ตอนที่ 2,279 : ความมุ่งมั่นของต้วนหลิงเทียน
ยอดฝีมือหนุ่มคนหนึ่งมาเยือนวังเซียนสัญจร แม้จะเกิดเรื่องมากมายแต่สุดท้ายกลับได้เป็นรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่! ที่สำคัญยอดฝีมอผู้นั้นเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!!
ในเวลาอันสั้นข่าวดังกล่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่ง
หลังจากข่าวแพร่ไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่งแล้ว มันก็หาได้หยุดลงที่เมืองนี้แต่อย่างใด ยังคงแพร่ออกไปทุกสารทิศไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดเหล่าปีศาจที่บุกขึ้นมาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างส่วนใหญ่ก็ได้ยินข่าวเรื่องราวครั้งนี้
“โชคของวังเซียนสัญจรไฉนถึงได้ดีนัก? กลับมีรองจ้าววังของเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ?”
“ไม่ผิด ว่ากันว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่นี้เดิมทีเป็นผู้ฝึกมารมนุษย์ที่ไร้สังกัด…แต่ในที่สุดมันก็เลือกจะเข้าร่วมกับวังเซียนสัญจร!”
“แถมข้าได้ยินมาว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่หาได้ง่ายดายนัก แรกมาถึงวังเซียนสัญจรมันก็เข่นฆ่าอาวุโสขอบเขตของวังเซียนสัญจรทิ้งไป2 คน…แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นอาวุโสขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอีก!”
“เจ้านั่นมันไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ?”
…
หลังจากนั้นไม่นาน บอกได้ว่าไม่เพียงแต่เมืองเหรินโม่เชิ่งเท่านั้นที่คุยกันถึงเรื่องนี้ เมืองของเผ่าปีศาจเผ่าอื่นๆก็คุยกันถึงเรื่องราวดังกล่าวกันหนาหู
ทุกคนพากันรับทราบ ว่าวังเซียนสัญจร 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์ ได้มีรองจ้าววังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนปรากฏตัวขึ้น!
ข่าวเรื่องนี้สำหรับบเผ่าปีศาจเผ่าอื่นย่อมไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับเผ่าปีศาจมนุษย์นับเป็นเรื่องใหญ่มาก!
นอกจากนี้คนของเผ่าปีศาจมนุษย์ยังได้รู้อีกด้วยว่า…
รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจร เรียกว่าต้วนหลิงเทียน!
“รองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรเรียกว่าต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ? เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเรื่องนี้ได้ยินมาไม่ผิด”
ภายในเหลาอาหารแห่งหนึ่งของเมืองเหรินโม่เชิ่ง ปีศาจตนหนึ่งหันไปมองถามสหายปีศาจที่นั่งร่วมโต้ะด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ ราวกับพึ่งได้ยินเรื่องราวอันน่าทึ่ง
“มิผิดหรอก เรียกว่าต้วนหลิงเทียนจริงๆ…อะไร เจ้ารู้จักมันหรือ?”
ฝ่ายหลังกล่าวถามออกมาด้วยสงสัย
“ไม่ๆ…ข้ามิได้รู้จักมัน เพียงแต่ข้าเพียงนึกถึงคนที่ชื่อ ต้วนหลิงเทียน ขึ้นมา แต่ทว่าคนๆนั้นเป็นมนุษย์ของแดนเซียนแห่งนี้มิใช่คนของเผ่าปีศาจมนุษย์”
ปีศาจตนแรกกล่าวพลางส่ายหัวไปมา
“โอ๊ะ จะว่าไปพอเจ้าพูดออกมาแบบนี้ข้ากกลับจดจำได้เรื่องหนึ่ง…ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนยามได้ยินนามต้วนหลิงเทียนครั้งแรกข้ารู้สึกคุ้นๆ ว่าแต่ต้วนหลิงเทียนที่เจ้าว่าเป็นผู้ใดหรือ?”
ปีศาจตนหลังกล่าวถามออก
ถึงแม้บทสนทนาของพวกกมันสองตนจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ผู้คนที่นั่งโต๊ะรอบๆพวกมันย่อมได้ยินบทสนทนาของพวกมันชัดถนัดหู
“จะว่าไปข้าก็รู้สึกแบบนั้นนะ…”
“นั่นสิข้าเองก็คล้ายว่าจะเคยได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียนมาก่อน มันคุ้นๆหูพิกล แต่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากไหน”
…
ในเหลาอาหารเริ่มมีปีศาจเข้าร่วมบทสนทนาดังกล่าว
พวกมันเองก็รู้สึกว่าชื่อของรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่นี้คุ้นๆหูพิกล แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน
“อะไรกัน นี่พวกเจ้าจะขี้ลืมกันเกินไปหน่อยแล้วมั้ง?”
ทว่าตอนนี้เองพลันมีปีศาจมนุษย์ตนหนึ่งที่นั่งอยู่ในมุมสุดด้านหนึ่งของเหลา กล่าวออกเสียงดัง
ความดังของเสียงมันเรียกว่ากลบเสียงสนทนาเซ็งแซ่ของเหลาส่วนนั้นไปหมด “นี่พวกเจ้าลืมเลือนกันไปแล้วหรือยัง ว่าสถานที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งของพวกเรา แต่เดิมมันเคยเป็นดินแดนของผู้ใดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?”
“เพ่ย! เรื่องเท่านี้ไหนเลยพวกเราจะลืมกันได้ง่ายๆ ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังของพวกมนุษย์มัน!”
“ใช่แล้ว ก่อนที่เผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกเราจะมายึดครองพื้นที่แถบนี้ เห็นว่ามันเป็นอาณาเขตของตำหนักเมฆาคราม แถมตำหนักเมฆาครามที่ว่าก็เป็นถึง 1 ใน 2 ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง”
…
เหล่าปีศาจมนุษย์ในเหล่าขานตอบกันอย่างคึกคัก
“ฮ้า! มารดามันเถอะ ข้าจำได้แล้ว!!”
ทันใดนั้นเองปรากฏเสียงอุทานหนึ่งดังขึ้น
เป็นปีศาจมนุษย์คนหนึ่งที่ถึงกับลุกขึ้นยืน มันโพล่งกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของจ้าวตำหนักเมฆาครามที่ลือกันว่าเคยมีตราผนึกมารอยู่ในครอบครอง…เรียกว่าต้วนหลิงเทียนหรือไร?!”
“เพ่ย! ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนชื่อนี้มันถึงได้คุ้นหูนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่แท้เป็นชื่อของนายน้อยตำหนักเมฆาครามนี่เอง!!”
“อัยยะ โลกนี้พิศวงยิ่ง! ไม่คิดเลยว่ารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ กลับมีชื่อเหมือนกับนายน้อยตำหนักเมฆาครามที่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ซะได้!!”
“ว่ากันว่านายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้หลังถูกชิงตราผนึกมารไป ไม่นานมันก็ขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบน…แต่ตอนนี้ด้วยความที่มหาค่ายกลข้ามแดนเชื่อมภูมิภาคเบื้องบนกับเบื้องล่างถูกทำลาย ข้าเกรงว่าป่านนี้มันยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าบ้านมันบึ้มแล้ว ตำหนักเมฆาครามอันใดไม่มีเหลือให้มันกลับมาอีกต่อไป…”
“ถึงแม้จะมีนามเหมือนกัน แต่ชีวิตนายน้อยนั่นมันช่างน่าอนาถยิ่ง แต่โลกเราก็เป็นเช่นนี้…”
…
พอตระหนักได้ว่ารองจ้าววังเซียสัญจรคนใหม่ กลับมีนามเหมือนกันกับนายน้อยตำหนักเมฆาคราม เหล่าปีศาจมนุษย์ในเหลาก็เริ่มสนทนากันถึงเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน
นอกจากนั้นยังมีเผ่าปีศาจมนุษย์บางตนที่เคยใช้ทักษะควาญวิญญาณกับมนุษย์ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างที่อาศัยอยู่แถบนี้ จึงได้เคยเห็นรูปเหมือนของนาน้อยตำหนักเมฆาครามนาม ต้วนหลิงเทียน มาก่อน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ในสายตาของพวกกมันก็แค่เรื่องบังเอิญ แค่ชื่อรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ดันไปเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาครามเท่านั้น
และต้องนับว่ายังโชคดีนัก ว่ามีปีศาจในเผ่าปีศาจมนุษย์แค่น้อยคนนักที่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน ที่สำคัญเลยก็คือพวกกมันยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตารองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่!
หาไม่แล้วพวกมันคงได้ค้นพบว่า…
รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ที่มีนามว่าต้วนหลิงเทียนนั้น กลับมีหน้าตาเหมือนกันกับต้วนหลิงเทียนผู้เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามราวกับแกะ!!
และนี่เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทันนึกถึง
ไม่อย่างนั้นถึงไม่เปลี่ยนชื่อ แต่เขาก็ต้องปลอมแปลงรูปโฉมเพื่อปลอมตัวแน่นอน
ส่วนตอนนี้ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น หลังได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากจ้าววังเซียนสัญจรแล้ว เขาก็พาครอบครัวย้ายจากคฤหาสน์สำหรับรับรองแขกไปเข้าอยู่คฤหาสน์ส่วนตัวประจำตำแหน่งรองจ้าววังทันที
ที่ตั้งของคฤหาสน์ส่วนตัวนี้นับว่ากว้างขวางและไม่แออัด ในละแวกใกล้เคียงมีคฤหาสน์ตั้งอยู่เพียงไม่กี่หลังเท่านั้น
ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ บริเวณพื้นที่แถบนี้มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นกว่าจุดอื่นในวังเซียนสัญจรมาก
“ข้าว่าจะปิดด่านบ่มเพาะสักระยะ หากมีเรื่องด่วนใดๆเจ้าสามารถมาเรียกข้าได้…แต่ถ้าไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรไม่จำเป็นต้องมาเรียกหาข้า”
ต้วนหลิงเทียนมองชายวัยกลางคนเบื้องหน้า ทั้งกล่าวกำชับเสียงหนัก
ฟังแล้วก็บอกได้ทันที…ว่านี่คือคำสั่ง!
“ขอรับนายน้อย”
ชายวัยกลางคนดังกล่าวก็รับคำด้วยท่าทีสุภาพ ทำราวกับมันเป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง
ยังดีที่บริเวณนี้ไม่มีใครอื่นผ่านมาแลเห็น หาไม่แล้วหากได้เห็นฉากดังกล่าวคงได้ตกใจกันไม่น้อยแน่!
นั่นเพราะชายวัยกลางคนที่ทำตัวราวกับข้ารับใช้นั้น…มิใช่ชนชั้นไก่กา! หากแต่มันเป็นถึงอาววุโสคนหนึ่งของวังเซียนสัญจร!!
สำหรับวังเซียนสัญจรแล้ว ชนชั้นอาวุโสนับว่ามีตำแหน่งฐานะไม่ต่ำทราม กระทั่งกล่าวได้ว่ายังมีอำนาจไม่น้อย ถึงแม้เป็นธรรมดาที่ต้องให้ความเคารพรองจ้าววัง แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทำตัวต่ำต้อยประหนึ่งข้ารับใช้แบบนี้!
ทว่าตอนนี้ชนชั้นอาวุโสคนหนึ่งของวังเซียนสัญจร ไม่เพียงแต่จะก้มหัวมากคารวะต่อชนชั้นรองจ้าววังอย่างนอบน้อมผิดปกติ แต่ยังใช้คำเรียกหาว่า ‘นายน้อย’ ไม่ใช่รองจ้าววังอย่างที่ควรจะเป็น!
“ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเบา พร้อมโบกมือส่งๆ ชายวัยกลางคนที่เป็นชนชั้นอาวุโสดังกล่าวก็ประสานมือโค้งหัว ก่อนที่จะจากไป
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอาวุโสคนหนึ่งที่ต้วนหลิงเทียนกับพวกพบเจอตั้งแต่วันแรกที่มาถึงวังเซียนสัญจร อีกฝ่ายก็คืออาวุโสขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนที่มาถึงไล่เลี่ยกับหลินหย่วน นามว่า เผิงไหล!
ต้วนหลิงเทียนคิดจะดึงตัวเผิงไหลมาอยู่ข้างตัวเองแต่แรก ดังนั้นเขาจึงจงใจสั่งคนรับใช้ในคฤหาสน์ไปตามตัวเผิงไหลมาเข้าพบ หลังจากนั้นเขาก็ชวนให้เผิงไหลออกจากวังเซียนสัญจรไปทำธุระในเมืองเหรินโม่เชิ่งกับเขา
ทว่าหลังออกจากวังเซียนสัญจรแล้วต้วนหลิงเทียนไม่เพียงพาอีกฝ่ายออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง ยังพาอีกฝ่ายออกไปไกลห่างจากเมืองเหรินโม่เชิ่ง
และที่ต้วนหลิงเทียนพามันออกไปไกลนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หากแต่พามันไปไล่ตระเวนเข่นฆ่าปีศาจเผ่าอื่นที่พบเจอราวผักปลา ยังฆ่าล้างสังหารปีศาจไปนับไม่ถ้วน เพื่อยกระดับพรสววรรค์รากวิญญาณของมันให้กลายเป็นสีครามเข้ม!
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้ามี 2 ทางให้เลือกเดิน…หนึ่งคือกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจะจงรักภักดีกับข้า และหากเจ้าประพฤติตัวดีๆ วันหน้าข้าจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าให้กลายเป็นสีม่วง…ส่วนทางเลือกที่ 2 คือ ตาย!”
ในขณะที่เผิงไหลกำลังตื่นตระหนกตกใจไปด้วยความยินดีอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพราะรากวิญญาณของมันกลับยกระดับขึ้นมาจนกกลายเป็นรากวิญญาณสีครามเข้ม ต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงทั้งกล่าวบอกทางเลือกให้มัน เลือก!
แม้จะกะทันหันจนสร้างความแปลกใจอยู่บ้าง แต่เผิงไหลก็เลือกหนทางแรกอย่างไม่เสียเวลาคิด กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้ายอมรับต้วนหลิงเทียนเป็นเจ้านายและจะจงรักภัคดีกับต้วนหลิงเทียนทันที
“รากวิญญาณสีม่วง…”
เผิงไหลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นสุดขีดเมื่อได้รับทราบว่า ตัวมันผู้นี้วันหน้ากลับมีโอกาสที่จะได้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงในตำนาน!
‘นายน้อยของข้าผู้นี้ที่แท้เป็นยอดคนมาจากที่ใดกันแน่ ไฉนถึงได้มีพลังอันน่ากลัวถึงขั้นสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดให้ผู้คนได้! พลังอำนาจถึงขั้นฝืนลิขิตสววรรค์เช่นนี้หากข้าไม่มาเจอกับตัวให้ตายข้าก็ไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง!!’
ขณะเดียวกันในใจของเผิงไหลก็บังเกิดความหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก
เพราะสุดท้ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนคนนี้กลับมีพลังอำนาจที่จะยกระดับพรสสรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่นได้!
ต้องทราบด้วยว่าเรื่องราวดุจดั่งนิทานอภินิหารเช่นนี้ ต่อให้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะก็ทำไม่ได้!
ด้วยวิธีนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้เผิงไหลมาติดตามข้างกาย ถึงแม้ผิวเผินเผิงไหลจะยังคงดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจรเหมือนเดิม หากแต่มันก็ยึดถือต้วนหลิงเทียนเป็นนายน้อย
‘ตอนนี้ซือหลิงก็ติดใจการปิดด่านบ่มเพาะซะแล้ว เค่อเอ๋อเองก็ปิดด่านบ่มเพาะเหมือนกัน…ถ้างั้นข้าก็เร่งยกระดับพลังดีกว่า’
หลังเผิงไหลจากไป ต้วนหลิงเทียนก็กลับไปปิดด่านบ่มเพาะพลังทันที
ก่อนหน้าเมื่อได้ปะทะกับอวี่เหวินฮ่าวเฉินจ้าววังเซียนสัญจร นับว่าเป็นแรงกระตุ้นครั้งใหญ่สำหรับต้วนหลิงเทียนก็ว่าได้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
วันนั้นโชคดีที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินไม่คิดฆ่าเขา
หาไม่แล้วเขาได้ตายแน่!
แน่นอนว่านั่นต้องหมายความว่าตราผนึกมารไม่อาจฆ่าอวี่เหวินฮ่าวเฉินได้ก่อน
‘เปลี่ยนที่ 9 ของขอบเขตเซียนสวรรค์ จะทำให้ผู้ฝึกตนสามารถรับรู้ถึงฟ้าดิน เมื่อบังเกิดสำนึกรู้ต่อฟ้าดินได้ในระดับหนึ่ง ก็จะสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏ…และในขั้นตอนรับรู้ฟ้าดินนี้ มันจะส่งผลต่อพลังเซียนต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนโดยตรง!’
ได้เห็นการลงมืออันทรงพลังที่ประหนึ่งมีฟ้าดินหนุนเสริมนั่นของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน ทำให้ต้วนหลิงเทียนปรารถนาจะทะลวงด่านพลังให้ถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนโดยเร็วที่สุด!
เพราะตราบใดที่เขาทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เขาก็สามารถหยั่งถึงฟ้าดิน ทำความเข้าใจมัน เมื่อสำนึกรู้ฟ้าดินของเขามากถึงระดับหนึ่ง มันจะส่งเสริมพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาให้กลายเป็นร้ายกาจมากยิ่งขึ้น!
หาไม่แล้วพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาก็จะถูกจำกัดให้ทัดเทียมกับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่พึ่งทะลวงด่านพลังอยู่ร่ำไป!
และด้วยความที่พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาตอนนี้กล่าวได้ว่าสามารถเร่งเร้าให้ถึงขีดสุดเท่าที่พลังเซียนต้นกำเนิดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจะบรรลุถึงได้แล้ว ทำให้ต่อให้เขาจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสรรค์ 8 เปลี่ยน พลังรบสูงสุดของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง!
ข้อดีเพียงอย่างเดียวหากบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนก็คือ เขาสามารถเข้าใจวิธีการถอดจิตลี้ร่าง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้ และสามารถถอดวิญญาณเพื่อหลบหนีอันตรายถึงตายได้อย่างไม่ต้องกังวล เพราะยามนั้นวิญญาณของเขาสามารถท่องไปใต้สวรรค์และโลกอย่างไร้ข้อจำกัด
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงต้องการที่จะเพิ่มพูนพลังฝีมืออย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นทะลวงให้ถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเพื่อจะได้หยั่งถึงฟ้าดิน หรือตีความขอบเขตที่ 4 ของยอดใจกระบี่เพื่อให้บรรลุถึงขอบเขตที่ 4 ให้จงได้
แต่สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เลือกอย่างแรก
‘เผ่าพันธุ์ปีศาจสมควรตั้งรกรากที่ภูมิภาคเบื้องล่างได้อย่างมั่นคงแล้ว…อีกไม่นานพวกมันต้องดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป และจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อบุกไปยังภูมิภาคเบื้องบนแน่!’
‘ก่อนที่จะถึงวันนั้น ข้าต้องทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนให้จงได้!’
ปิดด่านครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นนัก!