เลี่ยวชิงซวนเซเล็กน้อยก่อนจะรีบโค้งคำนับอย่างงาม “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม, ผู้มีพระคุณ! ไม่จำเป็นต้องแข่งขันอะไรแล้ว ทักษะการรักษาโรคของคุณเหนือชั้นกว่าผมแน่นอน…”
จางเซวียนชะงัก ฉีหลิงเอ๋อก็งงหนัก
อะไรกันอีกล่ะคราวนี้?
ทำไมวันนี้ทุกคนถึงตื่นเต้นเสียเหลือเกิน? รู้ไหมว่าการต้องรับมือกับความตื่นเต้นของพวกคุณน่ะมันเหนื่อย!
เห็นจางเซวียนกับฉีหลิงเอ๋องุนงง นายแพทย์วัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านข้างอธิบาย “ประธานเลี่ยวได้รับความบอบช้ำภายในอย่างรุนแรงตั้งแต่การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งก่อน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เขาได้ศึกษาวิธีการเยียวยาและทดลองใช้ทุกรูปแบบ แต่ไม่ได้ผล”
“เมื่อ 2 ปีที่แล้ว อาการบอบช้ำภายในของเขากำเริบหนัก ความเสียหายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประธานเลี่ยวคิดว่าเขาคงต้องจบชีวิตแล้ว แต่เมื่อสองสามวันก่อน…มีคนซื้อยาเม็ดเพิ่มความงามและนำมามอบให้เขา ตอนแรกประธานเลี่ยวก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่หลังจากกินยาเม็ดเพิ่มความงามเข้าไป ก็พบว่าอาการบอบช้ำภายในทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเอ่ยปากขอให้สหายคนหนึ่งนำยาเม็ดเพิ่มความงามมาให้อีก ซึ่งหลังจากกินไป 10 เม็ด ไม่เพียงแต่อาการบอบช้ำจะหายเป็นปลิดทิ้ง ยังรู้สึกได้ว่าอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกมาก ประธานเลี่ยวจึงสำนึกในบุญคุณของคุณอย่างสุดซึ้ง!”
จางเซวียนพยักหน้า
ความมหัศจรรย์ของยาเม็ดเพิ่มความงามมาจากพลังปราณเทียบฟ้าที่ถูกถ่ายทอดเข้าไป มันมีอานุภาพเยียวยาอาการบอบช้ำภายในร่างกายและฟื้นฟูพลังชีวิตของผู้นั้นได้ ส่งผลให้อายุขัยยาวนานขึ้นอีกมาก
“ผมทั้งลงทุนลงแรงและทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่มีเพื่อทำความเข้าใจและเยียวยาอาการบอบช้ำ แต่ก็ไม่พบวิธีรักษา ลงท้าย กลับเป็นยาเม็ดของคุณที่ทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย เพียงเท่านั้นยังไม่มากพอจะชี้ชัดอีกหรือว่าทักษะการรักษาโรคของคุณเหนือชั้นกว่าผม?”
“เอ่อ…ผมว่าก็ไม่ผิดเสียทีเดียวหรอกถ้าคุณจะมองในแง่นั้น”
จางเซวียนกำลังคิดจะปฏิเสธคำชมด้วยความถ่อมตัว แต่เมื่อพิจารณาอีกที สิ่งที่ประธานเลี่ยวพูดมาก็มีส่วนจริง เขาคงดูเป็นคนเลอะเทอะหากปฏิเสธคำชมที่เห็นๆกันอยู่ จึงได้แต่รับไว้อย่างไม่ค่อยเต็มใจ
พลังปราณเทียบฟ้ามีอานุภาพเยียวยาอาการบาดเจ็บเกือบทุกประเภท แต่ความรู้เรื่องวิถีทางแห่งการรักษาโรคของจางเซวียนก้าวไปไกลกว่านั้น การที่เขาได้เป็นนายแพทย์ระดับ 9 ดาวเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์คือหลักฐานชี้ชัดถึงทักษะที่เขามี
จางเซวียนคงต้องเถียงกับจิตใต้สำนึกของตัวเองหากจะบอกว่าทักษะการรักษาโรคของเขาอ่อนด้อยกว่าประธานเลี่ยว!
“เอาล่ะ ผมจะส่งข้อความกลับไปเดี๋ยวนี้เพื่อดำเนินกระบวนการให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็จะมอบตราสัญลักษณ์การเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ให้คุณทันที” เลี่ยวชิงพูด
อันที่จริง ประธานเลี่ยวไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประลองนายแพทย์ก็ได้ เพราะสำหรับวงการนายแพทย์ เขามีตำแหน่งสูงส่งพอจนไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่เหตุผลหลักที่เขามาที่นี่ก็เพราะอยากพบผู้มีพระคุณของเขา และจะได้กล่าวคำขอบคุณอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
ซึ่งในเมื่อผู้มีพระคุณเอ่ยปากขอ เขาก็พร้อมจะทำตามคำขอนั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณ
ขณะที่ประธานเลี่ยวกำลังจะนำตราหยกสื่อสารชนิดพิเศษออกมาเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง ชายชราอีกคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้องและร้องออกมา “ประธานเลี่ยว คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะ!”
“รองประธานหวัง มีปัญหาอะไร?” ประธานเลี่ยวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ผู้ที่พรวดพราดเข้ามาในห้องคือรองประธานสมาคมนายแพทย์ของเมืองหลวงมังกรเมฆ, หวังเฟย
“นักปรุงยากับนายแพทย์คือ 2 อาชีพที่แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง การนำ 2 อาชีพนี้มาผสมผสานกันเพียงเพราะมีความเหมือนบางประการนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง มัน…ไม่เหมาะสม!” หวังเฟยแย้ง
เขายอมรับว่าทักษะการปรุงยาของชายหนุ่มเหนือชั้นกว่าใครๆในเวลานี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นอานุภาพของยาเม็ดเพิ่มความงามมากับตา แต่การหลอมยาก็คือการหลอมยา ต่อให้ยาเม็ดของนักปรุงยาคนหนึ่งจะไร้เทียมทานแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้นักปรุงยาผู้นั้นกลายเป็นนายแพทย์ได้!
บทบาทของนายแพทย์คือวินิจฉัยอาการป่วยของคนไข้และหาวิธีการรักษาที่ดีที่สุดเพื่อรักษา ส่วนนักปรุงยาก็ทำหน้าที่นำสมุนไพรชนิดต่างๆมาหลอมเป็นยาเม็ดเพื่อสกัดเอาคุณสมบัติทางยาของมันออกมา
รูปแบบความเชี่ยวชาญของทั้งสองอาชีพถือว่าต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การมอบสิทธิ์ในการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ให้ชายหนุ่มคนนี้ย่อมหมายความว่าประธานเลี่ยวยอมรับโดยอ้อมว่าทักษะการรักษาโรคของตัวเขายังอ่อนด้อยกว่าชายหนุ่ม ซึ่งถ้าต่อไปอีกฝ่ายเกิดสำแดงความด้อยประสิทธิภาพออกมา ก็จะนำความเสื่อมเสียมาสู่สมาคมนายแพทย์ที่ประธานเลี่ยวอุตส่าห์สั่งสมมาด้วยความเหนื่อยยาก
“ประธานเลี่ยว โปรดทบทวนการตัดสินใจของคุณด้วย”
นายแพทย์คนอื่นๆพากันเข้ามาในห้องและโค้งคำนับ
“ผมเป็นหนี้บุญคุณนักปรุงยาจาง และอยากตอบแทนเขา อีกอย่าง ก็ถึงเวลาที่ผมควรจะเกษียณแล้ว เอาล่ะ อย่าพูดอะไรอีกเลย นี่คือการตัดสินใจของผม” ประธานเลี่ยวโบกมือ
อันที่จริง เขาเองก็มีความเห็นแบบเดียวกันกับนายแพทย์คนอื่นๆ คือรู้สึกว่าแม้จางเซวียนจะสามารถหลอมยาที่มีอานุภาพน่าทึ่ง แต่ทักษะการรักษาโรคของอีกฝ่ายก็น่าจะยังอ่อนด้อยอยู่
เหตุผลหลักที่เขายอมทำตามคำขอก็เพราะอยากตอบแทนบุญคุณ
เมื่อเทียบกับชีวิตของเขา ประธานเลี่ยวรู้สึกว่าชื่อเสียงที่อาจด่างพร้อยไปบ้างนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย
จางเซวียนเข้าใจความกังวลของนายแพทย์คนอื่นๆและไม่ได้อารมณ์เสีย “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ เราทำตามกระบวนการที่ถูกต้องจะดีไหม? วิธีที่ใช้กันโดยทั่วไปก็คือการประลองนายแพทย์ ใช่หรือเปล่า? ในเมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ก็เริ่มกันเลยดีกว่า!”
ตัวเขายังอายุน้อย แถมเพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน จึงเป็นธรรมดาที่ใครๆจะพากันแคลงใจในความสามารถของเขา
“คุณจะท้าทายพวกเราเข้าสู่การประลองนายแพทย์?” ประธานเลี่ยวตั้งคำถาม
“ผมพร้อมตลอดอยู่แล้ว” จางเซวียนตอบยิ้มๆ
“คือ…”
ประธานเลี่ยวออกจะลังเล แต่เมื่อเห็นจางเซวียนตัดสินใจแน่วแน่ สุดท้ายก็พยักหน้า
“การประลองนายแพทย์แบ่งออกเป็น 4 หัวข้อใหญ่ คือการเฝ้าสังเกต การดมกลิ่น การซักถาม และการสัมผัส ในแต่ละขั้นตอน คุณจะต้องบันทึกการวินิจฉัยของคุณลงไป ระบุอาการป่วยที่ปรากฏ ระบุวิธีรักษา และตรวจสอบให้ได้ว่าการรักษาของคุณได้ผลหรือไม่”
จางเซวียนพยักหน้า
เขายังสงสัยอยู่ว่าการประลองนายแพทย์มีรายละเอียดอย่างไร ซึ่งเท่าที่เห็นก็ดูจะไม่ต่างจากการ วินิจฉัยคนไข้ของนายแพทย์คนหนึ่ง เพียงแต่…
“แล้วคนไข้ล่ะ? มีคนไข้เข้ามาอยู่ในการประลองหรือเปล่า?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่หากจัดการประลองโดยมีชีวิตของคนไข้เป็นเดิมพัน
นั่นคือการขัดต่อจรรยาบรรณที่นายแพทย์พึงมี
“ไม่มีอย่างแน่นอน!” ประธานเลี่ยวตอบ จากนั้นก็มองจางเซวียนขณะตั้งคำถามอย่างสงสัย “หรือว่า…คุณไม่รู้ว่าการประลองนายแพทย์คืออะไร?”
ชายหนุ่มคือผู้เสนอให้จัดการประลองนายแพทย์ แต่เท่าที่พูดมา ดูเหมือนเขาจะไม่รู้อะไรสักอย่าง!
ประธานเลี่ยวคิดว่าเขาจะยอมแพ้ให้ชายหนุ่มแบบง่ายๆเพื่อจะได้ตอบแทนบุญคุณ แม้จะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเก่งกาจกว่าเขาเรื่องวิถีทางของการรักษาโรค แต่ในฐานะผู้คิดค้นยาเม็ดเพิ่มความงาม ทักษะการรักษาโรคของอีกฝ่ายก็คงไม่ย่ำแย่เกินไป
แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ อะไรๆดูจะไม่เป็นไปตามนั้น
นายแพทย์คนหนึ่งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการประลองนายแพทย์คืออะไร*…ตกลงเขาเป็นนายแพทย์หรือเปล่า?*
“นายแพทย์ชั้นนำของทั้ง 9 น่านฟ้าร่วมมือกันสร้างของล้ำค่าชิ้นหนึ่งขึ้นมา เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ศิลาจารึกอาการ’ เราใช้ของสิ่งนี้สำหรับจัดการประลองนายแพทย์”
เมื่อเห็นว่าจางเซวียนไม่รู้อะไรเลย ประธานเลี่ยวได้แต่ส่ายหัวและอธิบาย
ดูเหมือนความกังวลของรองประธานหวังจะไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายคิดไปเอง
เท่าที่เห็นในเวลานี้ ทักษะการรักษาโรคของชายหนุ่มคงไม่ได้โดดเด่นนัก เพราะไม่มีทางที่นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะไม่รู้รายละเอียดของการประลองนายแพทย์
“ศิลาจารึกอาการ?”
“ใช่ ศิลาจารึกอาการคือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่สามารถบันทึกสภาวะร่างกายของคนไข้ได้อย่างแม่นยำ มันใช้ข้อมูลที่เก็บไว้ฉายภาพเสมือนจริงของคนไข้ขึ้นมาเพื่อบอกรายละเอียดต่างๆกับนายแพทย์ ถ้าคุณหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ คนไข้เสมือนจริงก็จะหายจากอาการเจ็บป่วย”
ขณะที่เลี่ยวชิงพูด เขาก็นำหินก้อนหนึ่งออกมาและเคาะมันเบาๆ
หินก้อนนั้นปล่อยเสียงหึ่งออกมาแผ่วๆ ก่อนจะฉายภาพของมนุษย์ 10 คน ภาพเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นโดยค่ายกลที่ถูกจารึกไว้บนก้อนหิน
ภาพเสมือนจริงของมนุษย์ทั้ง 10 คนที่ปรากฏดูอ่อนระโหยโรยแรงมาก ราวกับกำลังทุกข์ทรมานจากโรคร้ายที่อาจรุนแรงถึงตาย พวกเขาไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานหากไม่ได้รับการรักษา
“คนไข้ทั้ง 10 กำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคที่มีผู้พยายามรักษามันตั้งแต่หลายร้อยหลายพันปีก่อน สภาวะของพวกเขาถูกบันทึกไว้ในศิลาจารึกอาการด้วยกรรมวิธีพิเศษบางอย่าง ทำให้เราสร้างภาพเสมือนจริงของพวกเขาได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนไข้ทั่วไป เราสังเกตอาการ ดมกลิ่น ซักถาม และจับชีพจรของพวกเขา สี่วิธีการนี้จะทำให้เราสามารถระบุอาการป่วยและเสนอวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม”
เห็นจางเซวียนยังคงมองคนไข้เสมือนจริงด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความไม่แน่ใจ เลี่ยวชิงเสริม “ไม่ต้องกังวลหรอก อาการป่วยของคนไข้เหล่านี้ไม่ได้ล้าสมัย หลายอาการยังคงมีอยู่ในยุคปัจจุบัน อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากการทำปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป อีกอย่าง ข้อมูลนี้ถูกจารึกไว้หลายปีแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกที่ใครสักคนจะจดจำอาการได้ทั้งหมด”
“คนไข้เสมือนจริงจะปรากฏตัวแบบสุ่มในแต่ละครั้งที่ศิลาจารึกอาการถูกเปิดใช้งาน เพราะฉะนั้น คุณวางใจได้เลยว่าไม่มีใครเล่นตุกติกได้”
จางเซวียนพยักหน้าอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำนั้น
การรักษาคนไข้เป็นอะไรที่มากกว่าการใช้ความจำ โรคเดียวกันอาจมีอาการที่แตกต่างกันไปมากมาย ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของผู้นั้น เงื่อนไขเหล่านี้ทำให้วิธีการรักษาและการใช้ยาที่นายแพทย์แนะนำจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามความเหมาะสม
ดังนั้น หากคนไข้เสมือนจริงคือคนเดียวกันในทุกครั้งที่เปิดใช้งานศิลาจารึกอาการ ผู้เข้ารับการทดสอบก็อาจท่องจำอาการของคนไข้มาล่วงหน้าและรักษาพวกเขาได้อย่างไร้ที่ติ ซึ่งจะทำให้การทดสอบเปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิง แต่สุดท้าย ก็ดูเหมือนเขาจะประเมินความเข้มข้นของการประลองนายแพทย์ต่ำไป