ตอนที่ 1038 กล้าเยาะสวรรค์ดุจสระน้ำ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ในใจหลินสวินก็อดเกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นมาไม่ได้

คนบางคน เพียงแค่มองไปก็รู้ว่าไม่ใช่พวกที่จะอยู่ในบ่อน้ำเล็กๆ ตลอดไป จะต้องซัดสะเทือนเมฆลม อยู่เหนือหมู่เมฆอย่างแน่นอน

ก็เหมือนกับเงาร่างกำยำที่ยืนถือดาบหลังจากบั่นหัวงูเหลือมยักษ์คนนั้น เป็นบุคคลประเภทนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!

“เซี่ยวชางเทียน!”

เซียวชิงเหอโพล่งอย่างตกใจ “เขาก็มาด้วย!”

ทันใดนั้นหลินสวินก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้คือใคร

ในบรรดาคนรุ่นเยาว์แดนดาราอุดร มีมารกระบี่เยี่ยเฉินที่ ‘เพียงหมุนกายต่อสู้ในแดนดาราอุดร คมกระบี่เดียวหนาวสะท้านไปทั้งเก้าพันแคว้น’

และก็มีดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนที่ ‘กล้าเยาะสวรรค์ดุจสระน้ำ ดาบข้ากวาดผ่านชิงชังฟ้าดิน’!

ทั้งสองได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ ดุจดั่งดาวคนคู่ เลื่องชื่อลือชาในแดนดาราอุดร เจิดจ้าดั่งอาทิตย์ดวงใหญ่

เห็นได้ชัดว่าเงาร่างกำยำที่อยู่ไกลออกไปสายนั้น จะต้องเป็นดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย

พรึ่บ!

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เซี่ยวชางเทียนที่อยู่ไกลๆ ก็หันมองมา

เครื่องหน้าทั้งห้าดั่งคมดาบ หว่างคิ้วกว้าง อาจหาญกดดันผู้คน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น แคบยาวราวกับดาบ สุกสว่างเจิดจรัส

จังหวะที่เขาหันมองมา นัยน์ตาราวกับมีประกายสายฟ้าคมกริบสายหนึ่งพุ่งยิงออกมา

ร่างกายเซียวชิงเหอรัดเกร็งอย่างยากจับสังเกต พลังขับเคลื่อนทั่วร่างพลุ่งพล่าน เสื้อผ้าโบกสะบัดโดยปราศจากลมเสียงดังพรึ่บๆ

นี่คือการปะทะอันไร้รูปของอานุภาพอย่างหนึ่ง

ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น สายตาของเซี่ยวชางเทียนก็เคลื่อนไปทางหลินสวิน

‘ไม่เสียแรงที่เป็นดาบคลั่ง!’

สีหน้าหลินสวินราบเรียบ เหมือนไม่รู้สึกรู้สา แต่ในใจกลับลอบร้องตกใจอย่างอดไม่ได้

เพราะนิสัยที่ต่างกัน เส้นทางแห่งมหามรรคที่ก้าวเดินจึงต่างกัน บุคลิกและอานุภาพที่ผู้กล้าแต่ละคนสำแดงออกมาก็แตกต่างกันด้วย

บางคนกลิ่นอายเก็บงำ บางคนกลิ่นอายแรงกล้า บางคนกลิ่นอายนุ่มนวล

กลิ่นอายของเซี่ยวชางเทียนก็เหมือนกับอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องสว่างกลางเวิ้งนภาเพียงหนึ่งเดียว ประกายคมผุดพราย แสงคมหมื่นจั้ง ท่วงท่าเด่นสง่าพร่าตาไร้ใดเปรียบ

เผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ คนรุ่นเดียวกันส่วนหนึ่งที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอก็จะถูกซัดสะเทือนในทันที แทบไม่มีทางเกิดความคิดต้านทานแม้แต่น้อย

แน่นอน หลินสวินเองก็ประหลาดใจน้อยๆ เช่นกัน

ประหลาดใจที่กลิ่นอายของเซี่ยวชางเทียนคนนี้ เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ที่เขาเคยเจอ

ส่วนเรื่องสะทกสะท้านและเกรงกลัวนั้น ยังไม่อาจพูดถึง

เวลานี้ในใจเซี่ยวชางเทียนที่อยู่ไกลออกไปก็เริ่มพิศวงน้อยๆ เช่นกัน สัญชาตญาณบอกเขาว่าหลินสวินเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเอามากๆ คนหนึ่ง

หากบอกว่ากลิ่นอายของเขาดั่งอาทิตย์แผดเผา ส่องสะท้อนเวิ้งนภา เช่นนั้นภาพจำที่หลินสวินมอบให้เขาก็เป็นห้วงเหวลึกอันกว้างใหญ่

กว้างจนไร้ปลายทาง ลึกไม่อาจหยั่งถึง!

‘น่าสนใจ การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ น่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังมากเกินไปแล้ว’

เซี่ยวชางเทียนเก็บสายตา หัวเราะอย่างไร้เสียง เผยให้เห็นเรียวฟันเรียงสวยขาวกระจ่าง จากนั้นก็หมุนตัวจากไป

ถึงแม้หลินสวินจะไม่ธรรมดา ทำให้เขารู้สึกเหนือคาดน้อยๆ แต่กลิ่นอายก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเท่านั้น

มีหลายปัจจัยที่ทดสอบว่าผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเก่งกาจหรือไม่ ไม่ใช่แค่กลิ่นอายกร้าวแกร่ง พลังต่อสู้ก็ยิ่งต้องแข็งแกร่ง

เซี่ยวชางเทียนเงาร่างกำยำ ผมสีแดงดั่งเปลวเพลิง ชุดคลุมสีขาวทั้งตัว ย่างเท้าก้าวไปในสายลมหิมะอย่างเชื่องช้า เพียงแค่เงาหลังก็เห็นชัดว่าเจิดจ้าถึงเพียงนั้น

เซียวชิงเหอทอดถอนใจ “ข้าสู้เขาไม่ได้”

จะให้ผู้กล้าคนหนึ่งที่เหยียบย่างมกุฎมรรคายอมรับว่าตนสู้ไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องใช้ความกล้ายิ่งยวด

หลินสวินตบไหล่เขา “แค่ห่างกันนิดหน่อยเท่านั้น เบื้องหน้าก็เป็นแค่การแข่งขันชั่วครั้งคราว หนทางแห่งมหามรรคเป็นถึงการแข่งขันชั่วชีวิต”

เซียวชิงเหอไหวไหล่ หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “วางใจน่า ตั้งแต่ตอนอยู่นครหยกขาวข้าถูกเจ้าโจมตีสะเทือนไปหนึ่งยก ได้เคี่ยวกรำจนกระดูกหนาหนังเหนียวตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะถูกซัดโจมตีอีกครั้งได้”

ทั้งคู่มุ่งหน้าต่อไป ตลอดทางเลาะตามเส้นทางที่เซี่ยวชางเทียนสัญจร กลายเป็นว่าลมสงบคลื่นเงียบงัน ได้อานิสงส์ไปไม่น้อยทีเดียว

เนื่องจากสัตว์ปีศาจระหว่างทางนี้ถูกเซี่ยวชางเทียนใช้หนึ่งคนหนึ่งดาบสังหารหมดเกลี้ยงตั้งแต่แรก ตอนที่หลินสวินและเซียวชิงเหอมาถึง บนพื้นก็เหลือแต่ซากศพเละเทะกองหนึ่ง

ทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นกว้างใหญ่เหนือกว่าที่หลินสวินจินตนาการเอาไว้มาก ตลอดทางลมหิมะคละคลุ้ง รอบด้านเวิ้งว้าง สภาพแวดล้อมย่ำแย่อย่างที่สุด

ผู้ฝึกปราณทั่วไปล้วนทนต่อสภาพแวดล้อมหนาวเหน็บกรีดกระดูกเช่นนี้ไม่ได้สักนิด

แม้จะเป็นหลินสวินและเซียวชิงเหอ เมื่อเข้าไปลึกขึ้น ก็ไม่อาจไม่ขับเคลื่อนปราณมาต้านทานกระแสลมหนาวที่ดังหวีดหวิวปานดาบในห้วงอากาศ

ฮูม!

ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็หอบม้วนจากด้านหลังไกลๆ ก่อให้เกิดพายุหิมะน้ำค้างแข็งคลุ้งฟ้า

นั่นเป็นหงส์ปีกสีทองอร่ามตัวหนึ่ง สองปีกสยายความยาวเต็มร้อยจั้งโฉบบินกลางห้วงอากาศ อานุภาพชวนสะพรึง

บนหลังหงส์สีทองมีชายหญิงวัยหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ ชายรูปงามหญิงชวนพิศ บุคลิกแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา มองปราดเดียวก็รู้ว่าพื้นเพเหนือคนทั่วไป

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็สังเกตเห็นหลินสวินและเซียวชิงเหอ เพียงแต่ไม่ได้สนใจ โดยสารหงส์หิรัณย์จากไปอย่างรวดเร็ว

“ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เอกภาคีก็มากันแล้ว”

ดวงตาเซียวชิงเหอหรี่ลงน้อยๆ “ก็ไม่รู้ว่าหลิ่วฉางเฟิงมาหรือยัง เจ้าหมอนั่นเป็นพวกวิปริตคนหนึ่ง ช่วงห้าปีก่อนเหลืออีกก้าวเดียวก็จะไต่เต้าขึ้นรายชื่อกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แล้ว”

จากคำอธิบายของเซียวชิงเหอ หลินสวินเพิ่งรู้ว่าหลิ่วฉางเฟิงคนนี้ก็เป็นบุคคลแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ของสำนักยุทธ์เอกภาคี พลังต่อสู้กร้าวแกร่งอย่างที่สุด

ขบวนสำนักยุทธ์เอกภาคีคล้อยหลังไป ระหว่างทางต่อมาก็มีเงาร่างผู้ฝึกปราณปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ล้วนเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณทั้งสิ้น รวมตัวออกเดินทางเป็นกลุ่มก้อน ไม่เพียงมาจากแดนชัยบูรพา ยังมีผู้สืบทอดสำนักโบราณจากสามแดนวิภูที่เหลืออย่างฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณอีกด้วย

ผู้สืบทอดของขุมอำนาจสำนักบางส่วนแม้แต่เซียวชิงเหอก็ยังไม่รู้จัก แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความอีกฝ่ายจะไม่แข็งแกร่งพอ

ถึงอย่างไรสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ เพราะมีแม่น้ำพรมแดนขวางกั้น ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สถานการณ์กันและกันก็เป็นเรื่องปกติ

แต่นี่ก็ยังพาให้ในใจเซียวชิงเหอบังเกิดความสงสัยอย่างหนัก กล่าวว่า “การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่ผ่านมา ผู้ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นบุคคลชั้นนำในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนชัยบูรพา แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดายิ่ง”

สาเหตุไม่จำเป็นต้องอธิบายหลินสวินก็รู้อยู่เต็มอก

ไม่ใช่อะไรอื่น เพราะมหายุคใกล้มาเยือนแล้วนั่นเอง!

ไม่ว่าจะทำเพื่อไต่เต้าขึ้นกระดานทองคำผู้กล้า หรือทำเพื่อช่วงชิงศุภโชคใหญ่ในมหายุค ผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่กระจายตัวอยู่ในสามแดนวิภูอย่างฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณ จะไม่ยอมอ้างว้าง ต้องเข้าร่วมศึกประชันอำนาจหมื่นผู้กล้าครั้งนี้อย่างแน่นอน

ก็เหมือนกับการแข่งขัน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ครั้งนี้ จะต้องแตกต่างจากอดีตที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงแน่!

“ครั้งนี้การแข่งขันจะต้องดุเดือดเลือดสาดยิ่งกว่าที่ผ่านมาเป็นแน่แท้ เดิมทีข้ายังมั่นใจว่าจะเบียดขึ้นสามสิบหกอันดับแรกได้อยู่เลย แต่ตอนนี้…”

เซียวชิงเหอทอดถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “จู่ๆ ข้าก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจบ้างแล้ว”

“การแข่งขันแบบนี้ต้องผ่านการต่อสู้จึงจะรู้ผล”

หลินสวินเอ่ยสบายๆ “มนุษย์ไม่ควรหยิ่งผยอง และไม่ควรมองตนต้อยต่ำเกินไป”

เซียวชิงเหอส่ายหน้า ตัวเขาย่อมรู้ตัวเองดีที่สุด

เป็นความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา มีชื่อติดอันดับสิบหกสุริยันผู้กล้า ในหมู่คนรุ่นเดียวกันก็นับว่าเป็นบุคคลชั้นยอดที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง

แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าในบรรดาสำนักโบราณมากมายของแดนชัยบูรพา บุคคลที่เหมือนกับเขาก็ต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน

หนำซ้ำผู้ที่เข้าร่วมศึกกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ นอกจากผู้บำเพ็ญมรรคแดนชัยบูรพาแล้ว ยังมีผู้แข็งแกร่งจากสามแดนวิภูอื่นๆ อีกด้วย

แต่ว่าเซียวชิงเหอก็ใช่ว่าจะไม่มั่นใจเอาเสียเลย

เนื่องจากการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ ไม่ใช่การชิงชัยแห่ง ‘ยักษ์ใหญ่’ ที่อยู่ใน ‘การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู’

จากข้อจำกัดกฎกติกาของภูเขาเทพไร้มรณะ ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดที่มีอายุเกินสามสิบปี ต่อให้พรสวรรค์โดดเด่นเหนือปวงชนเพียงใดก็ไม่อาจเข้าร่วมได้!

ลำพังแค่ข้อจำกัดนี้ก็เพียงพอจะหยุดยั้งฝีเท้าของบุคคลเก่งกาจมากมายได้แล้ว

พร้อมกันนั้นผู้แข็งแกร่งที่เคยไต่ขึ้นรายนาม ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ก็ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งที่สองได้

อย่างพวกอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิว หมีเหิงเจิน หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ ย่อมไม่อาจมาเข้าร่วมได้อยู่แล้ว

เมื่อคัดกรองเช่นนี้แล้ว แรงกดดันในการแข่งขันก็ลดลงมากทีเดียว

หาไม่หากให้บุคคลผู้กล้าหน้าเก่ามากประสบการณ์อย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิวเข้ามาร่วมด้วย คนอื่นๆ ก็แทบจะหมดสิทธิ์คว้าชัยแล้ว

‘หวังว่าในการชิงชัยครั้งนี้ ขออย่าให้พวกวิปริตประเภทเดียวกับเจ้าหมอนี่โผล่มามากเกินไปแล้วกัน หาไม่คงไม่มีความหวังอะไรแล้วจริงๆ…’

เซียวชิงเหอปรายตามองหลินสวินปราดหนึ่ง เขามั่นใจยิ่งว่าอาศัยพลังต่อสู้ในยามนี้ของหลินสวิน สามารถไต่ขึ้นกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้อย่างมั่นคงแน่นอน

ส่วนจะได้อยู่ในอันดับไหนนั้นก็คงพูดไม่ถนัดปาก

ถึงอย่างไรในสถานการณ์ที่มหายุคจวนจะมาเยือน เจ้าพวกปีศาจที่จะมาเข้าร่วมประลองกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์คงไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีพวกอำมหิตที่วิปริตยิ่งกว่าหลินสวิน

ผ่านไปสามชั่วยาม

ในที่สุดหลินสวินและเซียวชิงเหอก็ข้ามผ่านทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมาถึงหน้ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง

ที่ไกลๆ สามารถมองเห็นว่าบนผิวทะเลมีเกาะจำนวนมากตั้งเรียงรายแน่นขนัด กระจัดกระจายเหมือนดาวบนฟากฟ้า มากเสียยิ่งกว่ามาก

ส่วนบริเวณที่ไกลออกไปอีกนั้นถูกเมฆหมอกหนาทึบปกคลุม มองไม่เห็นอะไรเลย

“นี่ก็คือทะเลหมากดารา เขตหวงห้ามไร้มรณะตั้งอยู่อีกฝั่งของทะเลนี้”

เซียวชิงเหอชี้ไปทางมหาสมุทรไกลๆ กล่าวว่า “ทะเลนี้ไม่ธรรมดา เหมือนกับหมากกระดานหนึ่ง หมู่เกาะที่กระจายอยู่บนนั้นก็เปรียบดั่งตัวหมาก สลับซับซ้อน”

“อยากข้ามทะเลผืนนี้จำเป็นต้องมี ‘แผนภาพลับนำทาง’ หาไม่ ต่อให้เจ้ามีอานุภาพเทียมฟ้าก็ต้องหลงทางอยู่ในนั้นแน่นอน แทบไม่มีหวังว่าจะหลุดพ้นเลย!”

“เมื่อนานมาแล้วเคยมีอริยะผู้หนึ่งอยากมุ่งหน้าไปเขตหวงห้ามไร้มรณะเพื่อแสวงหาโชควาสนา แต่เพราะไม่มีแผนภาพลับนำทางจึงถูกกักขังอยู่ในนั้น จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยย้อนกลับมา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ไม่มีใครกล้าผลีผลามก้าวเข้าทะเลผืนนี้แม้แต่ก้าวเดียว”

หลินสวินพยักหน้า เขาลองสำรวจแล้ว ทันทีที่พลังจิตรับรู้แผ่กว้างไปถึงท้องทะเลที่อยู่ไกลๆ ก็พลันหายลับไปเหมือนวัวดินจมสมุทร ไม่มีประโยชน์ใดๆ แม้เพียงครึ่งเสี้ยว

เห็นได้ชัดว่าทะเลหมากดาราอันเวิ้งว้างนี้ มีพลังต้องห้ามบางอย่างที่เชื่อมโยงกับการขับเคลื่อนกฎระเบียบแห่งฟ้าดิน แม้กระทั่งจิตรับรู้ก็ยังสูญเสียความวิเศษไป

เมื่อพวกหลินสวินมาถึงชายฝั่งทะเล ก็บังเอิญเห็นผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งพุ่งปราดไปทางผืนทะเลหมากดาราเข้าพอดี

ทันทีที่เงาร่างของพวกเขาโผล่อยู่เหนือผิวทะเลก็ถึงกับอันตรธานหายไป ราวกับระเหยไปจากโลกโดยสิ้นเชิงอย่างไรอย่างนั้น

ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน ทะเลหมากดารานี้เหนือธรรมดาจริงๆ ด้วย ครอบคลุมด้วยพลังอัศจรรย์อันคาดไม่ถึง

“พวกเราก็ไปกันเถอะ รอไปถึงเขตหวงห้ามไร้มรณะแล้ว ก็จะได้รู้กันว่าบุคคลร้ายกาจที่เข้าร่วมประลองกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้มีใครบ้างกันแน่”

เซียวชิงเหอสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ตั้งท่าจะออกเดินทาง

แต่จังหวะนั้นเอง เงาร่างชายชราทรงพลังสายหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาจากด้านหลังโขดหินก้อนใหญ่ที่อยู่ไกลๆ อย่างกะทันหัน

“ไอ้เด็กเหลือขอ ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ตั้งนาน!”

ยามที่เสียงดังขึ้น เงาร่างชายชราก็พริบไหวพุ่งสังหารเข้ามา อานุภาพแห่งราชันอันน่าสะพรึงไร้ใดเปรียบก็แผ่ครอบฟ้าคลุมดินลงมาดุจดั่งกระแสน้ำเชี่ยว

ชายชราคนนี้ก็คือซูคง ราชันอมตะเคราะห์ขั้นสองนั่นเอง!

…………………