ตอนที่ 965 เผ่าอินทรีทะลวง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

วิ้ง!

เงากระดิ่งสั่นไหวส่งคลื่นเสียงสีดำก่อตัวเป็นกระสุนแสงสีดำลูกหนึ่งพุ่งจมเข้าไปในหัวของอสรพิษเพลิง

อสรพิษเพลิงร้องครวญครางราวกับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายใหญ่โตส่งเสียงดังบึ๊มแล้วสลายกลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งกระจายไปทั่วท้องฟ้ารอบด้าน

เสิ่นว่านชิงพ่นเลือดสายหนึ่งออกมาจากปาก ลมปราณบนร่างร่วงหล่นพันจั้งในพริบตา

แสงสีแดงสว่างวูบหนึ่ง อสรพิษเพลิงกลืนวิญญาณก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ทว่าร่างกายกลับหดเล็กลงมีขนาดเท่าตอนเริ่มแรกและท่าทางเซื่องซึม

ธงอัคคีสีแดงฉานข้างตัวอสรพิษเพลิงก็หม่นแสงไร้ประกาย ดูแล้วพลังจิตวิญญาณคงเสียหายไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน ชั่วครู่ไม่อาจใช้ได้อีก

เสียงอสนีบาตดังขึ้นครั้งหนึ่ง!

มือใหญ่สีดำข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาดั่งสายฟ้าแลบ คว้าธงอัคคีสีแดงฉานไว้

อสรพิษเพลิงกลืนวิญญาณลนลานกลายเป็นแสงสีแดงสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าหนีไป มันพุ่งหายวับไม่กี่ครั้งก็กลับมาอยู่ข้างกายเสิ่นว่านชิง

“ฮ่าๆ ธงอัคคีผืนนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณประจำกายของเจ้าสินะ เจ้าผสานธงอัคคีเข้ากับอสรพิษเพลิงตัวนั้นถึงทำให้มันเปลี่ยนจากอสรพิษเป็นมังกร พลังเพิ่มขึ้น ทว่าน่าเสียดายยิ่งนัก พลังของเจ้าไม่พอ ประสานสองอย่างออกจะเต็มกลืนเกินไป!” ปีศาจหมีรอยแผลดาบหัวเราะลั่นอย่างได้ใจ แสงสีดำพวยพุ่งออกมาจากบนมือกลายเป็นมือใหญ่สีดำข้างหนึ่งกำธงอัคคีสีแดงฉานไว้แน่น พร้อมกันนั้นก็จี้ดัชนีหนึ่งออกมา

เปรี้ยง!

ค้อนยักษ์สีดำกลายเป็นเงาค้อนมหึมาอันหนึ่งกลางท้องฟ้าอีกครั้งก่อนจะร่วงลงมาที่ศีรษะของเสิ่นว่านชิงอีกหน

เสิ่นว่านชิงหน้าถอดสี ร่างกายสั่นสะท้านครั้งหนึ่งก็อ้าปากถ่มดอกบัวเพลิงขนาดเท่าชามข้าวดอกหนึ่งออกมาในทันใด

ดอกบัวเพลิงหมุนติ้วรอบหนึ่งแล้วขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นดอกบัวแดงยักษ์ขนาดหลายจั้งดอกหนึ่ง แสงสีแดงส่องสว่างต้านค้อนยักษ์สีดำเอาไว้ทันที

ในเวลาเดียวกันนี้ธงอัคคีสีแดงฉานพลันมีเปลวเพลิงลุกโชนเกิดเป็นเงาดอกบัวดอกหนึ่งด้วย

ปีศาจหมีรอยแผลดาบเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ปราณปีศาจสีดำบนร่างทะลักออกมา แต่ขณะที่กำลังจะลงมือทำบางสิ่งนั่นเอง ดวงตาของเสินว่านชิงพลันทอประกายเหี้ยมเกรียมชิงตะโกนลั่นออกมาก่อน “ระเบิด”

เงาดอกบัวที่ลอยออกมาจากธงอัคคีระเบิดดังเปรี้ยง ระเบิดมือใหญ่ที่ก่อตัวจากปราณสีดำรอบด้านเป็นชิ้นๆ

ไม่ทันให้ปีศาจหมีรอยแผลดาบตั้งตัว ธงอัคคีก็เลือนหายกลายเป็นเงาสีแดงสายหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือเสิ่นว่านชิงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ดอกบัวแดงยักษ์กลางท้องฟ้าระเบิดตามทันที มันระเบิดค้อนยักษ์สีดำกับกระดิ่งจนหมุนคว้างปลิวถอยกลับไปพร้อมกัน

“ไม่ต้องประลองแล้ว การประลองรอบนี้ข้ายอมแพ้!”

เสิ่นว่านชิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกายวูบหนึ่ง ก่อนที่เปลวเพลิงจะม้วนรอบร่างกลายเป็นดวงไฟลูกหนึ่งพุ่งเร็วรี่ไปหาผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์พร้อมกับที่เอ่ยเสียงดัง

ปีศาจหมีรอยแผลดาบถูกการระเบิดก่อนหน้านี้ทำเอาหน้าตาดำมอมแมมเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำนี้ดวงตาพลันฉายแววดุร้าย กลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งเร็วไวไล่ตามทันที

ในตอนนี้เองแสงสีขาวพร่ามัวสายหนึ่งกลับพุ่งออกมาขวางหน้าปีศาจหมีรอยแผลดาบไว้แล้วหมุนไม่หยุด

ปัง! เมื่อปีศาจหมีรอยแผลดาบชนบนแสงสีขาวก็ถูกดีดปลิวออกไปทันที เขาถอยดังตึงสองก้าวติดกว่าจะตั้งร่างมั่นคงได้อย่างหวุดหวิด

เสิ่นว่านชิงฉวยโอกาสพุ่งกลับไปในหมู่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์พลางหอบหายใจแฮ่ก

“สหายทุกท่าน ครานี้พวกเราเพียงประลองวัดฝีมือ หลังจากนี้ยังต้องร่วมแรงร่วมใจทำลายชั้นจำกัดของซากโบราณ ไม่มีความจำเป็นต้องเอาชีวิตกันอีก สหายเสิ่นยอมแพ้แล้ว การประลองรอบนี้พวกเจ้าชนะ” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเอ่ยอย่างนิ่งสงบแล้วรั้งแขนกลับ แสงสีขาวที่ขวางผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจผู้มีรอยแผลดาบไว้พุ่งวูบเดียวถูกเขาเก็บกลับมาในแขนเสื้อ

“สยงอู่ เจ้าชนะแล้วก็อย่าก่อเรื่องวุ่นวาย กลับมาซะ” บุรุษร่างกำยำผิวดำผู้เป็นหัวหน้าของเผ่าหมีเถื่อนที่อยู่ในกลุ่มของเผ่าปีศาจเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยปากบ้าง

บุรุษรอยแผลดาบมองผู้ฝึกฝนชุดแดงอย่างเคียดแค้นพลางกวักมือเรียกลุกตุ้มกับกระดิ่งสีดำกลับมา จากนั้นเหาะกลับไปยังกลุ่มของตัวเอง

ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเห็นเช่นนี้ก็ถอยกลับไปเช่นกัน

เวลานี้เสิ่นว่านชิงกำลังนั่งขัดสมาธิพลิกมือเรียกโอสถสีแดงเม็ดหนึ่งออกมากิน สีหน้าถึงดีขึ้นมาเล็กน้อย ข้างตัวเขาหญิงสาวชุดแดงอีกคนหนึ่งกำลังนั่งหลังตรงเอ่ยบางสิ่งกับเขาเสียงเบา ดูจากอาภรณ์ของนางเห็นชัดว่าเป็นศิษย์ตระกูลเสิ่นเช่นกัน

เผ่าปีศาจด้านนั้นหลังจากบุรุษจมูกอินทรีหารือกับบุรุษกำยำผิวดำหลายประโยค รอบกายเขาพลันเปล่งแสงสีดำ พาเงาติดตามสายหนึ่งมาปรากฏตัวบนสถานที่ประลองเมื่อครู่ ความเร็วน่าตะลึงอย่างที่สุด

“รอบต่อไป ข้าจะออกศึกเอง พวกเจ้าเผ่ามนุษย์คนไหนจะออกมา?” บุรุษจมูกอินทรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าค่อนข้างผ่อนคลาย สายตากวาดไปทางผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหลาย

เผ่าปีศาจชนะรอบแรกไปแล้วนับว่าสร้างผลงานได้ตั้งแต่เริ่ม รอบที่สองยังส่งผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้ตนหนึ่งมาอีก เห็นชัดว่าหมายจะชนะสองรอบติดทำลายขวัญกำลังใจของเผ่ามนุษย์ฝั่งนี้เพิ่มขึ้นอีกก้าว

เผ่ามนุษย์ปรึกษากันเสียงเบาพักหนึ่ง สายตาของคนส่วนใหญ่ลังเลอยู่ระหว่างหลิ่วหมิงกับผู้ฝึกฝนแซ่ซุน จากที่หารือกันมาก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้สองตนของเผ่าปีศาจจะให้พวกเขาสองคนรับมือ

“ปีศาจตนนี้ให้ข้าจัดการเองเถิด!” หลิ่วหมิงหันหน้าไปมองผู้ฝึกฝนแซ่ซุนแล้วเอ่ยปากบอกอย่างนิ่งสงบ

คำพูดนี้เอ่ยออกมา คนทั้งหมดพลันมีสีหน้าแตกต่างกันไป

“ดี สหายหลิ่วลงมือก่อนก็ได้ แต่ต้องระวังให้มาก” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนอึ้งไปชั่วครู่ก็พยักหน้าแล้วกำชับหนึ่งประโยค

หลิ่วหมิงยิ้มนิดๆ พลางลอบส่งพลังเวทสายน้อยเข้าไปในป้ายหยกข้างเอว ปราณดำบนร่างลุกโหมแล้วจึงเหาะออกไปร่อนลงฝั่งตรงข้ามของบุรุษจมูกอินทรีในพริบตา ก่อนจะมองผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจตนนี้ด้วยท่าทางสบายๆ

“ดีมาก! ในหมู่เผ่ามนุษย์ด้านนั้นของพวกเจ้า นอกจากผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ผู้นั้นก็นับว่าลมปราณของเจ้าแข็งแกร่งที่สุดจริงๆ เจ้าออกมาสู้ก็สมใจข้าพอดี ดูซิว่าจะเจ้ามีชีวิตรอดได้กี่กระบวนท่า!” บุรุษจมูกอินทรีมองประเมินหลิ่วหมิงหลายรอบแล้วหัวเราะอย่างน่าขนลุก

“ข้ารู้ว่าร่างต้นของท่านเป็นปีศาจอสูรจำพวกวิหค พลังก็สูงกว่าข้า แต่การประลองวิชาย่อมเกิดเรื่องพลิกผันได้ทุกเมื่อ ท่านอย่าคุยโวเกินไปตั้งแต่แรกจะดีกว่า” หลิ่วหมิงสีหน้าไม่เปลี่ยนขณะที่เอ่ยอย่างเรียบเฉย

“เหอะ! อยากรู้ว่าข้าคุยโวหรือไม่ก็เอาชีวิตเจ้ามาลอง!” บุรุษจมูกอินทรีเอ่ยด้วยเสียงแหบสาก พร้อมกันนั้นปราณปีศาจสีน้ำเงินบนร่างก็ลุกโชน ปราณสีน้ำเงินเส้นแล้วเส้นเล่าเริ่มเคลื่อนรอบร่าง

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้จากแผ่นดินหมานฮวงตนหนึ่ง หลิ่วหมิงย่อมไม่ดูแคลนเขาแม้แต่น้อย เขาสะบัดแขนเสื้อ แสงสีม่วงเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาแล้วหายวับไป กระบี่ขู่หลุนนั่นเอง ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งก็จี้ดัชนีบนอากาศอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ปากท่องมนตร์

กระบี่ขู่หลุนเปล่งแสงสีม่วงสว่างจ้าทันใด มันเลือนหายไปวูบหนึ่งแล้วแยกจากหนึ่งกลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงหน้าตาเหมือนกันทุกประการเก้าสาย เมื่อขยับอีกวูบหนึ่ง เงากระบี่หลายร้อยสายพลันส่งเสียงหวีดหวิวดังฟึบๆ ล้อมเข้าหาบุรุษจมูกอินทรีอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ชั่วขณะหนึ่งปราณกระบี่พุ่งสลับตัดกันมากมายถี่ยิบบนลานกว้าง กระทั่งผู้คนที่ยืนอยู่ไกลออกไปก็ยังเกิดความรู้สึกลวงคล้ายกับว่าพวกเขาถูกม้วนเข้าไปในเงากระบี่เต็มฟ้านี้ด้วย

กระบี่ขู่หลุนเป็นกระบี่บินธาตุสายฟ้า หากพูดถึงความเร็วเพียงอย่างเดียว มันก็ไม่ช้ากว่ากระบี่ว่างเปล่าสักเท่าไร เมื่อใช้วิชาแบ่งร่างแสงกระบี่ พลังจึงไม่อาจดูแคลนได้

“ที่แท้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่คนหนึ่ง พลังไม่อ่อนแอเลย น่าเสียดายความเร็วยังช้าเกินไป” บุรุษจมูกอินทรีเผชิญหน้ากับเงากระบี่ที่ส่งเสียงดังหวีดหวิวพุ่งเข้ามาก็วิจารณ์ประโยคหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นแสงสีน้ำเงินบนร่างพลันส่องสว่าง ก่อนที่เขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยดุจภูตพราย

ครู่ต่อมาสายลมแรงหอบหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นด้านหลังหลิ่วหมิง บุรุษจมูกอินทรีปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า บนแผ่นหลังมีปีกสีดำสนิทดั่งหมึกยาวหนึ่งจั้งกว่าคู่หนึ่งงอกออกมา ทั้งร่างดั่งผสานเป็นหนึ่งกับสายลม

“ตายเสีย!”

บุรุษจมูกอินทรียกมือข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บคมสีดำในพริบตาแล้วตวัดลงมาแรงดังฟึบ

ทั้งร่างของหลิ่วหมิงถูกเงากรงเล็บยักษ์กรีดจนเป็นชิ้นๆ

ทว่าหลังจากนั้นสีหน้าของบุรุษจมูกอินทรีก็เปลี่ยนไปทันใด ร่างกายที่ขาดเป็นท่อนของหลิ่วหมิงสลายไปอย่างเชื่องช้า มันเป็นเพียงแค่ร่างเงาร่างหนึ่งเท่านั้น!

ห่างออกไปร้อยจั้ง เงาร่างของหลิ่วหมิงพุ่งออกมา ปีกเนื้อสีเงินคู่หนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้บนแผ่นหลังกระพือแผ่วเบาไม่หยุด ทว่าสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง

แม้เขาอาศัยเคล็ดวิชาเงาสามส่วนกับปีกที่สร้างจากเคล็ดวิชาเกราะอสูรเพิ่มความเร็วจนหลบพ้นการโจมตีครั้งหนึ่งของอีกฝ่ายมาได้ แต่ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าครั้งนี้บุรุษจมูกอินทรีเพียงแค่หยั่งเชิง ไม่ได้ทุ่มเต็มกำลัง หากพูดถึงความเร็วแล้วอีกฝ่ายเหนือกว่าเขาอย่างแน่นอน

เวลานี้ในใจเขาครุ่นคิดเร็วไว สมองเต็มไปด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับเผ่าอินทรีทะลวง

เล่ากันว่าเผ่านี้เป็นสายเลือดหนึ่งที่สืบทอดมาจากอินทรีเทพสวรรค์สมัยบรรพกาล ชำนาญการควบคุมปราณธาตุลมในธรรมชาติ ความเร็วไม่เพียงน่าตกตะลึงแต่ยังครอบครองพลังในการทะลวงมิติจึงได้ชื่อนี้มา

ทว่าอยากทะลวงมิติได้ด้วยมือเปล่า โดยทั่วไปจะต้องบรรลุระดับดาราพยากรณ์ก่อนแล้วอาศัยพลังดาราพยากรณ์ของอินทรีเทพสวรรค์ถึงจะทำได้

“จิ๊ๆ ความเร็วของเจ้าก็ไม่ช้า ถึงขั้นสร้างปีกออกมาได้ ไม่เลว เช่นนี้ถึงจะน่าสนใจ” บุรุษจมูกอินทรีหมุนตัวมาอย่างเชื่องช้า เขามองสำรวจปีกด้านหลังของหลิ่วหมิงครั้งสองครั้งแล้วเอ่ยออกมาทีละคำ

“เหอะ!” หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน ในมือทอแสงสีฟ้าจากนั้นธงคำสั่งสีฟ้าใสผืนหนึ่งก็ปรากฏออกมา มันคือสมบัติชิ้นนั้นที่ได้มาจากในท้องของอสูรยักษ์ก่อนหน้านี้นั่นเอง เขาถ่ายเทพลังเวทเข้าไปด้านในแล้วท่องเคล็ดวิชาอย่างรวดเร็ว

เสียง “วิ้ง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ธงคำสั่งพลันเปล่งแสงสีฟ้าใส ค่ายกลแสงสีฟ้าขนาดหลายจั้งอันหนึ่งปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าโดยมีหลิ่วหมิงเป็นศูนย์กลาง

บุรุษจมูกอินทรีเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าในเวลานี้เองหลิ่วหมิงก็เหวี่ยงธงคำสั่งในมือ

วาบ!

แสงสีฟ้าส่องสว่างบนผิวธงคำสั่ง จากนั้นคลื่นพลันถาโถมดังสนั่น น้ำทะเลท่วมทะลักออกมาจากด้านในแล้วแยกเป็นเสาน้ำหนาเท่าไหหลายเส้นพุ่งรวดเร็วเข้าใส่บุรุษจมูกอินทรี

บุรุษจมูกอินทรีขมวดคิ้ว ทันใดนั้นร่างกายก็ส่ายไหวราวกับสายลมโชยแล้วหายไปไร้ร่องรอยอย่างพิสดารอีกครั้ง

เหล่าเสาน้ำพุ่งโจมตีดังครืนทว่าต่างพลาดเป้า

ไม่ไกลด้านหน้าหลิ่วหมิง เงาสีดำขยับวูบ บุรุษจมูกอินทรีปรากฏตัวอีกครั้ง สองแขนขยับครั้งหนึ่ง เงากรงเล็บสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนเต็มฟ้าก็ครอบลงมาหาหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งเครียด เขาสะบัดธงคำสั่งในมือเล็กน้อย ม่านแสงสีฟ้าใสผืนหนึ่งก็ก่อตัวออกมาเหนือศีรษะในพริบตา เสียงน้ำซู่ๆ ดังออกมาอยู่เลือนราง

ทันทีที่เงากรงเล็บสีน้ำเงินปะทะลงบนม่านแสง ประกายน้ำพลันไหลเคลื่อน ม่านแสงสีฟ้าสั่นไหวอยู่ไม่กี่หนแต่กลับไม่สลายไป

ในเวลาเดียวกันนี้ธงคำสั่งสีฟ้าก็หลุดออกจากมือหลิ่วหมิงแล้วเริ่มลอยวนรอบร่างเขา ปล่อยแสงสีฟ้าแสบตาสายแล้วสายเล่าออกมา ก่อนจะทยอยร่วงลงบนพื้นดินเบื้องล่าง กลายเป็นยันต์พิสดารที่ส่องแสงสีฟ้าสว่างตัวแล้วตัวเล่า

“จงขึ้นมา!”

หลิ่วหมิงตวาดเบาๆ คำหนึ่งพร้อมกับที่สองมือยื่นออกมาระนาบกับพื้นแล้วยกขึ้นจากล่างขึ้นบนอย่างเชื่องช้า

เสียงเปรี้ยงดังสนั่นอยู่พักหนึ่ง

ผืนดินเบื้องล่างฉับพลันสั่นคลอน หิมะที่สะสมอยู่บนเขาหิมะใกล้ๆ ถล่มลงมาเป็นการขานรับ พื้นดินด้านล่างที่มียันต์สีฟ้าประทับอยู่ปริแยกในทันใดพร้อมเสียงก้องกังวาน เสาน้ำต้นแล้วต้นเล่าพุ่งจากใต้ดินขึ้นสู่ท้องนภา