บทที่ 1727 รับสมัครคนอย่างเป็นทางการ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ดวงอาทิตย์สองดวงบนฟ้าสว่างจ้าตา ทรายเหลืองเบื้องล่างท่วมท้น เนินทรายไรที่สิ้นสุด

กิ้งก่าประหลาดสีน้ำตาลตัวหนึ่งที่ยาวสองจั้งกว่ากำลังคลานขึ้นเนินทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตอย่างเอื่อยเฉื่อย บนหลังกิ้งก่ามีชายหนุ่มวัยกลางคนสวมเสื้อแขนสั้นคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ กางร่มบังแดดหนึ่งคัน ตัวโอนเอนอย่างช้าๆ โยกไหวไปตามจังหวะการคลานของกิ้งก่า เหมือนกำลังนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ แต่ก็เหมือนกำลังนอนงีบอยู่ สัญลักษณ์วรยุทธ์ตรงหว่างคิ้วเป็นรูปกิ้งก่าสีแดงตัวหนึ่ง

เพียงแต่ทรายที่อยู่รอบข้างกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาด บางครั้งเม็ดทรายแต่ละเม็ดก็ก็รวมกันเป็นกองสูงไม่หยุด บางครั้งก็ก่อรูปกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า สรุปก็คือหลังจากกิ้งก่าคลานผ่านไปแล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดของเม็ดทรายก็พังทลายกลับสู่สภาพเดิม

แสงแดดบนท้องฟ้าแก่กล้า เงาคนคนหนึ่งถลันตัวผ่านเข้ามา แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งเหาะลงจากฟ้า ยืนอยู่บนเนินทรายเบื้องหน้า แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง “หลงซิ่น!”

กิ้งก่ายักษ์คลานขึ้นไปบนเนินทรายนั้นช้าๆ แล้วก็หยุดอยู่กับที่

ร่มกันแดดยกขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มเสื้อแขนสั้นที่ชื่อหลงซิ่นมองอีกฝ่ายแวบเดียว จากนั้นลุกขึ้นยืนจากตัวกิ้งก่าเดินลงมา ร่มบังแดดดในมือถูกถือในแนวเฉียง แล้วก็พังทลายกลายเป็นเม็ดทรายตกลงพื้น กิ้งก่าตัวนั้นก็พังทลายกลายเป็นเม็ดทรายเช่นกัน ที่แท้ร่วมบังแดดกับกิ้งก่าก็ล้วนก่อตัวขึ้นมาจากทราย

หลงซิ่นเดินเนิบนาบไปหาแม่ทัพใหญ่เกราะแดง ผิวเนินทรายพลิกขึ้นมา กลายเป็นต้นกล้าสีน้ำตาลต้นหนึ่ง มันเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีพุ่มบังแดด เห็นได้ชัดว่าข้างบนยังมีไอชื้น เหมือนเป็นทรายที่ทะลักขึ้นมาจากพื้นที่ลึกที่สุด นำพาความเย็นสบายมาสู่เขตร้อนระอุแห่งนี้

ใต้ร่มไม้ โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัวทะลักขึ้นมาจากทราย หลงซิ่นนั่งลง โบกมือวางสุราสองจอก แล้วถือกาสุราใบหนึ่งรินสุราให้

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงมองต้นไม้ใหญ่แล้วก็มองโต๊ะเก้าอี้ที่สมจริง ก่อนจะเดาะลิ้นอุทาน “พี่หลง ทรายของเจ้าเหมือนจะเล่นได้เป็นเรื่องเป็นราวเชียวนะ!”

หลงซิ่นรินสุราเสร็จแล้วยื่นมือเชิญให้นั่ง แล้วตัวเองก็คว้าจอกสุราไว้ในมือ กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ปิดบังเจ้า หลายหมื่นปีมานี้ไม่ได้อยู่อย่างสูญเปล่า ข้าสร้างเคล็ดวิชาหนึ่งได้เอง ค่อนข้างน่าสนใจ”

“อ้อ!” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงนั่งลง เหมือนจะไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “สงสัยพี่หลงจะมีพรสวรรค์พิเศษนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างเคล็ดวิชาฝึกตนเองได้”

“ถุย!” หลงซิ่นพูดเย้ยตัวเอง “เล่นทรายมาสามหมื่นปีแล้ว ขอเพียงไม่เล่นจนตัวเองกลายเป็นคนโง่ ไท่ว่าใครก็เล่นจนเป็นเรื่องเป็นราวได้”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงส่ายหน้าถอนหายใจ “คนอื่นเป็นขุนนางตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเจ้าสิ ตำแหน่งต่ำลงเรื่อยๆ”

หลงซิ่นทเสียงฮึดฮัด “โจวจ้าวจะกลั่นแกล้งข้าให้ได้ ข้าจะทำอะไรได้เหรอ?”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “โจวจ้าวไม่ใช่เทพประจำดาวเหมือนในปีนั้นแล้ว ตอนนี้ได้เป็นท่านจอมพลแล้ว เจ้าก้มหน้ายอมรับผิดมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่ใช่ฮูหยินเอกสักหน่อย เป็นอนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องลำบากทำให้ตัวเองกลายเป็นอย่างนี้? ถ้าในปีนั้นเจ้าอดทนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาศัยคุณสมบัติและประสบการณ์ของเจ้า ไม่แน่ตอนนี้อาจได้เป็นเทพประจำดาวแล้วด้วยซ้ำ จะบีบให้เขาเล่นงานเจ้าจนตายเชียวเหรอ?”

หลงซิ่นแสยะยิ้ม “ผู้หญิงที่ข้ารักที่สุดตายอย่างมีเงื่อนงำ มีคนเห็นเองกับตาว่าลูกชายเขาชิงตัวนางไป ข้าแค่ไปขอคำชี้แจ้งจากลูกชายเขา ข้าผิดด้วยเหรอ? จะเล่นงานข้าให้ตายงั้นเหรอ? เขากล้ามั้ยล่ะ? ในปีนั้นข้าติดตามรับใช้เขา สร้างผลงานด้วยความลำบากยากเย็น ถ้าข้าตายอย่างไม่ชัดเจน แล้วคนอื่นจะคิดยังไงล่ะ? เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ? เขาเก็บข้าไว้ไม่ยอมฆ่า ภายนอกเหมือนให้โอกาสข้า แต่ที่จริงทำเพื่อแสดงให้เบื้องล่างเห็นเท่านั้น ทำเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ผิด พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนที่เห็นแก่ไมตรีเก่า พิสูจน์ว่าเขาให้โอกาสข้ามาตลอด แต่ความจริงล่ะ? ก็แค่จะให้ข้าพูดออกมาเองว่าข้าเข้าใจผิดไป เป็นข้าที่ผิดเอง จะได้ชี้แจงกับเบื้องล่างให้สะดวก ระหว่างข้ากับเขาทะเลาะกันจนถึงขั้นทิ้งปมในใจไว้แล้ว หรือเจ้าคิดว่าจะคลายปมได้ง่ายขนาดนั้นเลย? ข้าไม่ก้มหน้ายอมรับผิดยังรักษาชีวิตได้เลย ถ้ายอมรับผิดเมื่อไร เขาได้คำชี้แจงต่อเบื้องล่างเบื้องบนแล้ว เกรงว่าข้าจะต้องสิ้นชีพในไม่ช้าก็เร็ว!”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “แต่เจ้าถ่อไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อเป็นตัวอะไรกันล่ะ? เป็นแม่ทัพภาคตลาดผีคนหนึ่งเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลได้แล้วยังไงล่ะ? เจ้าวรยุทธ์เท่าไร? วรยุทธ์สำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งเชียวนะ เคยเป็นท่านโหวที่ได้ยืนประชุมในราชสำนักมาก่อน ตอนนี้ไปขอพึ่งพาแม่ทัพภาคตลาดผีคนหนึ่ง แบบนี้ไม่การเป็นคุยโวไร้สาระหรอกเหรอ? เจ้าเสียหน้าไหวเหรอ?”

“เสยหน้า?” หลงซิ่นชี้ไปรอบๆ “ตอนนี้ชีวิตข้าดีมากหรือไง? เป็นเทพแห่งผืนดินเฝ้าอยู่บนทะเลทรายผืนนี้ไม่รู้สึกเสียหน้าเหรอ?”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงจึงบอกว่า “เวลาผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ทุกคนลืมเจ้าไปหมดแล้ว ใครยังจะสนใจว่าเจ้าเป็นเทพแห่งผืนดินอยู่อีก ถ้าเจ้าไม่เติบโตขึ้นมาใครจะมานึกถึงเจ้า ถ้าเจ้ากระโดดออกมา ก็จะดึงดูดสายตาของทุกคนอีกครั้ง นั่นต่างหากที่จะเสียหน้าจริงๆ”

หลงซิ่นกล่าวเสียงเรียบว่า “จะเสียหน้าหรือไม่เสียหน้าแล้วเกี่ยวอะไรกัน ผู้หญิงที่ข้ารักที่สุดตายอย่างมีเงื่อนงำ ลูกน้องคนสนิทของข้าในปีนั้นก็ถูกกวาดล้างหมดเกลี้ยง คนตายไปเยอะขนาดนั้น แต่ยังรอคำชี้แจงจากข้าอีก ทำไมข้าต้องทนรับความอัปยศอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ เพราะข้าเฝ้ารอโอกาสมาตลอด รอโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากอีกครั้ง!”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “หรือเจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะให้โอกาสเจ้าได้? เป็นเจ้าที่ไร้เดียงสา หรือเป็นข้าที่ไร้เดียงส? ตำแหน่งหัวหน้าภาคสูงสุดที่แดนรัตติกาลแล้ว ไม่สามารถขยายอาณาเขตได้อีก สี่ทัพไม่มีทางตัดแบ่งอาณาเขตให้ เบื้องบนไม่มีทางปล่อยให้กำลังพลแดนรัตติกาลเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตระกูลเซี่ยโห้วจะเป็นฝ่ายแรกที่ไม่ยอม ต่อให้เจ้านั่งตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้วยังไงล่ะ ในมือมีกำลังพลแค่หนึ่งแสน หนิวโหย่วเต๋อนั่งตำแหน่งนั้นยังพอไหว เพราะศักยภาพเขามีจำกัด ถ้าเจ้าไปนั่งตำแหน่งนั้นก็จะกลายเป็นเป้าให้ผู้คนโจมตี! จะมีบางคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม จะยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดเจ้าทิ้ง! บางทีพอเจ้าเดินออกจากที่นี่แล้ว ก็อาจจะกลายเป็นตะปูแทงตาคนบางกลุ่มทันทีเลยก็ได้! ขออภัยที่ข้าพูดตรงนะ ต่อให้เจ้าต้องการจะหาโอกาส แต่นี่ก็ไม่ใช่โอกาสของเจ้า! แล้วอีกอย่าง เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้ารับเจ้ามั้ย? ถ้ารับเจ้าไว้ก็อาจจะนำปัญหายุ่งยากมาให้เขาก็ได้”

ขณะที่หลงซิ่นถือการินสุรา ก็ยิ้มเรียบๆ พร้อมกล่าวว่า “เจ้ากับข้ามีจุดยืนไม่เหมือนกัน วิธีการมองปัญหาก็ไม่เหมือนกัน เถียงกันต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร เอาเป็นว่าข้าเอาใจช่วยหนิวโหย่วเต๋อ มองเขาเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง เจ้าเองก็ไม่ต้องมาโน้มน้าวข้าหรอก เรื่องตั้งป้ายรับสมัครยืนยันได้หรือยัง?”

“เจ้า…” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี สุดท้ายก็จนปัญญา โยนแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ “อักษรป้ายรับสมัครอยู่ในนี้ไม่ตกหล่น ตรวจสอบมาแล้ว มีเรื่องนี้จริงๆ ไม่ผิดพลาดแน่นอน แต่ข้าแนะนำให้เจ้าไตร่ตรองให้ดี ไม่จำเป็นต้องไปสร้างความอัปยศให้ตัวเอง ถ้าเขาไม่ยอมรับเจ้า หลังจากข่าวที่เจ้าจะไปขอพึ่งพาแพร่ออกไป เกรงว่าท่านนั้นคงยากจะรับเจ้าได้อีก ถ้าไม่ระวังนิดเดียวก็เท่ากับรนหาที่ตายเลย!”

หลงซิ่นมองสำเนาอักษรบนป้ายหินที่เขียนในแผ่นหยก แล้วหลับตาครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนลืมตามองคนตรงหน้า พร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าเดิมพันว่าเขาจะรับข้าไว้แน่นอน!” พูดจบก็ใช้มือสองข้างยกจอกสุราขอบคุณ เงยหน้ากระดกสุราหมดจอก แล้วร่างกายก็พลันหายไปจากที่เดิม เหลือเพียงจอกสุราใบเดียวที่หมุนอยู่บนโต๊ะ

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งหายไปในท้องฟ้าเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจ

ในขณะนี้เอง ต้นไม้ใหญ่ที่บังแดดก็พลันถล่มลงมา บนตัวแม่ทัพใหญ่เกราะแดงมีเงามายาเกราะลมปราณระเบิดออกมาสายหนึ่ง บดบังทรายจำนวนมหาศาลที่ระเบิดปลิวว่อนเข้ามา เงาคนฝ่าทรายหายไปในขอบฟ้า ทรายที่ปลิวขึ้นมาทยอยตกลงพื้น ทั้งยังมีกาสุราและจอกสุราด้วย

บนทะเลสาบใต้ดินของตลาดผี เรืออันงดงามลำหนึ่งแล่นช้าๆ ในห้องโดยสารเรือ เฉาหม่านนั่งอยู่หลังหน้าต่างที่มีม่านไข่มุกบัง กำลังมองสถานการณ์บนฝั่ง

ทั้งตลาดผีคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรียกได้ว่ากระแสผู้คนหลั่งไหล มีมากหน้าหลายตาไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน และดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ก็ยังมีคนทยอยกันเบียดเข้ามาที่ตลาดผีไม่ขาดสาย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นปริมาณคนมากขนาดนี้ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดผีขึ้นมา เฉาหม่านทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ตงฟางเลี่ยยืนอยู่ริมหน้าต่างบนตึก มองกลุ่มคนที่ยืนเรียงแถวยาวยืดเหมือนมังกรนอกหน้าต่าง กระแสคนที่ดำเป็นพืดอยู่ข้างหลังก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ คนที่ได้ป้ายลำดับถึงจะมีสิทธิ์เข้าไป และเพื่อรักษาขั้นตอนเช่นกัน คนที่รักษาขั้นตอนย่อมเป็นคนของกองทัพองครักษ์ คนที่แจกป้ายลำดับก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์เช่นกัน

ตงฟางเลี่ยยืนมองอยู่ริมหน้าต่างนานมาก ไม่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเลย และไม่มีทางได้เห็นด้วย เพราะแต่ละคนที่มาล้วนใส่หน้ากาก เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวไว้เผื่อสมัครไม่ผ่าน

“ป้ายลำดับแจกไปเท่าไรแล้ว?” ตงฟางเลี่ยเอียงหน้าถาม

“ใช้เวลาเดือนกว่าๆ แจกป้ายลำดับไปแล้วสามแสนกว่าแผ่น เฉลี่ยววันละเกือบหมื่นคนขอรับ” ผู้ติดตามข้างๆ ตอบ

เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกไม่มีท่าทีว่าจะลดลง ตงฟางเลี่ยก็หรี่ตาเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้มาขอพึ่งพาที่แม่ทัพภาคตลาดผี ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง เขากำลังคิดว่าใต้หล้าเป็นอะไรไปแล้วกันแน่? ใจคนเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? สี่อ๋องสวรรค์ควบคุมทัพใหญ่อย่างเข้มงวดไม่ใช่เหรอ?

“รู้มั้ยว่ารับคนไว้เท่าไรแล้ว?” ตงฟางเลี่ยถามอีก

ผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ ตอบว่า “ยังไม่ได้ตัดสินขอรับ แต่ตามรายงาน คนที่เข้ามาสมัครไม่มีใครอยู่สักคน เหมือนยังหาคนที่ตรงใจไม่ได้ แต่ก็แน่ใจได้ ว่าภายในหนึ่งปีนี้จะรับให้ครบแสนคนได้ไม่มีปัญหา ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อน่าจะได้เปรียบในการเดิมพันครั้งนี้”

นอกประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค คนที่ถือป้ายลำดับทยอยกันเข้าประตูมา พอเข้ามาแล้วก็มีคนแจกแผ่นหยกที่ทำขึ้นเป็นพิเศษให้พวกเขาอีก เป็นเลขที่สอดคล้องกับป้ายลำดับในมือพวกเขาพอดี คนที่เข้ามาแล้วจะเห็นประกาศที่สะดุดตา ประกาศว่าให้คนที่เข้ามาแล้วเขียนชื่อ ประวัติ ตำแหน่งขุนนาง ยศ รวมทั้งเหตุผลว่าทำไมจึงรับตำแหน่งเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมาโดยตลอด

คนที่เข้าประตูใหญ่มาในลานด้านในแล้วก็ต้องต่อแถวเช่นกัน คนที่เข้ามาทีหลังจึงมีเวลาเพียงพอในการเขียนข้อมูลพวกนี้

กองทัพองครักษ์หกกลุ่มข้างในลานบ้านแบ่งจำนวนคนที่เข้ามาแล้วออกเป็นหกทิศทาง กระจายคนหกกลุ่มนี้ไปที่ทางใต้ดินที่ขุดไว้ชั่วคราว เพราะในทางใต้ดินเก็บเสียงได้ดีมาก ตรงทางเข้าทางใต้ดินมีคนของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุเฝ้าไว้ ทุกครั้งที่ระฆังตรงทางเข้าทางใต้ดินส่งเสียงดัง คนที่เฝ้าตรงทางเข้าก็จะเรียกคนเข้าไปหนึ่งคน เก็บป้ายลำดับมาเทียบกับตัวเลขบนแผ่นหยกในมืออีกฝ่าย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ถึงได้ปล่อยคนเข้าไป

หลังจากเข้ามาในทางใต้ดินแล้วก็จะเจอห้องเล็กห้องหนึ่ง ในห้องเล็กมีโต๊ะยาวหนึ่งตัว หลังโต๊ะยาวมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง ข้างๆ มีป้ายประกาศที่สะดุดตาตั้งอยู่ บอกว่าให้ถอดหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริง และลงตราอิทธิฤทธิ์ลงในแผ่นหยกที่เพิ่งเขียนประวัติ ก่อนจะส่งให้คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาว

หลังจากคนที่เข้ามานั่งลงแล้ว คนที่นั่งตรวจสอบอยู่หลังโต๊ะยาวก็ถือแผ่นหยกขึ้นมาเทียบหน้าตา ขณะเดียวกันก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลงบนแผ่นหยก วาดภาพเหมือนของผู้ที่มา ใส่เอกลักษณ์บนใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมอธิบายเป็นตัวอักษร และผู้ที่เข้ามาก็ไม่รู้ว่ามีคนกำลังทำแบบนี้อยู่

หลังจากตรวจสอบขั้นต้นแล้วว่าไม่มีปัญหา คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวก็รีบยัดแผ่นหยกเข้าไปในช่องทางเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าปล่อยแผ่นหยกให้ไกลไปทางไหน ขณะเดียวกันก็ชี้ไปที่ประตูเล็กๆ เยื้องด้านหลัง บอกใบ้ให้เข้าไปยังด่านต่อไป

ผู้ที่มาทำตาที่บอก เดินไปเปิดม่าน แล้วเข้าไปในทางใต้ดินอีกส่วน มาถึงห้องเล็กๆ ห้องที่สอง มีคนนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวเช่นเดียวกัน

…………………………