บทที่ 1721 ถูกดดันจนร้อนรน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ในขณะเดียวกันนี้เอง ในสวนต้องห้ามของจวนท่านปู่สวรรค์ เว่ยซูกำลังเดินเล่นอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วท่า กำลังพูดคุยเรื่องนี้เช่นกัน

ประมุขชิงจัดงานเลี้ยงที่พระตำหนักอุทยานให้เป็นเพียงเกียรติยศและชื่อเสียงเท่านั้น อย่างไรเสียก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าพระตำหนักอุทยานได้ สถานที่ที่มีแขกเยอะอย่างแท้จริงยังเป็นฝั่งตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เป็นเพียงญาติสนิทมิตรสหายในที่แจ้ง แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีจำนวนเยอะขนาดไหน ในฐานะที่เซี่ยโห้วท่าเป็นเจ้าของวันเกิด เรียกได้ว่าต้องตั้งใจรับแขกอยู่หลายวันจริงๆ ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มว่าง เรื่องบางอย่างในตอนท้ายไม่จำเป็นต้องให้เขาออกหน้าจัดการอีก

“นายท่านกำลังสงสัยใช่มั้ยว่าเบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อยังมีมือมืดลึกลับอีก? จะใช่คนนั้นหรือเปล่า?” เว่ยซูที่ติดตามอยู่ข้างกายเอ่ยถาม

เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ ในขณะที่หรี่ตาครุ่นคิด “ลักษณะการทำงานของคนคนหนึ่งมีเค้าส่อให้เห็นเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะพลิกโฉมแตกต่างกันมากอย่างขนาดนี้ มือมืดข้างนั้นถนัดอาศัยมุมมองและขอบเขตสายตาที่สูงกว่านั้นเพื่อเดินตามแนวโน้มสถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ เหมือนจะไม่พัวพันกับรายละเอียดปลีกย่อย นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนวิสัยทัศน์แคบจะทำได้ ข้าก็เลยสงสัยว่าจะใช่บุคคลระดับสูงคนใดคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์หรือเปล่า อีกทั้งเรื่องในครั้งนี้ก็ทั้งดุเดือดทั้งเสี่ยงอันตราย นี่เป็นวิธีการที่แข็งกร้าวห้าวหาญสง่าผ่าเผยจริงๆ ลักษณะไม่เหมือนมือมืดล่องหนที่ซ่อนอยู่เลย ด้วยเหตุนี้ ข้าก็เลยตัดสินได้ว่าไม่ใช่คนคนเดียวกัน แบบนี้กลับเหมือนลักษณะที่คุ้นเคยของหนิวโหย่วเต๋อด้วยซ้ำ ยังมีอีกจุดหนึ่ง เรื่องราวกะทันหันต่างๆ ในพระตำหนักอุทยานก็เห็นได้ชัดเจน การกระทำที่เสี่ยงอันตรายอย่างนี้ยากที่จะวางแผนล่วงหน้าได้ อย่างมากก็ทำได้แค่วางแผนคร่าวๆ มีเพียงหนิวโหย่วเต๋อเองที่ต้องกำหนดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปถึงจะรับมือได้

ถ้าเปลี่ยนให้คนที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากับสภาพจิตใจแย่กว่านี้สักหน่อย เมื่อพูดจาลังเลในสถานที่แบบนั้นแม้แต่น้อย ก็จะถูกพวกขุนนางใหญ่โจมตีอย่างดุเดือด พวกเขาจะกดดันดันเจ้าทีละก้าวจนกว่าเจ้าจะเอาชนะเจ้าได้ เมื่อรวมปัจจัยแต่ละอย่างแล้ว ก็เหมือนพฤติกรรมเดิมของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ เพียงแต่ความเหนือชั้นของวิธีการนี้ทำให้ข้าทำใจเชื่อได้ยากว่ามาจากมือหนิวโหย่วเต๋อ เรื่องนี้ดูเหมือนบ้าระห่ำแต่กลับต้องผ่านการวางแผนมาอย่างรอบคอบ คนที่สามารถกระโดดออกมาด่าอิ๋งจิ่วกวงว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศที่อุทยานหลวงได้ ข้าว่าเขาเหมือนคนที่มีปฏิภาณและความมุทะลุผสมกันมากกว่า ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่วางแผนมางานเลี้ยงวันเกิดข้าตั้งแต่สองปีก่อน หรือว่าหกลัทธิจะมีตัวละครใหม่ที่ข้าไม่รู้จักผุดขึ้นมาจริงๆ?”

เว่ยซูพยักหน้า “ถ้าเป็นการกระทำของหนิวโหย่วเต๋อเองจริงๆ เช่นนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะทำให้คนมองด้วยสายตาใหม่จริงๆ แล้ว”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของหนิวโหย่วเต๋อ หรือจะมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อ ก็ล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อทั้งนั้น การที่สามารถยกผลงานให้หนิวโหย่วเต๋อก็แสดงว่าไม่ธรรมดา ตอนนี้ข้าอยากรู้มากว่าเขาจะดึงตัวทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนยังไง สี่ตำแหน่งโหวอย่างมากก็เท่ากับสองตำแหน่งเทพประจำดาว ขนาดประมุขชิงยังอยากได้ แล้วมีหรือที่สี่ตระกูลนั้นจะนิ่งดูดายเล่นตามกติกา? จะต้องเล่นไม่ซื่อเบื้องหลังแน่นอน”

เว่ยซูครุ่นคิด “ตอนนี้ทำให้คนรู้กันหมดแล้ว ถ้าการเดิมพันไม่ทำให้ประมุขชิงได้เปรียบ ด้วยนิสัยรักศักดิ์ศรีอย่างประมุขชิง เกรงว่าชีวิตของหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่มีค่าไปกว่าหน้าตาศักดิ์ศรีของประมุขชิง หนิวโหย่วเต๋อคงต้องกังวลเรื่องชีวิตตัวเองแล้ว”

เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าเบาๆ

“หรูอี้ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”

บนตึกศาลาในจวนท่านโหวของจ้านผิงที่อุทยานหลวง จ้านหรูอี้ที่แต่งกายหรูหรางดงามมองไปทางสวนกลางเขียวขจีด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น อิ๋งลั่วหวนที่เดินขึ้นมาข้างบนเตือนลูกสาวเบาๆ ประมุขชิงไม่ได้สั่งให้จ้านหรูอี้อยู่ต่อ แต่ทางตำหนักนารีสวรรค์ส่งข่าวมาเตือนแล้ว บอกว่างานเลี้ยงจบเลี้ยง นี่คือการเร่งให้จากไป

ดาวเทียนหยวน ตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิงที่ยืนพิงระเบียงอยู่บนตึกสูงเงียบงันอยู่นานมาก ยืนอยู่ตรงนั้นหนึ่งวันเต็มๆ

ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่อยู่ในป่าโบราณหุบเขาลึก สวีถังหรานกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ข้างใน สีหน้าคร่ำเครียดหม่นหมอง เกิดข้อเปรียบเทียบชัดเจนกับแปลงดอกไม้ที่งดงามดุจลายผ้าแพรรอบกาย

สตรีที่งามเย้ายวนสองคนเดินออกมาจากประตูพระจันทร์ เมื่อเห็นสวีถังหรานเดินไปเดินมา ทั้งสองก็รีบเข้ามาปลอบใจ หนึ่งในนั้นกอดแขนแล้วลูบไล้หน้าอก อีกคนกล่าวด้วยเสียงออดอ้อน “นายท่านอารมณ์ไม่ดีเหรอคะ? เดี๋ยวข้าจะช่วยผ่อนคลาย…”

“ไปตายทางนั้นไป!” สวีถังหรานตะคอก แล้วตบซ้ายตบขวา มีเสียงกรีดร้องดังสองครั้ง ร่างสองร่างกระเด็นออกไปทางซ้ายและขวา หนึ่งคนกระแทกกำแพงจนศีรษะแยก อีกคนชนอ่างดอกไม้จนร่างเละ ผู้หญิงที่เป็นมนุษย์ธรมดาสองคนจะทนไม้ทนมือเขาได้อย่างไร

เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามาจากด้านนอก หวงเสี้ยวเทียนวิ่งเข้ามาเพราะตกใจเสียงกรีดร้อง เมื่อเห็นสาวงามที่เมื่อครู่นี้เพิ่งหัวเราะคิกคักตัวติดกับสวีถังหรานตายอนาถ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงง นี่คือคนที่เขาตั้งใจเลือกมาปรนนิบัติสวีถังหราน นึกไม่ถึงว่าจะเล่นเสียของอย่างนี้

ขณะมองสวีถังหรานเดินไปเดินมาอย่างร้อนรน หวงเสี้ยวเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน นี่คือ?”

สวีถังหรานทีเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาหยุดฝีเท้า แล้วถามว่า “เรื่องพระตำหนักอุทยานของตำหนักสวรรค์ยังมีข่าวอะไรตามมาอีกมั้ย?” เขาอยู่ที่นี่ได้ยินข่าวเหมียวอี้ที่พระตำหนักอุทยานแล้ว

นี่เป็นนางโลมคนที่เท่าไรแล้ว หวงเสี้ยวเทียนยิ้มเจื่อน “ตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้ ข่าวที่ได้จากข้างนอกก็มีแค่เท่านี้ ยังไม่มีข่าวใหม่อะไร”

ดังนั้นสวีถังหรานจึงเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายอีก เขากับหยางเจาชิงมีควมคิดแตกต่างกัน เพราะเขาถูกกดดันจนร้อนรน เขานึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไปก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นที่วังสวรรค์ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะออกรบเท้าเปล่าเพื่อการรับสมัครคน เขาคิดว่าเหมียวอี้ขาดความเชื่อมั่นให้ตัวเขาสวีถังหราน เรียกได้ว่าหมดหวังกับสวีถังหรานจริงๆ!

ในอากาศเริ่มมีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา “กรรร…” จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเสือคำรามมาจากที่ไกลๆ สวีถังหรานหยุดเดินอีกครั้ง เอียงหน้ามองไปทางจุดที่มีเสียงเสือดังมา แล้วชี้ไปทางนั้น “ไป จับเสือดุตัวนั้นมาให้ข้า แล้วส่งไปที่คุกใต้ดิน เอาแบบตัวเป็นๆ ถ้าทำตายแล้ว ข้าจะปลิดชีวิตเจ้า”  พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

“…” หวงเสี้ยวเทียนอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเจ้าคนประสาทนี่เป็นบ้าอะไรอีก แต่ก็ไม่มีทางเลือด ทำได้เพียงไปจัดการตามที่สั่ง

คฤหาสน์สร้างอิงภูเขา ข้างในมีทางใต้ดินผ่านไหล่เขาด้านหลังคฤหาสน์ บนผนังฝังไข่มุกราตรีที่เปล่งแสงอ่อนละมุนหลายเม็ด ตรงจุดที่ลึกที่สุดของไหล่เขาคือคุกใต้ดินที่สร้างขึ้นมาส่วนตัว ในคุกที่แยกสองฝั่งมีคนหลายสิบคน มีทั้งชายหญิงทั้งเด็กทั้งคนชรา ขังไว้ห้องละสามถึงห้าคน หรือไม่ก็ห้องละห้าหกคน และบนแท่นทรมานนอกคุกก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกมัดทั้งแขนทั้งขา  ปล่อยผมก้มหน้า ถูกทรมานจนสภาพสะบักสะบอมเลือดไหล จะเห็นได้ว่าถูกทรมานมานานแล้ว

สวีถังหรานเดินก้าวยาวเข้ามา ในคุกสองฝั่งมีเสียงสะอื้นเบาๆ ดังเป็นระยะ สวีถังหรานไม่แยแส เดินมาหน้าแท่นทรมาน กระชากผมชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมา “เจ้าเซ่สวี ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ลูกชายผู้นำของพวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”

ชายหนุ่มอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด หอบหายใจพร้อมตอบว่า “ข้าบอกไปหลายรอบแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาผู้นำของข้าไม่เคยชอบผู้หญิง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่แต่งงาน จะไปมีลูกชายจากไหน”

สวีถังหรานคว้าผมเขาแล้วผลักอยู่พักหนึ่ง “พูดเหลวไหลกับพ่อให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องที่ไม่มีเงา ข้าจะตามเจ้าเจอได้ยังไง? ตามที่ข้ารู้มา เมียที่ฉู่อันเทียนแอบแต่งงานด้วยกับลูกชาย เจ้าเป็นคนจัดหาที่ซ่อนให้เอง บอกมา ซ่อนอยู่ที่ไหน?”

“ไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิด จะฆ่าจะแล่ก็เชิญท่านตามสะดวก” ชายหนุ่มตอบ

สวีถังหรานโบกมือชี้เด็กสตรีและคนชราในคุกสองฝั่ง “เพื่อผู้นำตูดหมาของเจ้าคนเดียว ควรค่าให้ลากทั้งครอบครัวมาซวยด้วยเหรอ?”

ชายหนุ่มเหล่ตามอง แล้วหัวเราะแห้งๆ “อย่ามาใช้ลูกไม้นี้กับข้า ถ้าข้าบอกไป เกรงว่าพวกเขาคงจะตายเร็วกว่าเดิม”

“หึ!” สวีถังหรานปล่อยเขา หัวเราะประชดด้วยความโมโห ปรบมือสองสามทีแล้วยกนิ้วหัวแม่มือพร้อมเอ่ยชม “ข้าชื่นชมคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายที่สุดแล้ว เจ้ากล้าหาญ! แล้วข้าก็ชอบเล่นกับคนอย่างเจ้าที่สุดด้วย ชอบชั่งกระดูกเจ้าว่าจะแข็งสักแค่ไหน!” พูดจบก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ดูจากสีหน้าแล้วเห็นได้ชัดว่าโมโหแทบทนไม่ไหว

ผ่านไปไม่นาน หวงเสี้ยวเทียนก็มาแล้ว พอเข้ามาใกล้ตรงหน้าแล้วโบกมือ ก็โยนเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสัตว์ เป็นตัวเป็นๆ อย่างที่สวีถังหรานบอกจริงๆ ด้วย พอโยนออกมานิสัยสัตว์ร้ายก็ปะทุทันที มันกระโจนไปหาสวีถังหรานโดยตรง

สวีถังหรานใช้มือคว้าเอาไว้ บีบคอมันเอาไว้ราวกับเป็นแมวตัวหนึ่ง แล้วก็ลากไปกับพื้น กรงเล็บทั้งสี่ของเสือดุต้านพื้นจนเกิดรอยวาดออกมา

พอเดินไปถึงประตูคุกห้องหนึ่ง สวีถังหรานก็โบกมือ “เปิดประตู!”

หวงเสี้ยวเทียนเปิดประตูคุกด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ผู้หญิงหลายคนในคุกตกใจจนร้องไห้กอดกันกลม ชายหนุ่มที่โดนมัดอยู่บนแท่นทรมานดิ้นรนดึงโซ่ พลางคำรามถามอย่างเดือดดาล “เจ้าจะทำอะไร?”

ทำอะไรงั้นเหรอ? สวีถังหรานโยนเสือดุลายพร้อยตัวนั้นเข้าไปในคุกเสียเลย แล้วก็ปิดประตูคุกไว้

“กรรร…” ในคุกมีเสียงเสือดุร้ายคำราม มันเริ่มหมอบหัวไปทางผู้หญิงพวกนั้น จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่กลุ่มคนพร้อมกลิ่นคาวเลือดทันที กลิ่นคาวเลือดของฉากนั้นโหดร้ายจนทำให้คนทนมองตรงๆ ไม่ไหว เสียงร้องโอดครวญขอชีวิตอย่างเศร้ารันทดของผู้หญิงพวกนั้นดังก้องอยู่ในคุกใต้ดิน

“หยุดนะ! หยุดนะ…” ชายหนุ่มบนแท่นทรมานร้องตะโกนจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด

ใช้เวลาไม่นาน พวกผู้หญิงที่อยู่ในคุกก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว เหลือแต่เลือดนองเต็มพื้น สวีถังหรานผลักประตูคุกออก กางนิ้วทั้งห้าดูดเสือร้ายที่กำลังกัดเคี้ยวออกมา ดึงไปที่ประตูคุกห้องถัดไป แล้วตะโกนว่า “เปิดประตู!”

ถึงแม้หวงเสี้ยวเทียนจะเป็นปีศาจสิงโตตัวหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็กลายร่างเป็นคนมาหลายปีแล้ว คุ้นเคยกับวิธีคิดของคนแล้ว แต่เมื่อเห็นฉากสอบสวนคนเป็นๆ แบบนี้ก็ตัวสั่นอยู่บ้าง เขามองสวีถังหรานเหมือนมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ราวกับว่าสวีถังหรานเป็นปีศาจแล้วเขาเป็นมนุษย์อย่างนั้นแหละ แต่เขาก็ยังเปิดประตูให้ตามคำสั่ง

“ท่านพ่อ! ช่วยข้าด้วย…” เด็กน้อยที่ถูกชายชราอุ้มเห็นเสือร้ายเข้ามาใกล้ประตู จึงกรีดร้องอย่างสะเทือนขวัญ

สวีถังหรานเพิ่งจะปล่อยเสือเขาคุก ชายที่ถูกมัดอยู่บนแท่นทรมานก็ร้องอย่างเศร้าโศก “หยุด! ข้าบอกก็ได้! ไอ้เดรัจฉาน หยุดนะ ข้าบอกแล้ว…”

ตอนที่เสือร้ายกำลังจะแผลงฤทธิ์ สวีถังหรานก็กางนิ้วดูดมันออกมาอีก ในคุกสองฝั่งมีเสียงร้องตกใจดังเป็นแถบ บางคนในคุกตกใจจนปัสสาวะราด บางคนตกใจจนไม่กล้ามองตรงๆ บางคนถึงขนาดเป็นลมไปเลยก็มี

พอโยนเสือโคร่งลายพร้อยให้หวงเสี้ยวเทียน สวีถังหรานก็เดินก้าวยาวไปหน้าแท่นทรมาน จากนั้นลูบผมชายหนุ่มอย่างอ่อนโยนมาก กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พูดมาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว จะลำบากไปทำไมล่ะ ทุกคนออกมาทำงานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จริงข้าก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก ข้าเองก็นับถือในความจงรักภักดีของเจ้ามาก ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา เจ้าจะเลือกทั้งความกตัญญูทั้งความจงรักภักดีไม่ได้หรอก ต้องให้เจ้าเลือกสักอย่างอยู่แล้ว ล้วนเป็นเจ้าที่บีบข้าทั้งนั้น”

ชายหนุ่มร้องไห้น้ำตานองหน้า “ข้าบอกแล้วเจ้าจะปล่อยพวกเขาไปหรือไง?”

สวีถังหรานตอบอย่างไร้ยางอายมาก “ถ้าเจ้าพูดตั้งแต่แรก ข้าจะปล่อยพวกเขาไปแน่นอน ทั้งยังจะปล่อยเจ้าไปพร้อมกันด้วย ตอนหลังเจ้ากับข้าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมากแน่ๆ แต่ตอนนี้มือข้าเปื้อนเลือดแล้ว ถ้าปล่อยพวกเขาไป ในอนาคตพวกเขาก็จะมาล้างแค้นข้าน่ะสิ ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเขาถูกทำร้ายเพราะเจ้านั่นแหละ เจ้ารู้สึกผิดบ้างมั้ยล่ะ? เจ้าให้พวกเขามีจุดจบที่สบายเถอะ แน่นอน ข้าเองก็ไม่ใช่คนไร้ความเมตตาปรานี อย่างน้อยก็จะทำให้พวกเขาไปสบาย ให้พวกเขาหลับยาวโดยไม่เจ็บปวดอะไรอีก เจ้าคิดว่าดีมั้ย?” เขาหยิบขวดหยกใบเล็กออกมาแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าชายหนุ่ม ให้เลือกเอาเอง สรุปก็คือไม่ให้ทางรอดชีวิตแล้ว

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างคับแค้น “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

สวีถังหรานตอบว่า “อย่านอกเรื่องไปไกล เจ้าปั่นหัวข้ามานานเกินไปแล้ว เจ้าทำให้ข้าหมดความอดทนแล้ว” พูดจบก็หันหน้าไป ทำท่าจะจับเสืออีก

“ข้าบอกแล้ว…” ชายหนุ่มร่ำไห้แล้วก้มหน้า เขาแทบสติแตกแล้ว

…………………………