ซูคงโกรธจนคลั่งแล้วจริงๆ
ครั้งนี้เขาออกโจมตีด้วยตัวเอง แถมยังมีเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคอยช่วยเหลืออีก เดิมทีคิดว่าต้องกำชัยแน่ๆ แต่เวลาหลายวันมานี้กลับถูกอีกฝ่ายหนีพ้นการไล่ล่าสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งนี้พาให้เขายากจะจินตนาการ
จวบจนหนนี้เขาถึงขั้นถูกอีกฝ่ายวางกับดัก ตกหลุมพรางอย่างจัง ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ว่า ยังเสียหน้าอีก นี่จะให้เขาทนไหวได้อย่างไร
เขากล้าฟันธงเลยว่าไม่ทันข้ามวัน ข่าวที่ตนได้รับบาดเจ็บจะต้องแพร่กระจายทั่วแคว้นหมึกขาวแน่นอน
“ไอ้เด็กเหลือขอ คราวนี้เจ้าตายแน่!”
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ซูคงคิดจัดการหลินสวินเพราะมีความคิดจะแก้แค้นแทนผู้น้อยในสำนัก เช่นนั้นเวลานี้เขายากจะลงจากหลังเสือแล้ว มีแต่ต้องฆ่าหลินสวินสิ้นชีพเท่านั้นจึงจะกู้หน้าที่เขาเสียไปกลับคืนมาได้!
แน่นอนที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ยามนี้เขามั่นใจแล้วว่าบนตัวหลินสวินไม่ได้มีสมบัติอริยะแค่ชิ้นเดียว!
ของล่อหูล่อตาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ราชันอย่างเขาเลย แม้แต่อิรยะก็เกรงว่าคงตาลุกกันหมด
เพียงแต่ในการไล่ล่าสังหารครั้งต่อมา สถานการณ์กลับเกิดความเปลี่ยนแปลง
หลินสวินหลบหนีตลอดทาง เข้าไปในเมืองต่างๆ บ่อยครั้ง แถมแต่ละครั้งที่เข้าไปในเมืองก็สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬในเมืองตายตั้งแต่จังหวะแรก
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ซูคงสูญเสียหูตาไปทันที การสะกดรอยตามถูกปิดกั้น ไม่ทันไรก็หาร่องรอยของหลินสวินไม่พบโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว
สิ่งนี้พาให้เขาโกรธจนเกือบคลุ้มคลั่ง
และเวลานี้เองภายในอาณาเขตแคว้นหมึกขาว ข่าวเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล่าตัวเทพมารหลินก็สร้างคลื่นโกลาหลระลอกใหญ่ ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดไม่รู้ตั้งเท่าไร
ควรรู้ว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เผ่าวาทวาโยเพิ่งเปิดตัว ‘กระดานเกียรติภูมิผู้กล้า’ รอบใหม่ ข่าวเกี่ยวกับเทพมารหลินสร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ในนครหยกขาว จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของกระดาน ได้รับความสนใจจากทั่วทั้งแดนชัยบูรพาในบัดดล
และยามนี้เทพมารหลินยังปรากฏตัวที่แคว้นหมึกขาว เกิดความขัดแย้งกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอีก นี่จะไม่ให้ผู้คนตื่นตกใจได้อย่างไรกัน
“นี่เทพมารหลินกำลังเล่นอะไรอยู่ หลังจากก่อเรื่องกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ใหญ่ในแคว้นกู่ชางและสำนักกระบี่เทียมฟ้าในนครหยกขาว นี่ยังจะมาป่วนในแคว้นหมึกขาวอีกหรือ”
ผู้ฝึกปราณมากมายเดาะลิ้น คิดว่าหลินสวินเหี้ยมหาญเกินไปชัดๆ เสมือนว่าบนโลกใบนี้ไม่มีขุมอำนาจใดที่เขาไม่กล้าล่วงเกิน
และหลังจากที่ข่าวเกี่ยวกับราชันอย่างซูคงได้รับบาดเจ็บสาหัสที่เมืองคทาทรายแพร่งพรายออกไป ทั่วแคว้นหมึกขาวก็ฮือฮาโดยสมบูรณ์
ซูคงเป็นถึงราชันอมตะเคราะห์ขั้นสองคนหนึ่ง ใช่ว่าคนทั่วไปจะทัดเทียมได้ แต่ถึงกับได้รับบาดเจ็บ! นี่ก็เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้!
“ซูคงก็อายุปูนนี้แล้ว ในฐานะผู้อาวุโส เดิมทีไปล่าสังหารเทพมารหลินก็เข้าข่ายผู้ใหญ่รังแกเด็ก เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้กลับดีนัก ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ดันถูกเทพมารหลินโจมตีจนบาดเจ็บเสียได้!”
“เห ซูคงผู้นี้ก็ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนหนึ่ง ยามนี้กลับ… เสียเชิงเด็กรุ่นหลัง พาให้ผู้คนปลงอนิจจังนัก!”
เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ซูคงก็โกรธจนแทบกระอักเลือด สำหรับเขา ไม่มีคำวิจารณ์อะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่า ‘เสียเชิงเด็กรุ่นหลัง’ แล้ว
สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งมุ่งมั่นตั้งปณิธานจะสังหารหลินสวินมากขึ้นเรื่อยๆ เสาะหาร่องรอยของหลินสวินทุกแห่งหน เหมือนคนบ้าคลั่งไม่มีผิด
และเมื่อแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณรู้ข่าวเหล่านี้ก็หัวเสียและจนวาจาไปพักหนึ่ง รู้สึกวางหน้าไม่สนิทอยู่หน่อยๆ ลอบระดมพลังในมุมมืดเพื่อร่วมช่วยเหลือซูคงเสาะหาร่องรอยของหลินสวินไม่รู้ตั้งเท่าไร
เพียงแต่พวกเขาคงคิดไม่ถึงสักนิด ว่ายามนี้หลินสวินกำลังกินเนื้อหมากับเซียวชิงเหออย่างเบิกบานสำราญใจ แถมยังอยู่ในหุบเขาลึกห่างจากเขาสามกระจ่างออกไปไม่ถึงสามพันลี้
กองไฟระอุคุโชน บนตะแกรงย่างน่องหมาทมิฬขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง ย่างจนเหลืองเกรียมมันเยิ้ม กลิ่นเนื้อสัตว์หอมฉุยเช่นนั้นพาให้เซียวชิงเหออดกลืนน้ำลายซ้ำๆ ไม่ได้
ข้างๆ เขามีกองกระดูกที่ถูกแทะจนสะอาดเกลี้ยงเกลื่อนพื้นตั้งนานแล้ว
แต่เวลานี้เขายังคงรู้สึกว่าสามารถขยุ้มกินได้อีกสามร้อยยก!
ไม่ใช่อะไรอื่น เนื้อหมาทมิฬนี่เอร็ดอร่อยเกินไปแล้วจริงๆ คุณภาพเนื้อแน่นพ่วงพี คลุกเคล้าเกลือแกงและเครื่องเทศปรุงรสสักหน่อย รสชาตินั้นเรียกได้ว่าวิเศษล้ำทีเดียว
“ตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกว่าตีเจ้าตายก็ไม่กินเนื้อหมาทมิฬหรือ” หลินสวินจดจ่ออยู่กับการย่างน่องหมาทมิฬ และไม่วายเอ่ยปากแซะเซียวชิงเหอหนึ่งประโยค
“เอ้อ”
เซียวชิงเหอหัวเราะแหะๆ กล่าวราวกับคนหน้าไม่อาย “ก็ไม่ใช่ยังไม่ได้ตีตายหรือ พูดตามตรง เนื้อหมาทมิฬนี่ถึงจะขึ้นเหลาไม่ได้ แต่รสชาตินี้ช่างวิเศษสุดจะเอ่ยจริงๆ”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาก็อดทำปากจุ๊ๆ หนึ่งคราไม่ได้ สายตาที่มองน่องหมาทมิฬสีเหลืองทองมันเยิ้มบนตะแกรงย่างก็เปลี่ยนเป็นอดใจรอไม่ไหวน้อยๆ
ไม่นานนักหลินสวินก็ฉีกแบ่งน่องหมาทมิฬที่ย่างสุกแล้วยื่นให้เซียวชิงเหอส่วนหนึ่ง ทั้งคู่ต่างไม่พูดมากความอีก ก้มหน้าก้มตาสวาปามทันที
จนกระทั่งกินอิ่มแปล้ยัดไม่ไหว คราวนี้เซียวชิงเหอถึงตบหน้าท้อง ทอดมองเมฆเคลื่อนบนฟากฟ้า ทอดถอนใจกล่าวงึมงำ “สบายนัก พวกเราฝึกปราณ หากมีเนื้อหมาทมิฬคอยอยู่เคียงข้างทุกๆ วันจะโชคดีแค่ไหนกันนะ”
“ตราบใดที่เจ้าไม่กลัวเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬไล่สังหาร ก็สามารถเสกความปรารถนานี้ให้เป็นจริงได้ทุกเมื่อ” หลินสวินชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่ก็เป็นจอมตะกละคนหนึ่งเหมือนกัน
“จะว่าไป พวกเรายังต้องอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไร” เซียวชิงเหอเอ่ยถาม
“ไม่รีบร้อน แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไม่ได้กำลังล่าตัวข้าอยู่หรือ ทำมาไม่ทำกลับเสียมารยาทนัก ก่อนออกเดินทาง ข้าเองก็ต้องมอบ ‘ของขวัญชิ้นใหญ่’ ให้พวกเขาสักชิ้นเหมือนกัน”
หลินสวินหยัดตัวขึ้น นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึก ทอดมองยังทิศทางไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา
“ของขวัญชิ้นใหญ่…”
เซียวชิงเหออึ้งงัน จากนั้นกลางนัย์ตาก็วาบแววพิกล
“มาแล้ว!”
และเวลานี้เอง เงาร่างหลินสวินพริบไหวกลางอากาศ พลันอันตรธานหายลับไป
……
ห้วงอากาศไกลออกไป ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณในชุดนักพรตสีเหลืองอิฐกลุ่มหนึ่งแล่นปราดไปยังเมืองเนินยุทธ์
ผู้ที่นำหน้าสุดคือชายหนุ่มรูปงามรูปร่างกำยำ เรือนผมสีดำปลิวสยายประบ่า รอบเอวผูกสายรัดหยกขาว เท้าสวมรองเท้าเมฆหมึก ทั่วร่างพรุ่งพรูแสงมรรคลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ว่ายเวียนไม่รู้จบ พาให้อานุภาพของเขาผงาดผยองและกำแหง
เพียงแต่เวลานี้สีหน้าของชายหนุ่มรูปงามคนนี้กลับอึมครึมจนน่ากลัว พาให้กลุ่มคนที่คอยติดตามอยู่ข้างกายเขาต่างเงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
คนผู้นี้คือซูซิงเฟิงนั่นเอง!
ปีนั้นเขา เซียวหรัน กงหยางอวี่ เหวินเสียง และอวิ๋นเช่อไปเยือนโลกชั้นล่างด้วยกันภายใต้การนำของเกาหยาง ผู้อาวุโสสายนอกของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ
“ศิษย์พี่ซู เทพมารหลินคนนั้นเจ้าเล่ห์ไร้ใดเปรียบ ถึงแม้จะกร้าวแกร่ง แต่ไม่มีทางทำร้ายผู้อาวุโสซูคงจนบาดเจ็บได้แน่นอน จากความเห็นของข้า ผู้อาวุโสซูคงต้องถูกเทพมารหลินคนนี้วางกับดักเป็นแน่”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่ว คล้ายกำลังปลอบใจ
“เรื่องนี้มันแน่อยู่แล้ว เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าโง่จนมองไม่ออกแม้กระทั่งเรื่องแค่นี้” ซูซิงเฟิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงเจือความโกรธอันยากจะควบคุม
ชายหนุ่มสีหน้าแข็งทื่อ ยิ่งเงียบพูดไม่ออก
“รีบไปเร็ว ข้าล่ะอยากเห็นนัก ไม่เจอกันหลายปี หลินสวินจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่!” ซูซิงเฟิงสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก เหาะเหินมุ่งตรงไปข้างหน้า
ซูคงเป็นปู่น้อยหกของเขา เหตุที่ครั้งนี้ออกโจมตีจัดการหลินสวินก็เพราะมีใจอยากช่วยซูซิงเฟิงแก้แค้น
แต่ยามนี้ซูคงไม่เพียงไม่อาจทำสำเร็จ ตรงข้ามกลับถูกวางหลุมพราง สิ่งนี้พาให้ซูซิงเฟิงตื่นตกใจเป็นล้นพ้น ในใจเกิดความแค้นใหญ่หลวงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่เพราะต้องการไปล่าสังหารหลินสวินเท่านั้น แต่ยังอยากดูเสียหน่อยว่าวันนี้หลังผ่านไปหลายปี เด็กหนุ่มที่ปีนั้นทำให้ตนอับอายขายขี้หน้า หนีหัวซุกหัวซุนในแดนลับอสูรมารอริยะแห่งแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์คนนี้ จะเติบใหญ่ถึงขั้นไหนแล้วกันแน่
หืม?
เพียงแต่มุ่งหน้าไม่ทันไร ซูซิงเฟิงก็อึ้งงัน เบิกตากว้างกล่าวว่า “ท่านปู่หก เหตุใดท่านจึงกลับมาแล้ว”
ห้วงอากาศเบื้องหน้ามีเงาร่างทรงพลังสายหนึ่งพุ่งปราดออกมา หนวดเคราขาวขุ่น ทั่วร่างปลดปล่อยอานุภาพบีบคั้นผู้คน
เวลานี้เอง กลุ่มคนข้างกายซูซิงเฟิงต่างพากันโค้งคำนับ “คารวะผู้อาวุโสซูคง!”
ซูคงกวาดสายตามองคนทั้งกลุ่ม ท้ายที่สุดก็ตกบนร่างซูซิงเฟิง กล่าวว่า “ซิงเฟิง นี่พวกเจ้าจะทำอะไรกัน”
ซูซิงเฟิงกัดฟันกรอดกล่าวว่า “ข้าจะไปดูเจ้าเหลือขอหลินสวินนั่นให้เห็นกับตา เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเท่านั้น เด็กหนุ่มต้อยต่ำจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งอย่างเขาจะเปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ในน้ำเสียงเผยแววเคียดแค้นและไม่ยินยอมเปี่ยมล้น
ซูคงร้องอ้อหนึ่งครา กล่าวว่า “เจ้ารู้สึกขัดใจที่ถูกเจ้าเด็กนั่นเหนือกว่า หรือว่าไม่อาจทำใจยอมรับความจริงว่าเขากร้าวแกร่งขึ้นมากยิ่งกว่าเจ้ากันแน่”
ซูซิงเฟิงสีหน้าแข็งทื่อน้อยๆ เนิ่นนานกว่าจะพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านปู่หกพูดถูกต้อง มีความคิดเช่นนี้จริงๆ”
เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง
“การฝึกปราณ สิ่งแรกต้องยอมรับความจริง ยอมรับศักยภาพของตน ซิงเฟิงจิตใจคับแคบเช่นนี้ จากนี้ไปเกรงว่าคงยากจะประสบความสำเร็จ”
ซูคงทอดถอนใจ
“ท่านปู่หก ข้า…”
ซูซิงเฟิงอ้าปากตั้งท่าจะแก้คำ ก็เห็นซูคงสีหน้าเคร่งขรึม อานุภาพไร้รูปแผ่กว้างกระจายออก ตะโกนเสียงดังว่า “ยังจะแก้ตัวอีก ข้าดูแล้วเจ้าน่ะถูกความเลอะเลือนครอบงำจนใจมืดบอด ยังไม่คุกเข่ายอมรับผิดอีก!”
เสียงดั่งฟ้าคำรามยามเงียบสงบ ซัดสะเทือนจนสองหูซูซิงเฟิงอื้ออึง จิตใจกวัดแกว่ง คุกเข่าฮวบกลางอากาศโดยไม่รู้ตัว
แต่จากนั้นเขาก็เฉลียวใจว่าไม่ถูกต้อง ท่านปู่หกฟูมฟักรักใคร่ตนเรื่อยมา พูดจาก็ไม่เคยเกรี้ยวกราดเช่นนี้มาก่อน วันนี้เป็นอะไรไป
เขาอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ พอมองครานี้ก็ทำให้เขาสังเกตเห็นจุดไม่เข้าทีทันควัน
‘ท่านปู่หก’ ตรงหน้าคนนี้ถึงแม้รูปร่างท่าทางล้วนเหมือนกับภาพจำของตนทุกประการ แต่กลิ่นอายกลับอ่อนแอเกินไปอย่างเห็นได้ชัด ขาดอานุภาพเฉพาะตัวที่เป็นส่วนหนึ่งของระดับราชันอมตะเคราะห์ไป
ยิ่งกว่านั้นสายตาที่มองตนก็ยังชอบกล ถึงกับเจือกลิ่นอายล้อเลียนคล้ายมีแต่ไม่มีเสี้ยวหนึ่ง!
“เจ้าไม่ใช่ท่านปู่หก!” ซูซิงเฟิงกล่าวเดือดดาล
คนอื่นๆ ต่างก็อึ้งงัน มึนงงไปหมด
กลับเห็น ‘ซูคง’ หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “เจ้าอยากนับข้าเป็นปู่ แต่ข้าไม่อยากนับเจ้าเป็นหลานหรอกนะ!”
เมื่อสิ้นเสียง ‘ซูคง’ ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง กลายร่างเป็นคนหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง เป็นหลินสวินนั่นเอง
เมื่อเห็นหลินสวิน กอปรกับได้ยินเสียงหัวเราะลั่นที่เจือแววเหยียดหยัน ใบหน้าหล่อเหลาของซูซิงเฟิงคับแค้นจนแดงก่ำขึ้นมาทันควัน ผมยาวทั่วศีรษะปลิวสยาย โกรธจนควันออกเจ็ดทวาร
เขาดีดตัวดังผึง โมโหจนผมตั้ง ชี้นิ้วสั่นระริกไปทางหลินสวิน “หลินสวิน ไอ้เหลือขออย่างเจ้าถึงกับกล้าทำข้าขายหน้าเช่นนี้เชียว!”
เขาโกรธจนแทบคลุ้มคลั่งจริงๆ เมื่อครู่เขาถึงกับคุกเข่าต่อหน้า ‘คู่แค้น’ ของตน ถึงแม้จะถูกตบตา แต่สุดท้ายก็อัปยศเกินไปอยู่ดี หากข่าวอื้อฉาวพรรค์นี้แพร่งพรายออกไป ชั่วชีวิตนี้เขาคงโงหัวไม่ขึ้นเป็นแน่
“เทพมารหลิน เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”
“น่าชังนัก!”
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา สีหน้าแปลกพิลึกไร้ใดเปรียบ
หลินสวินระบายยิ้มสดใส ไม่ว่าอีกฝ่ายจะด่าว่าอย่างไรเขาก็ไม่พูดมากความอีก เงาร่างพริบไหว เหยียบย่างห้วงอากาศพุ่งพรวดสู่เบื้องหน้า ซัดโจมตีอย่างอุกอาจ!
…………………….