ตอนที่ 960 พันธมิตรเผ่ามนุษย์

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

“เจ้าคือหลิ่วหมิงหรือ?” แสงสีน้ำเงินส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่งข้างตัวผู้เฒ่า ทันใดนั้นบัณฑิตหนุ่มท่วงท่าสง่างามผู้หนึ่งก็ปรากฏร่าง เขามองหลิ่วหมิงแล้วหลุดปากเอ่ยขึ้น

“อะไรนะ เขาคือหลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้ครองอันดับหนึ่งของงานประตูกสวรรค์หรือ?” ผู้เฒ่าคิ้วตกได้ยินก็ตกตะลึงเป็นอย่างแรก แต่จากนั้นในดวงตาก็มีความยินดีที่ยากจะสังเกตพาดผ่าน

“ทั้งสองท่านคงจะเป็นสหายจากสำนักเฮ่าหรานสินะ ข้าจับพลัดจับผลูเข้ามายังที่แห่งนี้ ไม่ทราบว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น แล้วพันธมิตรเผ่ามนุษย์คือสิ่งใด?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ประสานมือเอ่ยกับทั้งสองคน

“อ้อ? สหายไม่ใช่ได้รับข่าวจึงเดินทางมาที่นี่หรอกหรือ?” ผู้เฒ่าคิ้วตกค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง

“ไม่นานมานี้ข้าพบยอดฝีมือเผ่าปีศาจตนหนึ่งหลังจากนั้นก็ถูกเขาไล่ล่าสังหารมาจนมาถึงที่แห่งนี้ ไม่ทราบเรื่องราวที่นี่จริงๆ” หลิ่วหมิงตอบกึ่งจริงกึ่งลวง

“เป็นเช่นนี้เอง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับการร่วมมือเป็นพันธมิตรนี่ให้ฟังสักหน่อยก็แล้วกัน สาเหตุเกิดจากซากโบราณสถานแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในหุบเขาชันแห่งนี้ ว่ากันว่าในนั้นซ่อนสมบัติแห่งฟ้าดินไว้ไม่น้อย พวกเราปะทะกับผู้ฝึกฝนปีศาจแห่งหมานฮวงเหล่านั้นอีกฟากมานานสิบกว่าวันแล้ว อีกฝ่ายมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคน ส่วนพวกเรามีเพียงศิษย์พี่ซุนประคับประคองสถานการณ์อยู่คนเดียว ดังนั้นจึงถูกอีกฝ่ายกดดันอยู่ทุกด้าน วันนี้ทำได้เพียงฝืนยื้อพวกเขาไว้ที่นี่ พร้อมกันนั้นก็ส่งข่าว รอคอยสหายคนอื่นใกล้ๆ เดินทางมาช่วยเหลือ” บัณฑิตหนุ่มอธิบายกับหลิ่วหมิงอย่างช้าๆ

เมื่อได้ยินว่าเผ่าปีศาจมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองตนอยู่ที่นี่ ในใจหลิ่วหมิงก็อดไม่ได้ขมวดคิ้วแน่น ดูท่าการคาดเดาของตนจะไม่ผิด คิดจะคว้าสมุนไพรจิตวิญญาณที่ยืดอายุขัยได้ต้นนี้มาไม่ใช่เรื่องง่าย

“สหายหลิ่วมาถึงที่นี่แล้ว ไม่สู้ลองคิดดูเรื่องเข้าร่วมพันธมิตรของพวกเราสักหน่อย สู้กับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านี้ก่อน หากโจมตีอีกฝ่ายถอยไปได้แล้ว เมื่อพวกเราเข้าไปในซากโบราณสถาน แต่ละคนย่อมได้ลาภไม่น้อย” ผู้เฒ่าคิ้วตกฉับพลันฉีกยิ้มเอ่ยขึ้น

หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เผยสีหน้าครุ่นคิด ในใจครุ่นคิดเร็วไววิเคราะห์ผลดีผลเสียของการเข้าร่วมพันธมิตร

หากไม่เข้าร่วมแล้วไปค้นหาสมบัติด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่จะถูกคนของเผ่าปีศาจไล่ล่าสังหาร ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านี้ก็คงไม่นิ่งเฉย นอกจากนี้เผ่าปีศาจมียอดฝีมือระดับแก่นแท้สองคนคุมอยู่ หากพลังเหมือนจี๋อิ่ง ต่อให้ใช้วิชาของตนออกมาจนหมดจัดการได้สักตนก็ฝืนแล้ว สองตนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายมีเผ่าปีศาจตนอื่นช่วยเหลืออีก

“ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสี่ยอดนิกายใหญ่เหมือนกัน เรื่องที่เกี่ยวพันกับสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์เช่นนี้ ผู้แซ่หลิ่วคงไม่สะดวกหันหน้าหนีจริงๆ” หลิ่วหมิงอ้าปากตอบรับ

“ดียิ่งนัก มีสหายหลิ่วเข้าร่วม พวกเราย่อมมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน!” บัณฑิตผู้นั้นของสำนักเฮ่าหรานเห็นหลิ่วหมิงตกลงเข้าร่วมก็ดีใจทันที ผู้เฒ่าคิ้วตกข้างกายเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยเช่นกัน

“ทั้งสองท่านชมเกินไปแล้ว มีสหายอยู่ที่นี่มากมายเช่นนี้ ข้าก็เป็นเพียงคนไม่สำคัญเท่านั้น” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างเกรงใจ

“คำพูดนี้ของสหายหลิ่วผิดแล้ว แม้ข้าอายุปูนนี้แต่พูดถึงพลังก็ธรรมดา ไหนเลยจะเทียบเคียงกับสหายได้! ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถูกส่งมารับผิดชอบลาดตระเวนบริเวณใกล้ๆ เท่านั้น สหายหลิ่วมาได้ถูกเวลาจริงๆ ยามนี้ศิษย์พี่ซุนกำลังหารือมาตรการรับมือกับคนอื่นอยู่ที่ฐาน หากทราบว่าสหายเข้าร่วมด้วยจะต้องดีใจอย่างยิ่งแน่นอน” ผู้เฒ่าคิ้วตกโบกมือพลางเอ่ยขึ้น

“ถูกต้อง พวกศิษย์พี่ซุนอยู่ด้านหน้านี่เอง พวกเรารีบไปกันเถิด” บัณฑิตหนุ่มเอ่ยต่อจากผู้เฒ่า

เมื่อเห็นหลิ่วหมิงพยักหน้าผู้เฒ่าคิ้วตกก็เปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มือ เมฆสีเหลืองก้อนยักษ์ยกทั้งสามคนลอยขึ้นแล้วกลายเป็นแสงสีเหลืองเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป พร้อมกับที่ปล่อยยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้า

“เมื่อครู่รีบร้อนอยู่บ้างจึงลืมถามชื่อเสียงเรียงนามของทั้งสองท่าน” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็นึกบางสิ่งออกจึงเอ่ยถามขึ้นมา

“ข้าหวงอวิน คนนี้คือศิษย์น้องของข้าหลินผิง” ผู้เฒ่าคิ้วตกตอบ

“อ้อแล้วศิษย์พี่ซุนที่พวกท่านทั้งสองเอ่ยถึง คงจะเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นของสำนักท่านสินะ พอจะบอกสถานการณ์อย่างละเอียดของที่นี่ว่าเป็นอย่างไรสักหน่อยได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงถามขึ้น

ในสี่ยอดนิกายใหญ่ของเผ่ามนุษย์บนแผ่นดินจงเทียน เมื่อเทียบกับสามนิกายอื่น สำนักเฮ่าหรานชื่นชอบยุ่งเกี่ยวกับสังคมที่สุด ทุกครั้งที่เกิดเรื่องใหญ่ในโลกของผู้ฝึกฝนหรือโลกมนุษย์ สำนักเฮ่าหรานมักจะเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปร่วมเสมอ

นานวันเข้าในยามที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กับผู้ฝึกฝนต่างเผ่าขัดแย้งกัน และไม่ใช่การแข่งขันกับผู้ฝึกฝนสามนิกายใหญ่ที่เหลือ คนของสำนักเฮ่าหรานล้วนกลายเป็นผู้นำที่ทุกคนคอยตามอยู่เป็นปกติ

“สหายพูดไม่ผิด ศิษย์พี่ซุนเป็นหนึ่งในผู้นำคณะเดินทางระดับแก่นแท้ของนิกายเราจริงๆ แม้พลังเพียงระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แต่หากพูดถึงกลยุทธ์กลับไม่มีใครเทียบได้ มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์สำนักเราที่เข้ามาในเศษซากโลกบน ครั้งนี้ก็เป็นศิษย์พี่ซุนที่นำศิษย์สำนักเรามาค้นพบที่แห่งนี้ก่อน ตอนพวกเราพบซากโบราณสถานที่นี่ มันก็ถูกยอดฝีมือเผ่าปีศาจสามตนยึดครองไว้แล้ว หนึ่งตนในนั้นพลังระดับแก่นแท้ ทว่าเผ่าปีศาจเหล่านี้ไม่รีบร้อนทำลายชั้นจำกัดของโบราณสถาน แต่ตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ว่าพวกมันกำลังรอสิ่งใดอยู่ หลังจากนั้นพวกมันก็ปะทะกับพวกเรา เริ่มแรกพวกเราอาศัยจำนวนคนที่ได้เปรียบผนวกกับศิษย์พี่ซุนชำนาญวิชาค่ายกลกับชั้นจำกัด พวกเราจึงเหนือกว่าอยู่เล็กน้อย ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจไม่น้อยก็เหมือนจะทยอยมารวมตัวกันราวกับนัดกันไว้ก่อนแล้ว พริบตาเดียวก็มีปีศาจเพิ่มขึ้นสิบกว่าตน อีกทั้งในหมู่พวกมันยังมีผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้เพิ่มมาอีกตนหนึ่ง สถานการณ์ตอนนี้ศิษย์พี่ซุนจึงนำพวกเราหลบมาที่นี่ชั่วคราวแล้วส่งข่าวไปหาผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์บริเวณใกล้เคียงให้มารวมกันต้านศัตรู แม้หลายวันนี้จะหาผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ไม่ได้ แต่ก็รวบรวมยอดฝีมือที่พลังไม่ธรรมดามาได้สิบกว่าคน ดังนั้นจึงต้านทานเผ่าปีศาจเหล่านี้ไว้ได้อย่างหวุดหวิดจนถึงตอนนี้” บัณฑิตหนุ่มนามว่าหลินผิงผู้นี้ไม่มีเจตนาจะปิดบังสักนิด เขาเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวออกมารอบหนึ่งทันที

หลังจากหลิ่วหมิงฟังแล้ว แม้สีหน้าบนใบหน้าจะเหมือนปกติ แต่ในใจกลับคาดเดาได้อยู่บ้างว่าเหตุใดเผ่าปีศาจจึงชักช้าไม่เข้าไปในซากโบราณสถานสักที

วันนั้นเพราะจี๋อิ่งกับหู่ฉางยอดฝีมือจากเผ่าพยัคฆ์เงินตนนั้นหมายตาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณในร่างอสูรโบราณตัวนั้นจึงไม่ได้เดินทางตรงมาที่นี่ทันที มิเช่นนั้นหากมีผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้สี่คน ต่อให้ศิษย์พี่แซ่ซุนผู้นี้จะกลยุทธิ์สูงส่งอีกเท่าใดก็เกรงว่าคงไม่อาจรับมือได้

ระหว่างที่พูดคุยกัน ทั้งสามคนก็ทะลุผ่านหุบเขาชันมาจนถึงตีนเขาหิมะขนาดยักษ์ที่อยู่ลึกเข้ามาในหุบเขา

“สหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ เข้ามาสิ!”

ทันทีที่ทั้งสามคนมาถึง เสียงก็ดังขึ้นรอบด้านสะท้อนก้องในหูทั้งสามคน

หลิ่วหมิงลอบส่งจิตสัมผัสออกไปกวาดผ่านอากาศรอบด้านทันที แต่เขากลับตัดสินไม่ได้ว่าผู้ส่งกระแสจิตอยู่ที่ใดกันแน่ สัมผัสได้เพียงเลือนรางว่ามาจากเขาหิมะด้านหน้าเท่านั้น

เวลานี้ผู้เฒ่าของสำนักเฮ่าหรานฉับพลันสะบัดแขนเสื้อต่อเนื่อง แสงเจิดจ้าหลายสายยิงออกไปตามต่อกันพุ่งลงบนพื้นหิมะใต้เท้าทั้งสามคน

ทันใดนั้นสายลมแรงก็พัดขึ้นบนพื้นหิมะ เกล็ดหิมะปลิวกระจายไปรอบด้านเผยให้เห็นทางเข้าอุโมงค์สีเทาขมุกขมัวเส้นหนึ่ง

“สหายหลิ่ว ข้ากับศิษย์น้องหลินยังต้องรับผิดชอบลาดตระเวน คงไม่ส่งท่านเข้าไปด้านใน” ผู้เฒ่าค้อมกายคำนับหลิ่วหมิง

“รบกวนทั้งสองท่านแล้ว”

หลังจากหลิ่วหมิงประสานมือเอ่ยขอบคุณก็ทะยานร่างเข้าไปในอุโมงค์

ผู้เฒ่าคิ้วตกมองส่งหลิ่วหมิงแล้วจึงกระตุ้นเมฆสีเหลืองพาบัณฑิตหนุ่มเหาะเร็วรี่ไปทางหุบเขาอีกครั้ง

“ศิษย์พี่หวง หลิ่วหมิงคนนี้พลังแข็งแกร่งสมคำร่ำลือจริงๆ พลังระดับแก่นเสมือนก็สังหารยอดฝีมือระดับแก่นแท้ได้!” บัณฑิตแซ่หลินฉับพลันอ้าปากเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง

“ฮ่าๆ เรื่องนี้ไยเจ้าต้องถามข้า เจ้าก็เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ครั้งก่อนไม่ใช่หรือ เจ้าก็เห็นแล้วว่าคนผู้นี้เหยียบสองคนนั้นของหอเป๋ยโต่วแล้วคว้าอันดับหนึ่งไป”

“ตอนนั้นข้าอยู่นอกงานประตูสวรรค์ ได้ฟังศิษย์พี่เล่าถึงพลังของคนผู้นี้ทีหลัง ไม่ได้เห็นกับตาตนเอง” บัณฑิตแซ่หลินเกาศีรษะ เอ่ยขึ้นอย่างติดจะกระดากอยู่บ้าง

“หากเป็นเช่นนี้จริง พลังของคนผู้นี้กว่าครึ่งก็คงไม่ใช่คำลวง ถ้าเป็นเช่นนี้การต่อสู้หลังจากนี้ พวกเราก็คงมีหวังจะชนะเพิ่มอีกหนึ่งส่วน” ผู้เฒ่าลูบเคราแล้วเอ่ยขึ้น

จากนั้นเสียงพูดคุยของคนทั้งสองก็แผ่วเบาจนฟังไม่ได้ยินอีก

ในเวลาเดียวกันนี้หลิ่วหมิงก็ผ่านอุโมงค์ที่ไม่ยาวสายหนึ่งเข้ามาในห้องโถงประชุมของฐานทัพชั่วคราวอย่างราบรื่น

แทนที่จะเรียกว่าห้องโถงประชุม ไม่สู้เรียกว่าถ้ำขนาดยักษ์แห่งหนึ่งจะเหมาะกว่าอยู่บ้าง ใน ‘ห้องโถง’ ขนาดยี่สิบกว่าจั้ง ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์หกคนนั่งกระจัดกระจายกันอยู่ นี่น้อยกว่าที่หลิ่วหมิงคิดไว้ไม่น้อย

ผู้ที่เป็นหัวหน้าสวมเสื้อผ้าของสำนักเฮ่าหราน ท่าทางอายุสามสิบกว่าปี ใบหน้าเกลี้ยงเกลาประดับคิ้วเข้มคู่หนึ่งให้กลิ่นอายไม่ธรรมดา เขานั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หินตัวหนึ่งใจกลางห้องโถง น่าจะเป็น ‘ศิษย์พี่ซุน’ ผู้นั้นที่ผู้เฒ่าก่อนหน้านี้เอ่ยถึง

คนที่เหลือมีผู้ฝึกฝนของสำนักเฮ่าหรานสองคน แต่หญิงสาวชุดเขียวผู้นั้นที่หลิ่วหมิงเคยพบในงานประตูสวรรค์กลับไม่อยู่ที่นี่

สามคนที่เหลือไม่ว่าจะชุดที่สวมหรือหน้าตา หลิ่วหมิงล้วนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จากการคาดเดาของเขา พวกเขาอาจเป็นศิษย์ของนิกายอื่นหรือตระกูลอื่นบางแห่ง ผู้ฝึกฝนชุดขาวคนหนึ่งในนั้นท่าทางดูเหมือนจะไม่ธรรมดา

ในหมู่คนที่นั่งอยู่ นอกจากผู้ฝึกฝนแซ่ซุนที่พลังระดับแก่นแท้ขั้นกลาง คนที่เหลือล้วนพลังระดับแก่นเสมือนเช่นเดียวกับหลิ่วหมิง

เมื่อเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ทุกคนที่อยู่ที่นั่นบ้างก็หันมาประสานมือให้เขา บ้างก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย

หลิ่วหมิงประสานมือคำนับผู้ฝึกฝนทั้งหลายทีละคน หลังจากนั้นจึงนั่งลงบนม้านั่งหินฝั่งหนึ่งของห้องโถงใหญ่ ทว่าพริบตาที่เขานั่งแล้วก้มหน้าลง สีหน้าพลับเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง สายตากวาดมองไปยังบางสิ่งในแขนเสื้อของตน

“ข้าซุนเผิงเป็นผู้รวบรวมคนกะทันหันในครั้งนี้ เมื่อครู่ศิษย์น้องหวงส่งกระแสจิตบอกว่าพบสหายหลิ่ว ยังกลัวอยู่เลยว่าเขาจะเชิญเจ้ามาที่นี่ไม่ได้” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนรอหลังจากหลิ่วหมิงนั่งลงแล้วจึงยิ้มกว้างเอ่ยกับหลิ่วหมิง

“ได้พี่ซุนดูแลแล้ว! หากข้าไม่ถูกผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้ตนหนึ่งไล่ล่าสังหารจนจับพลัดจับผลูล่วงล้ำเข้ามาที่นี่ก็คงไม่ได้พบกับทุกท่าน” เมื่อหลิ่วหมิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าก็ฟื้นกลับเป็นปกติ เขาเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ

“สหายหลิ่วถูกผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้ไล่ล่าสังหารยังไร้บาดแผล ไม่เสียทีเป็นศิษย์ระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์!” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนยิ้มตอบ

“ข้าเสียกำลังไปมากโขแล้วยังใช้ยันต์ที่นิกายมอบให้อีกหลายชนิดจึงหนีรอดมาได้ หากไม่ใช่เผ่าปีศาจตนนั้นเหมือนมีเรื่องสำคัญอื่นต้องไปทำแล้วเปลี่ยนทิศทางจากไปกลางคัน ผลลัพธ์ก็คงเป็นคนละเรื่อง จริงสิ สหายเหล่านี้คือใครบ้างหรือ?” หลิ่วหมิงเล่ากึ่งจริงกึ่งลวง

“มา มา ข้าจะแนะนำ สองคนนี้คือศิษย์น้องของข้า แล้วยังมีสหายนิกายปีศาจลี้ลับคนหนึ่ง อีกสองคนที่เหลือมาจากแปดตระกูลใหญ่…” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนแย้มยิ้ม อ้าปากแนะนำคนที่เหลือที่อยู่ที่นั่นทีละคนจนครบ

เมื่อเอ่ยถึงศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับ ดวงตาสองข้างของหลิ่วหมิงพลันหรี่ลงเล็กน้อยมองไปทางผู้ฝึกฝนชุดขาวอีกหลายครั้งเหมือนตั้งใจแต่ไม่ได้ตั้งใจ