเข้าใจ ดังนั้นในเวลานี้เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย วินาทีที่กระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อแผ่ออกมาก็ถอยหลังทันควัน สัญชาตญาณบอกเขาว่า ห้ามเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ
ความรู้สึกที่ลึกที่สุดของเขาก็คืออีกฝ่ายเป็นดั่งน้ำวน หากตนเข้าใกล้ก็จะถูกกลืนเข้าไป และกลิ่นอายที่แฝงอยู่ในน้ำวนนั้นก็เป็นเหมือนต้นกำเนิดของตัวเอง
แรงบีบคั้นที่ราวกับมาจากธรรมชาติแบบนั้น ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนไร้พลัง นอกเสียจากว่าจะสามารถใช้เต๋านอกรีต หรือไม่ก็หวังเป่าเล่อถูกโค่น ไม่เช่นนั้นแรงบีบคั้นเช่นนี้ก็จะอยู่ตลอดกาลอีกทั้งจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“คาดว่าซวนฮว๋าในตอนนี้ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน! ”
และในขณะที่ถอยหลังออกมา นัยน์ตาตี้ซานก็ฉายรังสีฆ่าฟัน ท้องฟ้าสุดสายตาเขาในเวลานี้เกิดกระแสคลื่น หวังเป่าเล่อในชุดสีขาวสยายผมยาว เดินออกมาจากความว่างเปล่าทีละก้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เงาร่างเขาราวกับถูกวาดออกมา เริ่มจากโครงร่างค่อยๆ ชัดขึ้น จวบจนย่างเข้าสู่สนามรบ
พริบตาที่ปรากฏกายขึ้น กระแสเต๋าของเขาแผ่ปกคลุมไปทั่วสารทิศ ทำให้ทั้งสองฝ่ายในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นสำนักแห่งความมืดหรือพันธมิตรตระกูลคงกระพัน ต่อให้เต๋าสวรรค์ของพวกเขาจะไม่เหมือนกัน แต่พลังของธาตุทั้งห้าคือรากฐาน ดังนั้นผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายสีหน้าแทบจะเปลี่ยนไปทั้งสิ้น ถอยหลังไปตามๆ กัน
สุสานวิญญาณรู้สึกได้ชัดมาก ถึงขนาดที่เมื่อเห็นเข้า ในใจลึกๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะเข้าไปคำนับใน โชคดีที่ปราณของเขาลึกซึ้ง ยืมพลังเต๋าสำนักแห่งความมืดพยายามฝืนถอยออกไปด้วยความรวดเร็ว
ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้ดวงตาของตี้ซานค่อยๆ หรี่ลง ส่วนคนเต๋าหยางกับปรมาจารย์เยาถงนัยน์ตากลับหดเล็กลง วิธีการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อ แม้จะไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก แต่หลังจากเผยตัวขึ้นกลับก่อให้เกิดคลื่นเช่นนี้ได้ จุดนี้…พวกเขาทั้งสองทำไม่ได้
และสิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสอง หรือแม้แต่ทุกคนในที่นี้ โดยเฉพาะตระกูลคงกระพันสั่นสะท้าน ก็คืออึดใจที่สองหลังจากหวังเป่าเล่อปรากกฏตัวขึ้น เกิดระลอกคลื่นไปทั่วท้องฟ้า เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งราวกับสะท้อนอยู่ในสัมผัสสวรรค์ของทุกคน ขณะที่ความว่างเปล่าบิดเบี้ยว พลันปรากฏด้วงเกราะดำสีทองขนาดมหึมาตัวหนึ่งที่เปี่ยมด้วยอานุภาพที่ทำให้ดวงวิญญาณเทพของทุกคนสั่นระริกขึ้น
นี่…ก็คือเต๋าสวรรค์ของตระกูลคงกระพัน
เพราะการมาของหวังเป่าเล่อมันจึงออกมาเอง นัยน์ตาฉายแววคลุ้มคลั่ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ส่งเสียงคำรามไปทางหวังเป่าเล่อไม่หยุด ราวกับกำลังแค้นเคืองที่หวังเป่าเล่อฉกพลังธาตุไม้ที่เป็นของมันไป
“หนวกหู! ”หวังเป่าเล่อสีหน้าปกติ หลังจากมองไปรอบๆ ก็เอ่ยพูดกับเต๋าสวรรค์ที่คำรามร้องไม่หยุดนั่นด้วยเสียงราบเรียบ มือขวายกชี้ไปทางมัน
เต๋าสวรรค์ที่ราวกับเป็นวิญญาณเทพในใจของผู้อื่น สำหรับหวังเป่าเล่อก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยงเลอค่าที่ผู้อื่นเลี้ยงเอาไว้แค่นั้น คนอื่นๆ ทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่รวมถึงเขา การผสานรวมของเมล็ดพันธุ์ธาตุเต๋าทำให้ตัวหวังเป่าเล่อขึ้นสู่ระดับสูงมากแล้ว ดังนั้นการชี้ครั้งนี้ แรงบีบคั้นพลันปรากฏขึ้น เพียงอึดใจก็ทำให้เต๋าสวรรค์ของตระกูลคงกระพันถอยไปอย่างรวดเร็ว แม้จะยังร้องคำรามอยู่แต่มีความหวาดกลัวฉายขึ้นในแววตา
ภาพฉากนี้ ก็ทำให้เกิดความสั่นไหวขึ้นในใจของผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะคนเต๋าหยางกับปรมจารย์ถงเยายิ่งใจสะท้าน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คาดไม่ถึงเลยว่าเหตุใดต่างเป็นพลังระดับกึ่งจักรพรรดิสวรรค์เหมือนกัน แต่หวังเป่าเล่อ…กลับทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นในใจลึกๆ ได้
ต้องรู้ว่า ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าตี้ซาน พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาก่อน ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นพวกเขาจะมีความรู้สึกแบบนี้ก็เฉพาะกับเฉินชิงจื่อและบรรพบุรุษไม่รู้สิ้นเท่านั้น
และในวินาทีที่เกิดความสั่นสะท้านขึ้นในใจทั้งสอง ไอสังหารในแววตาของตี้ซานพลันปะทุขึ้น เขาก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง เลือนลางขึ้นในพริบตา ขณะที่ปรากฏตัวในพริบตาต่อมาก็มาอยู่ด้านหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว มือขวายกขึ้นและกดฝ่ามือลงไปทางหวังเป่าเล่อทันที
และในขณะที่ฝ่ามือกำลังจะกดลงไป ด้านหลังเขาพลันปรากฏยอดเขาสูงเสียดฟ้าขนาดมหึมาขึ้นลูกหนึ่ง พลังปราณของเขาระเบิดออก กลิ่นอายเต๋าระดับจักรวาลแผ่ไปทั่วท้องฟ้า ทำให้ที่แห่งนี้จู่ๆ ก็ตกอยู่ภายใต้ผนึกบางอย่าง ในเขตแดนนี้ เต๋าของตี้ซานกำลังขึ้นสู่ระดับสูงสุด ส่วนเต๋าของคนอื่นๆ กลับถูกกดผนึกไว้
“เด็กน้อย! ! ”
หวังเป่าเล่อสีหน้านิ่งสงบ รับมือกับระดับจักรวาล เขาไม่หลบ มือขวายกขึ้นโบกไปด้านหน้า ฉับพลันนั้นเต๋าธาตุไม้ปรากฏขึ้นทำให้ผู้ฝึกตนนับแสนของทั้งสองฝ่ายในสนามรบนี้ล้วนตัวสั่นเทิ้ม ผู้ฝึกตนเกินกว่าครึ่งกลับมีเส้นใยสีเขียวออกมาจากร่าง
นี่คือกฎของเต๋าธาตุไม้ เพราะธาตุทั้งห้าเป็นรากฐาน ดังนั้นในชีวิตของผู้ฝึกตนส่วนมากย่อมต้องสัมผัสกับมันบ้าง และเพียงแค่สัมผัสก็จะมีร่องรอยอยู่ในร่าง นอกเสียจากจะเป็นเช่นหวังเป่าเล่อที่ถูกคนตัดเส้นใยขาด ไม่เช่นนั้น ในการตระหนักรู้ของหวังเป่าเล่อ ร่องรอยของเต๋าธาตุไม้เหล่านี้ก็จะสามารถกลายเป็นพลังของเขาทั้งหมด
ในเวลานี้แค่ชักนำเล็กน้อย เส้นใยสีเขียวที่ออกมาจากร่างของผู้ฝึกตนเกินครึ่งจากจำนวนนับแสนก็พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อในทันที หมุนวนอย่างรุนแรงอยู่ตรงหน้าเขาจนเกิดเป็นน้ำวน ขณะที่ส่งเสียงดังสนั่นก็ไปพันฝ่ามือที่ตี้ซานกดลงมารวมถึงยอดเขามหึมาด้านหลังเขาด้วย
เวลาแค่พริบตา แม้ตี้ซานจะมีความรู้สึกราวกับถูกมัดไว้ หลังจากแค่นเสียง ภูเขาหินพังครืนลงมาเอง ขณะที่กำลังจะสะกดอีกครั้ง ทว่าเงาร่างหวังเป่าเล่อกลับหายไปจากที่เดิมก่อนแล้วก้าวหนึ่ง
วินาทีที่เขาหายไป คนเต๋าหยางกับปรมาจารย์เยาถงผงะไป ก่อนถอยหลังด้วยความรวดเร็วโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทว่า…ยังคงสายไป หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายคนเต๋าหยางด้วยสีหน้าเยียบเย็น มือขวายกขึ้นชี้…ตำแหน่งที่คนเต๋าหยางอยู่ก่อนหน้า แม้ในเวลานี้ตรงนั้นจะว่างเปล่า แต่คำพูดสองคำเรียบๆ ที่ลอยออกมาจากปากหวังเป่าเล่อสะท้อนไปทั่วทั้งสี่ทิศ
“จันทร์ข้างแรม ”
เมื่อสองคำนี้ลอยออกมาก คนเต๋าหยางสีหน้าตื่นตระหนก แม้ปราณจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ตอนนี้ราวกลับถูกจำกัดไว้ นอกร่างปรากฏกาลเวลาบิดม้วน เงาร่างของเขาราวกับถูกกาลเวลาดึงกลับไป วินาทีที่เวลาย้อนกลับ ปรากฏตัวอยู่ที่…สิบลมหายใจก่อนหน้า จุดเดิมที่เขาเคยอยู่
หรือก็คือ…จุดที่นิ้วมือของหวังเป่าเล่อชี้อยู่ในตอนนี้ ทำให้นิ้วของเขา…จรดลงหว่างคิ้วของคนเต๋าหยางพอดิบพอดี!
ตู้ม!
……………………