ตอนที่ 2282

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,282 : ภาพเหมือนเปิดเผย!

 

ตลอดปีที่ผ่านเหล่าผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ล้วนหวาดกลัวยอดฝีมือมนุษย์ที่ใช้ตราผนึกมารสังหาร 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรเป็นอย่างมาก เช่นนั้นพวกมันจึงไม่กล้าเผยแพร่เรื่องยอดฝีมือมนุษย์คนนั้นออกไป

 

ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เปลือกนอกของพวกมันจะแลดูไม่เป็นอะไร หากแต่ลึกๆกลับเสียใจอยู่ไม่น้อย เสียใจที่ทำอะไรไม่ได้!

 

หนึ่งปีต่อมาหลังได้รับทราบว่ายอดฝีมือมนุษย์นั่นที่แท้กลับเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน! ทว่าพวกมันก็ยังคงหวาดกลัวแล้วไม่กล้าเผยแพร่เรื่องราวออกไปอยู่ดี

 

ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงยิ่งเสียใจหนักนัก!!

 

ทว่าตอนนี้พวกมันกลับมี ‘วิธีการ’ ลงมืออย่างที่ไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ยังเป็นการ ‘ยืมมีดฆ่าคน’ หมายปล่อยให้วังเซียนสัญจรของเผ่าปีศาจมนุษย์จัดการกับต้วนหลิงเทียนนั่นแทน!

 

สำหรับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 แล้ว เรื่องนี้เสมือนฟางเส้นสุดท้าย!

 

แล้วพวกมันจะปล่อยมือจากฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยเหลือพวกมันไปได้อย่างไร?

 

“เอาล่ะ…เช่นนั้นข้าจะไปเอง ข้าจักเอาภาพเหมือนนั่นไปให้สายของข้าที่ซื้อตัวไว้ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ก่อนที่จะให้มันนำไปเผยแพร่! อยากรู้นักว่าจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน นั่น…จักทำหน้าอย่างไรเมื่อได้รู้ว่ามันเป็นคนชักนำหมาป่าเข้าบ้านด้วยตัวเอง!”

 

ผู้นำเผ่าปีศาจสุกร 1 ใน 3 ผู้นำกล่าวออกพร้อมรอยยิ้มแสยะ

 

“จ้าววังเซียนสัญจรนั่นเจียนทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะเต็มที…ในบรรดา 3 จ้าววังมันนับว่ามีโอกาสชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาและผ่านพ้นไปได้ก่อนผู้ใด…กล่าวได้ว่า หากพวก ‘ตัวประหลาดเฒ่า’ เหล่านั้นไม่ออกมา ก็นับว่ามันเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง รองจากประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์!”

 

“น่าเสียดายนัก นับประสาอะไรกับผู้ที่ใกล้จะบรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะ…ต่อให้เป็นประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์นั่นลงมือเองก็มิแน่ว่าจะจัดการต้วนหลิงเทียนได้!”

 

ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวค่อนแคะ

 

“มิผิด”

 

ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น แม้พลังฝึกปรือของมันจะทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนธรรมดา หากแต่ในมือมันมีตราผนึกมาร!”

 

“อาศัยพลังของมันยามกกระตุ้นใช้งานตราผนึกมาร…เกรงว่าต่อให้เป็นปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะ ก็ยากจะรอดพ้นความตายไปได้ หากมิอาจหลบหนีได้พ้น!”

 

กล่าวถึงจุดนี้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬก็เผยสีหน้าแววตาหวาดกลัวออกมา

 

ได้ยินคำของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด ก็เผยสีหน้าแววตาหวาดกลัวออกมาเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันเห็นพ้องต้องกันกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ!

 

“หากเหล่าตัวประหลาดเฒ่าพวกนั้นของเผ่าปีศาจมนุษย์ไม่ออกหน้าล่ะก็…ข้าเกรงว่าในเผ่าปีศาจมนุษย์คงไม่มีผู้ใดสามารถกำราบต้วนหลิงเทียนนั่นได้!”

 

ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดขมวดคิ้วกล่าว

 

“ฮึ่ม! มิว่าตัวประหลาดเฒ่าของพวกปีศาจมนุษย์จะโผล่หัวมาหรือไม่ก็ช่าง…แต่ขอเพียงต้วนหลิงเทียนนั่นมันกล้าฆ่าคนเผ่าปีศาจมนุษย์ พวกตัวประหลาดเฒ่าเหล่านั้นมิมีวันปล่อยมันไปแน่! ถึงตอนนั้นมันก็มิอาจหลีกหนีความตายได้พ้น!!”

 

ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าสบถกล่าวค่อนแคะ

 

“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา พวกตัวประหลาดเฒ่าของเผ่าปีศาจมนุษย์ ก็มิได้อ่อนด้อยกว่าท่านผู้เฒ่าอาวุโสของเผ่าปีศาจสุกรเรา ไหนเลยยังต้องกลัวตราผนึกมารนั่น!”

 

ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรพยักหน้าเห็นด้วย

 

“เอาล่ะ เช่นนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือเร่งนำภาพเหมือนนี่ไปแพร่ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง และภาวนาให้ถึงหูตาของพวกวังเซียนสัญจรโดยไว! ตราบใดที่คนของวังเซวียนสัญจรได้เห็นรูปเหมือนต้วนหลิงเทียน พวกมันย่อมจดจำได้ทันทีแน่ว่านี่คือใบหน้าของรองจ้าววังคนใหม่ของพวกมัน!!”

 

ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวออกด้วยสายตาทอประกายสดใสเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง “ถึงตอนนั้น…ข้าอยากรู้นักว่าพวกมันจะแตกตื่นหน้าตั้งถึงเพียงใด หากได้รับทราบว่ารองจ้าววังคนใหม่ของพวกมันที่แท้ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!!”

 

“อา! ช่างน่าตื่นเต้นยิ่ง!”

 

ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาไม่ต่าง

 

เรื่องใดก็ตามที่เกิดขึ้นในเผ่าปีศาจสุกร ต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านอยู่ในวังเซียนสัญจรย่อมไม่ได้รับทราบแม้แต่น้อย

 

ตอนนี้เขากำลังมุ่งมั่นบ่มเพาะพลังอย่างหนัก

 

ตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว ด่านพลังของเขาก็ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้อย่างราบรื่น หากทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้เลือกที่จะออกจากการปิดด่านแต่อย่างใด เขายังเลือกบ่มเพาะพลังต่อเพื่อทะลวงไปยังด่านพลังต่อไป…

 

เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!

 

นั่นเพราะเขารู้ตัวเองดี ว่าการทะลวงถึงด่านพลังเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนนี้ ไม่ได้เพิ่มพลังฝีมือสูงสุดของเขาแต่อย่างไร มีเพียงทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเท่านั้น เขาถึงจะสามารถยกระดับพลังฝีมือให้สูงขึ้นไปอีกครั้ง หลังบังเกิดสำนึกรู้ต่อฟ้าดิน

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะนั้น ไม่ว่าจะลูกสาวเขาอย่างต้วนซือหลิง เค่อเอ๋อ หรือกระทั่งก่านหรูเยี่ยนเองก็ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังอย่างไม่เกียจคร้านเช่นกัน

 

ยังผลให้บรรยากาศภายในคฤหาสน์หลังใหญ่จมอยู่ในความสงบเงียบ

 

แน่นอนว่ารอบคฤหาสน์หลังใหญ่ยังปรากฏร่างวูบไปวูบมาดั่งภูตผีไม่ขาด เป็นเหล่ายอดฝีมือที่คอยลาดตระเวนและคุ้มกันต้วนหลิงเทียนกับพวกให้ปิดด่านบ่มเพาะได้อย่างราบรื่น ไร้สิ่งใดรบกวน

 

และเหล่าศิษย์ทั้งหลายที่ลาดตระเวนเหล่านี้ก็ถูกอาวุโสของวังเซียนสัญจรอย่าง เผิงไหล จัดมาเป็นพิเศษ

 

กาลเวลาไหลเวียนผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

พริบตาก็ล่วงเลยไปอีกหนึ่งปี

 

วันหนึ่ง ในขณะที่ศิษย์วังเวียนสัญจรหน่วยหนึ่งกำลังลาดตระเวนกันด้านนอกวังเซียนสัญจรตามปกตินั้น

 

อยู่ๆศิษย์ในหน่วยคนหนึ่งพลันหยุดลง

ศิษย์ในหน่วยลาดตระเวนที่หยุดลง ก็มองไปรอยๆคล้ายตรวจสอบความเรียบร้อยตามปกติ ก่อนที่จะหันไปสนทนากับสหายในหน่วยด้านข้างด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ก็สงบเหมือนทุกที…จริงสิ ว่าแต่พวกเจ้าสองคนรู้จักตำหนักเมฆาครามหรือไม่?”

 

“หืม? ย่อมรู้สิ เจ้าถามทำไมรึ?”

 

ศิษย์ในหน่วยลาดตระเวนอีก 2 คนที่อยู่ข้างๆตอบคำมันทันที หนึ่งในนั้นยังกล่าววถามเสริมว่า “ไหนเลยพวกเราจะไม่รู้ได้เล่า? ก็ที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งของพวกเรา ในอดีตมันก็เคยเป็นพื้นที่ของตำหนักเมฆาครามมาก่อนนี่นา เรียกว่าเผ่าปีศาจมนุษย์เราดั่งนกกางเขนที่มาชิงรังของพวกมัน”

 

“ว่าแต่เจ้านึกอีท่าไหน ไฉนอยู่ๆถึงพูดถึงตำหนักเมฆาครามขึ้นมาได้เล่า?”

 

ศิษย์ลาดตระเวนคนสุดท้ายกล่าวถามด้วยสงสัย

 

“ฮ่าๆ…ไม่มีใดหรอก ข้าเห็นที่ทางแล้วนึกขึ้นมาน่ะ ที่สำคัญเมื่อไม่นานมานี้ข้าก็พึ่งได้รับภาพเหมือนมาน่ะ เห็นว่าเป็นภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม”

 

ศิษย์ลาดตระเวนคนแรกที่เกริ่นเรื่องนี้กล่าวออกด้วยรอยยิ้ม

 

“เอ๋ ภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาครามรึ?”

 

ได้ยินดังนั้นเหล่าศิษย์ลาดตระเวนอีกสองคนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ

 

ต่อมาหนึ่งในนั้นก็กล่าวถามด้วยสงสัยว่า “นายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่น หากข้าจำไม่ผิด…ใช่บังเอิญมีนามเหมือนกับท่านรองจ้าววังคนใหม่ของพวกเราหรือไม่?”

 

“อ่า ใช่เลยเป็นมัน!”

 

ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นพยักหน้า

 

“จะว่าไปนายน้อยตำหนักเมฆาครามคนนี้ก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน…เห็นว่าแต่ก่อนมันเคยมียอดศาสตราเซียนตราผนึกมารในครอบครอง แต่สุดท้ายก็ถูกยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนบุกลงมาชิงไปถึงถิ่น!”

 

“ใช่ๆ เรื่องนี้กล่าวไปมันก็นับเป็น ผีอาภัพ โดยแท้”

 

ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกล่าวเสริม

 

“นั่นสินะ เป็นผีอาภัพจริงๆ”

 

ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหันไปมองสหายในหน่วยทั้ง 2 ค่อยถามออกด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “แล้ว…พวกเจ้าอยากเห็นหน้าค่าตาผีอาภัพนั่นไหมเล่า?”

 

“เอาสิ! แม้มันจะเป็นผีอาภัพอับโชค…แต่ข้าก็อยากเห็นหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเคยโชคดีได้ตราผนึกมารมาครองเสียหน่อย ถึงแม้สุดท้ายจะถูกชิงไป แต่มันก็นับว่ามีวาสนาไม่น้อยที่หายอดศาสตราเซียนที่สาบสูญไปนานพบ!”

 

ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกล่าวออกมาด้วยความสนใจ

 

“เอ๊า! เจ้ามายั่วให้พวกเราอยากเห็นซะขนาดนี้ มีดีก็รีบควักออกมาให้พวกเราชมเสีย!”

 

ศิษย์ลาดตระเวนคนสุดท้ายมองไปยังศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นค่อยกล่าวเร่งสหายในหน่วยออกมา

 

อย่างไรก็ตาม พอมันได้เห็นภาพที่สหายหยิบออกมาอวด มันก็จำต้องตะลึงอึ้งค้างไปทันที

 

นั่นเพราะใบหน้านี้มันจดจำได้เป็นอย่างดี!

 

ขณะเดียวกัน ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนที่เห็นภาพที่สหายที่มายั่วให้อยากดู ก็เพียงทำท่าเฉยๆ กล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้พอเป็นพิธี

 

“เจ้าหน้าละอ่อนนี่น่ะเหรอ นายน้อยตำหนักเมฆาครามที่ว่า”

 

“อ่า มันนี่ล่ะ”

 

“หน้าตามันก็ดีใช้ได้นะ…น่าเสียดายที่โชคมันไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา ฮ่าๆๆ”

 

“ฮ่าๆๆ เท่านี้มันก็โชคดีมากแล้วล่ะ…หากเป็นพวกเราอย่าว่าแต่มีวันได้ตราผนึกมารมาครองเลย กระทั่งโอกาสจะได้เห็นตราผนึกมารยังมิมีด้วยซ้ำ!”

 

“นั่นก็จริงอยู่หรอก…”

 

 

ศิษย์ที่เปิดประเด็นกับศิษย์ลาดตระเวนในหน่วยคนหนึ่งก็กล่าวสนทนากันไปเรื่อยเปื่อยตามประสา หากแต่ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนกลับนิ่งไปไม่พูดจา

 

มันที่ลอยร่างกลางอากาศตอนนี้ สีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นซีดเซียวคล้ายมีสีเขียวสลับขาว อาการแลดูไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่!

 

นั่นเพราะตอนนี้มันตกตะลึงแทบตายแล้ว!!

 

“นี่มัน…จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”

 

“ไม่นับเป็นอะไรหากกจะมีนามเหมือนกัน…แต่กระทั่งใบหน้ายังเหมือนกันด้วยหรือ…”

 

“เป็นไปไม่ได้…มันเป็นไปไม่ได้…เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้!”

 

เรียกว่าตอนนี้ศิษย์ลาดตระเวนคนดังกล่าวได้แต่พึมพำไปอย่างเลื่อนลอย อารมณ์ของมันปั่นป่วนทั้งสับสนนัก

 

“เฮ่ย! หวงเจิ้ง เจ้าเป็นอะไรไป?”

 

“เฮ่ๆ ตื่นๆ! นี่เจ้าเหม่ออะไรของเจ้าอยู่กัน? พวกเราต้องไปลาดตระเวนต่อ เดี๋ยวผู้อาวุโสผ่านมาเห็นได้ซวยกันหมดหรอก”

 

ตอนนี้เองศิษย์ในหน่วยลาดตระเวนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้และเอาภาพเหมือนออกมา ก็พยายามเรียกสติทั้งตบบ่าศิษย์ลาดตระเวนนาม หวงเจิ้ง ที่อยู่ดีๆก็เหม่อไป

 

ได้ยินเสียงศิษย์ลาดตระเวนทั้ง 2 รวมถึงสัมผัสได้ถึงมือหนึ่งที่ตบบ่า ร่าง หวงเจิ้ง ก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมารู้สึกตัว

 

หลังจากที่มันคืนสติแล้ว มันก็หันไปมองถามสหายที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าไปได้ภาพนี้มาจากที่ไหน? แล้วทำไมเจ้าถึงได้กล่าวบอกว่านี่คือภาพเหมือนของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม?”

 

“หวงเจิ้ง นี่เจ้าเป็นอะไรไปกัน ไฉนอยู่กลับทำหน้าจริงจังนักเล่า?”

 

ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นเผยทีท่าตกใจ ก่อนที่จะมองถามสหายด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

“เจ้ารีบบอกข้ามาก่อนเร็ว!”

 

อย่างไรก็ตามหวงเจิ้งเพิกเฉยต่อทีท่าสงสัยประหลาดใจของสหายในหน่วย มันเร่งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน

 

ราวกับ ‘คำตอบ’ ของคำถามนี้ สำคัญกับมันมาก

 

และอันที่จริงก็นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ!

 

“ภาพนี้น่ะเหรอ ข้าได้มาจากข้างนอกน่ะ…ทำไมหรือ จะว่าไปรูปเหมือนนี่สำหรับเผ่าปีศาจอื่นข้าไม่รู้ แต่คนในเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา สมควรมีกันเกลื่อนแล้วนะ”

 

ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นขึ้นมากล่าวออกด้วยสีหน้าสงสัย “ส่วนเรื่องที่ไฉนข้ารู้ว่ามันเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั้น ข้าก็ได้ฟังมาจากพวกในเมืองอีกทีน่ะ”

 

“หวงเจิ้ง…นี่เจ้า คงไม่ใช่ว่าเคยเห็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้หรอกนะ!?”

 

ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนมองถามหวงเจิ้งด้วยสายตาลุกวาว เร่งถามสหายออกมาด้วยความสนใจ

 

“หือ? หวงเจิ้ง…เจ้าเคยเห็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามคนนี้มาก่อนงั้นรึ?”

 

ศิษย์ลาดตระเวนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้กล่าวถามด้วยความสนใจ ยามมองหวงเจิ้งสองตายังลุกวาวขึ้นมา “หากเจ้ารู้ที่อยู่นายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้ แล้วนำไปรายงานคนของวังวิญญาณอสุราล่ะก็ เจ้าต้องได้รางวัลใหญ่แน่!”

 

“ใช่ๆ เห็นว่าเพราะศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังวิญญาณอสุราตกตายลงด้วยน้ำมือของจ้าวตำหนักเมฆาครามกับยอดฝีมืออีกคนของตำหนักเมฆาคราม ทำให้มันแค้นจ้าวตำหนักเมฆาครามนัก! มันต้องสนใจนายน้อยตำหนักเมฆาครามมากแน่นอน!!”

 

ศิษย์ลาดตระเวนอีกคนก็กล่าออกกมาด้วยความตื่นเต้น

 

“คนในภาพเหมือนนี้…ข้าเคยเห็นมาก่อนจริงๆ”

 

หวงเจิ้งกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก

 

และคำตอบนี้ของมันก็ทำให้สองตาศิษย์ลาดตระเวนที่รอฟังอยู่ถึงกับลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที มองไปยังประหนึ่งดวงดาวกลางฟ้าในยามค่ำคืน!