ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 943 เรื่องในอดีต
จู่ ๆ ชายแก่คนนี้ก็เอ่ยประโยคนี้มาจากด้านหลัง
แสนรักขมวดคิ้ว
อีกชั่วครู่ เขาก็ไม่คิดจะสนใจ และเดินตรงออกไป
แต่ในตอนสุดท้าย ภายใต้สายตาที่มองจ้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความรีบร้อนสองอย่างนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าแม้แต่พลังขั้นต่ำก็ยังไม่ฟื้นคืนสู่ปกติ เขาละสายตากลับมา และเอ่ยเสียงออกมา
“นี่สำคัญมากเหรอ?”
“ใช่!”
“ทำไม?”
“เพราะฉันอยากรู้ จนถึงตอนนี้ ตระกูลเทวเทพของฉันลงทุนเสียสละไปมากขนาดนั้น มันจะคุ้มค่าหรือไม่กันแน่?”
สายตาของชายชราคนนี้มองเขาอย่างนิ่งๆ และในตอนสุดท้ายก็พูดเหตุผลดังกล่าวนี้ออกมา
คุ้มค่าหรือไม่?
แบบไหนคือคุ้มค่า? แล้วแบบไหนคือไม่คุ้มค่า?
ถ้าเขาเข้าใจว่า มีคนของตระกูลเทวเทพพวกเขาจำนวนมากในช่วงเวลานี้ สุดท้ายการฟื้นตัวหายเป็นปกติของเขาแสนรัก สามารถทำให้บาปในใจเขาลดน้อยลงบ้าง และรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุ้มค่า
ถ้าอย่างนั้น เขาสามารถแสดงความยินดีกับเขาได้ เขาสมปรารถนาแล้ว
แต่ เขาเคยคิดบ้างหรือไม่? จุดต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วคือเป็นเพราะเขา?
สุดท้ายแสนรักก็พยักหน้าลงเบาๆ : “ท่านสมปรารถนาแล้ว”
ไชยันต์ : “…….”
เพียงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียว ราวกับว่าสิ่งของทุกอย่างในหน้าอกของเขาจู่ ๆ ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด เขาตื่นเต้นดีใจจนมือทั้งสองข้างสั่นอย่างรุนแรง
ในดวงตาแก่เหี่ยวคู่นั้นก็มีน้ำตาคนแก่เติมเต็มอย่างรวดเร็ว
“ดี ดีดี งั้นก็ดี!!” เขาพูดประโยคดีดีติดต่อกัน
แสนรักไม่สนใจเขา เหลือบมองดูนาฬิกาบนข้อมือ เขาวางแผนจะไปที่งานศพสักหน่อย
“เรื่องพวกลุงใหญ่ของแก แกอย่าไปใส่ใจ ต่อให้เขาไม่จัดการตัวเอง ฉันก็จะส่งเขาไปศาลทหาร พ่อของแก…….”
จู่ ๆ ไชยันต์ที่อยู่ด้านหลังก็สำลักขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ฝีเท้าของแสนรักชะงักลง
ในที่สุดเขาก็เอ่ยถึงพ่อของเขา?
เขาก็หยุดลงอีกครั้ง ไม่ได้หันหลังกลับมา แต่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น ซึ่งกลับดูเหมือนว่าเขากำลังจะบอกกับชายแก่ว่าสำหรับเรื่องในอดีตเรื่องนี้ เขาสนใจฟังมาก
ไชยันต์เหลือบมองเบื้องหลังของชายคนนี้ หลังจากเม้มริมฝีปากที่ยังไม่ฟื้นคืนสีเลือด ในที่สุด เขาก็พูดต่อขึ้นมา
“พ่อของแก ตอนนั้นฉันเผด็จการจนเกินไปจริงๆ หลังจากที่ฉันถอนทัพกลับมาจากชายแดน ถึงแม้ว่ายังคงดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ แต่อันที่จริงมีหลายคนในไวท์ พาเลซที่พากันดูถูก เข้าใจว่าฉันเป็นทหารคนหนึ่ง เลยกีดกันตระกูลเทวเทพของฉันต่างๆ นานา ต่อมา ฉันเลยคิดจะฝึกฝนพ่อของแก”
เมื่อชายชราคนนี้พูดถึงตรงนี้ รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์เหมือนกับว่ามองเห็นลูกชายผู้สง่ามีราศีและมีพรสวรรค์ของเขาคนนั้น
ขุนนาย ตอนนั้นต้องแบกรับความหวังของเขาเท่าไหร่กันแน่?
อันที่จริง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เลย เขารู้เพียงว่า ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่เขาให้ได้ ก็ให้ไว้กับตัวเขาหมดแล้ว
เขาหวังว่าเขาสามารถทำให้ตระกูลเทวเทพเจริญรุ่งเรือง ยังหวังว่าหลังจากที่เขาแบกรับครอบครัวตระกูลเทวเทพหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ไว้แล้ว สามารถแผ่นกระจายออกไปทั้งไวท์ พาเลซ ให้คนเหล่านั้นที่คอยรังเกียจและดูถูกชายชาติทหารอย่างพวกเขามาโดยตลอดได้ดูเสียบ้าง
ว่าพวกเขาทำให้มาอยู่เหนือกว่าคนอื่นได้อย่างไร
แต่ลูกที่ต้องมาแบกรับความหวังสูงสุดของเขาไว้ สุดท้าย กลับโดนผู้หญิงคนหนึ่งพาตัวไป
“ตอนครั้งแรกที่ฉันได้ยินแม่ของแกคนนี้ ฉันโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ฉันไม่เคยคิดเลยว่าทายาทสืบทอดที่ฉันอุตส่าห์ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากนั้น จะถูกทำลายลงเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว ดังนั้นฉันจึงสั่งให้พ่อของแกออกห่างจากเธอ”
“แต่พ่อของแกทำฉันเจ็บกว่า หลังจากที่เห็นว่าฉันไม่เห็นด้วย ก็แอบขโมยสำเนาทะเบียนบ้านจากในบ้าน จากนั้นก็หนีไปยังสถานที่เล็กๆนั่นและจดทะเบียนสมรสกับแม่ของแก ตอนนั้นฉันโกรธมากจนไม่หลับไม่นานอยู่สามวันสามคืน”
เมื่อไชยันต์พูดมาถึงตรงนี้ จนถึงวันนี้ เขายังคงมีความโมโหหลงเหลืออยู่
อันที่จริงสามารถเข้าใจได้ ก็เปรียบเหมือนไม้ผลต้นหนึ่งที่ตัวเองตั้งใจเลี้ยงดูอย่างลำบากยากเข็ญ พอถึงตอนออกผล ผลไม้นั้นกลับถูกคนอื่นเด็ดไปกิน ใครจะไม่โกรธบ้าง?
แต่ถึงอย่างไรเลือดก็ข้นกว่าน้ำ สุดท้ายเขาก็ทำใจยอมรับกับเรื่องนี้
นี่ก็คือคำพูดที่มินตราคุยกับม็อกโกก่อนเธอตาย ไชกุนำจดหมายที่ขุนนายน้องชายส่งมาแล้วเข้าไปหาเขาอย่างดีอกดีใจ เพื่อจะไปอ้อนวอนแทนน้องชาย
จากนั้น เขาก็บอกกับเขาว่าให้อภัยเรื่องของขุนนายเรียบร้อยแล้ว
ให้อภัย เป็นเรื่องที่ดี
แต่เขากลับไม่รู้ว่า เขายอมรับในลูกชายคนหนึ่งที่ทำผิด ในขณะเดียวกัน ก็สูญเสียลูกชายอีกคนหนึ่งที่ยอมเชื่อฟังเขามาเกือบครึ่งชีวิต
ในที่สุดแสนรักก็ฟังจนจบ
และครั้งนี้ เขาก็ไม่อดทนอีกต่อไป พูดจาเยาะเย้ยเขาไปตรงๆ : “อันที่จริงความผิดใหญ่หลวงที่ท่านเคยทำผิด ไม่ใช่ว่าเพราะตัวเองเผด็จการและใจร้อน แต่เป็นเพราะท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวขั้นพื้นฐานมันเป็นยังไง!”
“……”
ในวินาทีนี้ ชายแก่ที่นอนราบอยู่บนเตียงนั้น ใบหน้าแก่ๆ ที่ยังคงขาวซีดเพราะอาการป่วยอยู่ก็เปลี่ยนไปจนดูแย่มาก
ยังไม่เคยมีใครกล้าสั่งสอนเขาแบบนี้มาก่อน
แต่เจ้าเด็กบ้าคนนี้ไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เขาเอ่ยปากแล้ว หากยังด่าไม่จบ ก็จะไม่ยอมหยุดลงเป็นแน่
“ท่านคิดว่าทำให้ตระกูลเทวเทพเจริญรุ่งเรือง จะพึ่งแค่วิธีปราบปรามอย่างป่าเถื่อนนั้นในค่ายทหารของท่านก็สามารถทำได้สำเร็จงั้นเหรอ? นิสัยท่านคือมักจะติดป้ายทุกคนในครอบครัวโดยแบ่งออกเป็นสามระดับ คือยอดเยี่ยม ปานกลาง และต่ำ รวมทั้งลูกชายของท่านด้วย คนที่ยอดเยี่ยมก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเยี่ยม ส่วนคนที่ต่ำก็เปรียบเหมือนดั่งก้อนหินดินทรายที่วางกองอยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจ ท่านคิดว่าพวกเขาเป็นใครกัน? เป็นทหารในค่ายทหารของท่านเหรอ? หรือเป็นปืนกับกระสุนในมือของท่านที่จะกำจัดออกเมื่อไหร่ก็ตามตามลำดับนี้?”