ในคราแรก เซียวชิงเหอและอาหลู่ไม่ได้นึกเอะใจถึงความไม่ชอบมาพากลอะไร
แต่ต่อมาพร้อมๆ กับที่เข้าสู่ส่วนลึกของทะเลหมากดารา พวกเขาต่างพบว่าแสงดาวเจิดจรัสเป็นสายๆ ที่ร่วงหล่นจากเวิ้งนภานั้น ถึงกับพากันไหลกรูไปทางหลินสวิน ส่องสะท้อนเงาร่างจนรอบตัวเขาเป็นสีเงินยวงดั่งภาพฝันมายา
คราวนี้ทั้งคู่จึงตระหนักว่าเหตุการณ์ไม่เข้าทีอยู่บ้าง
แสงดาวดั่งภาพลวงตา เรืองพิสุทธิ์พรั่งพรู พาให้หลินสวินทวีกลิ่นอายว่าเปล่าเหนือโลกีย์มากขึ้น
แต่ร่างกายเขากลับเป็นดั่งหลุมดำที่ลึกไม่เห็นก้นบึ้ง ไม่ว่าแสงดาวไหลหลั่งไปมากเท่าไร ล้วนถูกกลืนกินจนหมดสิ้น
จนกระทั่งต่อมาเมื่อหลินสวินสูดหายใจเข้าออก ดวงดาวบนเวิ้งนภานั้นดูคล้ายจะสั่นระริกตามไปด้วย แสงดาราที่ร่วงหล่นลงมาดุจกระแสน้ำเชี่ยวไหลทะลัก พาให้ห้วงอากาศแถบนี้เกิดความโกลาหลอลหม่าน ส่องแสงสีเงินยวงทั้งแถบ เจิดจ้าบาดตาไร้ใดเปรียบ
ภาพฉากเช่นนี้สามารถใช้คำว่า ‘สะเทือนฟ้าสะท้านดิน’ มาบรรยายได้โดยสิ้นเชิง!
แต่สิ่งที่แย่ก็คือ เมื่อเป็นเช่นนี้ บนหนทางที่พวกเขาจะมุ่งหน้าไปล้วนถูกแสงดาวปกคลุม แม้จะมีแผนภาพลับนำทางก็ไม่สามารถระบุเส้นทางได้เลย
ภายใต้ความจนปัญญา เซียวชิงเหอจึงไม่อาจไม่ส่งเสียง ขัดจังหวะโชควาสนาอัศจรรย์ครั้งนี้ของหลินสวิน
หลินสวินได้สติขึ้นมา พอกวาดสายตาไปเห็นแสงดาวไหลหลั่งรอบด้าน หนาแน่นดุจหมอก ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ในใจเขาไหวหวั่นขึ้นมา นึกถึงแผนภาพวัฏจักรดาราในห้วงนิมิต ก่อนโบกแขนเสื้อหนึ่งคราตามจิตใต้สำนึก
ฮูม!
แสงดาวเจิดจรัสเต็มฟ้าย้อนกลับไปตามทิศทางที่ไหลหลั่งมา หวนกลับสู่สี่ด้านแปดทิศ ไม่นานก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทอดสายตาจากไกลๆ ก็เหมือนกับเซียนผู้หนึ่ง เพียงโบกสะบัดแขนเสื้อ แสงดาวก็ทะยานสู่เวิ้งนภา ภาพอันแสนอลังการและงดงามนั้นทำเอาเซียวชิงเหอมองจนตาเบิกโตแล้ว
แบบนี้ก็ได้หรือ
การตอบสนองของอาหลู่นั้นเรียบง่ายมาก โพล่งด้วยความอัศจรรย์ใจ “โคตรสวยเลยจริงๆ สักวันหนึ่งข้าต้องปีนขึ้นเก้าสวรรค์ คว้าดวงดาวมาเล่นเหมือนก้อนหินให้ได้”
“ยังจะคว้าดวงดาวมาเล่นอีก โม้ โม้สุดๆ” เซียวชิงเหอหัวเราะเยาะ
“กบในบ่อแหงนมองฟ้า น่าสงสาร” อาหลู่กลอกตาหนึ่งครา ทำท่าคร้านจะสนใจ
เซียวชิงเหอหงุดหงิดขัดเคืองขึ้นมาทันที สิ่งที่เขาทนไม่ได้มากที่สุดก็คือการกลอกตาของอาหลู่
เจ้าคนบึกบึนหยาบกร้านเหมือนพวกป่าเถื่อน แต่กลับชอบกลอกตา ช่างพาให้ผู้คนไม่อาจอดกลั้นได้จริงๆ!
“ข้าขอเตือนเจ้า อย่าคิดว่าเคยช่วยชีวิตพวกเราหนึ่งครั้งแล้วจะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้เชียว!” เซียวชิงเหอกล่าวอย่างฉุนเฉียว
“มีแต่พวกอ่อนแอถึงจะส่งเสียงข่มขู่ ผู้แข็งแกร่งลงมือทำตรงๆ”
สองแขนหยาบหนาปานหินผาของอาหลู่กอดอยู่ตรงหน้าอก รูปร่างเขาสูงใหญ่อย่างที่สุด สูงกว่าเซียวชิงเหอหนึ่งช่วงหัวเต็มๆ ย่อมเจือความเหยียดหยันเอาไว้เป็นธรรมดา
“เจ้า…” เซียวชิงเหออยากลงไม้ลงมือขึ้นมาจริงๆ แล้ว ปากของเจ้าอาหลู่นี่เป็นอาวุธสังหารชิ้นโตที่ชวนคับแค้นชัดๆ ทำให้คนโกรธแทบตายแต่ทำอะไรไม่ได้
“พอแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ” หลินสวินรีบร้อนไกล่เกลี่ย
“เฮอะ หากไม่ใช่เพราะหลินสวินไกล่เกลี่ย ครั้งนี้ข้าต้องสู้กับเจ้าสักครั้งโดยไม่สนใจอะไรแล้ว” เซียวชิงเหอแค่นเสียงเย็น
“เอาแต่พูดไม่ลงมือทำใช้ไม่ได้ ชายทั้งแท่งมีเพียงคำเดียวคือ ทำ!” ดวงตาอาหลู่เปล่งประกาย จ้องเซียวชิงเหอคล้ายจะท้าทาย
หลินสวินปวดหัวตุบๆ เขาเพิ่งพบว่าเซียวชิงเหอและอาหลู่คนนี้เหมือนคู่กัดที่ผูกชะตากันมาชัดๆ ไม่ลดราวาศอกแม้แต่น้อย
ภายใต้ความจนปัญญา เขาได้แต่เดินไปเบื้องหน้าก่อน
คราวนี้เองเซียวชิงเหอถึงสะดุ้งตกใจ รีบร้อนพุ่งพรวดขึ้นหน้าร้องว่า “ที่นี่เป็นถึงทะเลหมากดารา อย่าได้วิ่งเพ่นพ่านเชียว!”
ในที่สุดการทะเลาะเบาะแว้งขนาดย่อมครั้งนี้ก็ผ่านไป ทั้งสามมุ่งหน้าเดินทางต่อ
เพียงแต่สีหน้าหลินสวินกลับผิดแปลกน้อยๆ
พร้อมๆ กับที่เดินไปเบื้องหน้า ความเร้นลับทุกอย่างของพื้นที่ใกล้เคียงต่างผุดขึ้นมาในห้วงนิมิต ทำให้เขาสามารถคาดเดาทิศทางทุกเส้นได้ในพริบตา
ที่ใดมีอันตราย ที่ใดเป็นด่านวงกต ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกหลินสวินสอดส่องแจ่มแจ้ง
‘ที่แท้ทะเลหมากดารานี่ก็วิวัฒน์มาจาก ‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา’ จริงๆ ด้วย!’
ในใจหลินสวินสั่นไหว รู้สึกเบิกบานโปร่งโล่งคล้ายเมฆเคลื่อนเห็นตะวัน
เขาถึงขั้นสามารถระบุได้ว่า พื้นที่ที่มุ่งหน้าเดินทางอยู่ตอนนี้ตั้งอยู่ในตำแหน่งประตูสวรรค์กลุ่มดาวเขาสัตว์ทางทิศตะวันออกของค่ายกลใหญ่
ที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตหนึ่งในแผนภาพสามร้อยหกสิบค่ายกลมหาวัฏจักรดารา ด้านในซ่อนค่ายกลย่อยสามร้อยหกสิบแห่ง ใจกลางของค่ายกลแต่ละแห่งสอดคล้องกับหมู่เกาะบนผิวทะเลนั่นพอดี
ภายใต้การโคจรพลังค่ายกลใหญ่ หมู่เกาะแต่ละแห่งต่างปกคลุมด้วยอานุภาพที่ต่างกัน มีทั้งผนึกต้องห้ามด่านวงกต ผนึกต้องห้ามมายา ผนึกต้องห้ามพิฆาตเป็นต้น
หากผลีผลามบุกทะลวง ต้องไปแตะกับผนึกต้องห้ามอย่างแน่นอน!
ควรรู้ว่านี่เป็นถึงกระบวนอริยะที่ปกคลุมฟ้าดินแห่งหนึ่ง ดึงผมเส้นเดียวสะท้านทั้งร่าง ถึงตอนนั้นไม่ว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมเทียมฟ้าแค่ไหน ก็ย่อมพบกับอันตรายที่คาดเดาไม่ได้!
หลินสวินสันนิษฐานเปรียบเทียบโดยละเอียด พบว่าเส้นทางที่เซียวชิงเหอนำทางมานั้น เป็นหนึ่งในเส้นทาง ‘เป็น’ ที่มีจำนวนไม่มากในพื้นที่แถบนี้
เมื่อนึกถึงจุดนี้ มุมปากหลินสวินก็อดผุดระบายยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ทะเลหมากดารานี้ สำหรับผู้ฝึกปราณบนโลกอาจจะเป็นสถานที่อันตรายที่ไม่อาจก้าวล่วง
แต่สำหรับตนที่ครอบครองมรดก ‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา’ แล้ว การเข้าสู่ทะเลผืนนี้ก็เหมือนเหยียบย่างบนพื้นราบ!
หนำซ้ำขอเพียงตนยินดี ก็สามารถหยิบยืมพลังของค่ายกลนี้มาใช้ประโยชน์ได้
ในห้วงนิมิต แผนภาพวัฏจักรดาราผุดลอยอย่างเงียบเชียบ หลินสวินรู้ว่าครั้งนี้ตนพบกับ ‘ศุภโชคใหญ่’ โดยบังเอิญแล้ว!
ลำพังแค่มรดกค่ายกลใหญ่นี้ก็เพียงพอให้ตนใช้สอยไร้ขีดจำกัดแล้ว!
ขณะมุ่งหน้าตลอดทาง หลินสวินเปรียบเทียบและหยั่งรู้ไปพลาง โดยใช้สิ่งนี้ควานคลำปริศนามรดกในแผนภาพวัฏจักรดารา
ยิ่งทำความเข้าใจก็ยิ่งพาให้เขาร้องอุทาน ความแข็งแกร่งของอานุภาพค่ายกลนี้เหนือกว่าจินตนาการของเขาอย่างสิ้นเชิง
หากขับเคลื่อนเต็มประสิทธิภาพ จะสามารถดึงดูดพลังดวงดาวหนึ่งหมื่นสี่พันแปดร้อยดวงทั่ววัฏจักรมาได้ เพียงพอจะทำลายล้างฟ้าดินทั้งแถบ ทุกสิ่งมอดไหม้สิ้นซาก!
สิ่งที่น่าเสียดายคือค่ายกลนี้เป็นกระบวนอริยะ จำเป็นต้องใช้วิชาอริยมรรคมากางข่ายผนึกต้องห้าม แม้จะสามารถส่องทะลวงปริศนาในนั้น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินในตอนนี้จะสามารถควบคุมได้
‘ปีนั้นคงไม่ใช่อริยะที่ห้อตะบึงในความว่างเปล่าอย่างบ้าคลั่งคนนั้น ใช้วิธีสูงสุดวางค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราอยู่ที่นี่ จากนั้นก็กลายเป็น ‘ทะเลหมากดารา’ แถบนี้กระมัง’
หลินสวินทอดถอนใจในใจ
‘ต่อไปหากบังเอิญพบเคราะห์สังหารที่สลายไม่ได้ ก็สามารถแฝงตัวเข้าสู้ที่แห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้อริยะมาเองก็เกรงว่าคงจะทำอะไรข้าไม่ได้…’
แน่นอน การเป็นฝ่ายถูกโจมตีไม่ใช่แนวทางของหลินสวิน ทะเลหมากดาราก็คือกระบวนอริยะขนาดใหญ่ที่ไม่อาจจินตนาการแห่งหนึ่ง หากสามารถขับเคลื่อนพลังหนึ่งในหมื่นส่วนของมันได้ การจัดการกับสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเกรงว่าเป็นเรื่องง่ายดาย!
ระหว่างทางหลินสวินก็พูดคุยกับอาหลู่เป็นครั้งคราว
ไม่นานเขาก็เข้าใจแล้วว่าที่มาของอาหลู่ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด!
เขาออกมาจากโลกลึกลับที่หลงเหลือสืบมาจากยุคบรรพกาลแห่งหนึ่ง ทุ่มเทกายใจอย่างหนักกว่าจะมาถึงแดนชัยบูรพาได้ในที่สุด
ก่อนที่จะมาถึงแดนชัยบูรพา อาหลู่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในส่วนลึกของหุบเขาใหญ่ภายในโลกลึกลับแห่งนั้น คอยติดตามชายชราที่ถูกเขาเรียกว่า ‘เจ้าเฒ่าสารเลว’ เพื่อฝึกปราณตั้งแต่เด็ก
เมื่อเอ่ยถึง‘เฒ่าสารเลว’ คนนั้น อาหลู่ก็รู้สึกว่าไอคับแค้นเต็มท้อง หันไประบายความขมขื่นกับหลินสวิน บอกว่าตั้งแต่เขาอายุสามขวบก็ถูกบังคับให้ประลองพลังกับลูกลิงของเผ่าวานรมารหกแขน ห้อทะยานประชันความเร็วกับทายาทนกแหดารา แข่งขันว่าใครคอหนากว่ากันกับทายาทเผ่าเสียงคำราม ประลองกับเผ่าคชสารมังกรว่าร่างกายใครทนทานกว่ากัน…
จนกระทั่งอายุสิบสามปี หลังจากที่ประลองโดยใช้การแข่งขันต่างๆ นานากับทายาทสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ครบหมดแล้ว เดิมทีอาหลู่คิดว่าในที่สุดก็ปลดแอกเสียที ไหนเลยจะคิดว่า ‘เฒ่าสารเลว’ คนนั้นยังเอ่ยข้อเรียกร้องที่วิปริตมากกว่าเดิมหนึ่งข้อ
ย้ายภูเขา!
ทุกวันล้วนต้องย้ายภูเขาสูงพันจั้งลูกหนึ่งวิ่งตะบึงตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงพระอาทิตย์ตก และตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงเช้าตรู่
ตอนที่อาหลู่สามารถหิ้วภูเขาใหญ่เหมือนเล่นก้อนหินได้แล้วนั้น ‘เฒ่าสารเลว’ ก็เอ่ยข้อเรียกร้องที่เกินขอบเขตยิ่งขึ้นไปอีก
คว่ำทะเล!
ตอนที่อาหลู่สามารถพลิกเมฆคว่ำทะเลเหมือนเจียวหลง สร้างคลื่นลมสูงหมื่นนจั้งกลางทะเลได้แล้วนั้น ก็มีข้อเรียกร้องที่สูงขึ้นไปอีกโดยไม่มีข้อยกเว้น…
จนกระทั่งก่อนที่เขาจะมาถึงแดนชัยบูรพา ยังดวลศึกเข่นฆ่ากับทายาทสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งอยู่ ทุกครั้งล้วนต้องเข่นฆ่าจนหมดแรงกว่าจะได้พัก
“เฒ่าสารเลวรับปากแล้วว่า รอให้ข้าเหยียบย่างขอบเขตมกุฎระดับราชันในแดนชัยบูรพานี้แล้ว ก็จะไม่เสนอข้อเรียกร้องอีก ถึงตอนนั้นข้าจึงจะถือว่าปลดแอกอย่างแท้จริง”
ตอนที่อาหลู่เอ่ยประโยคนี้ออกมา บนใบหน้าหยาบกร้านและเถื่อนคลั่งนั้นแต้มด้วยความวาดหวังและปรารถนาเต็มเปี่ยม แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาผ่านมาก่อนหน้านี้คือชีวิตที่มืดมนเพียงใด
หลินสวินฟังจบก็สะอึกไปชั่วขณะ สภาพจิตใจไม่อาจสงบลง
เขามั่นใจแล้วว่า อาหลู่ที่อยู่ต่อหน้าเดินบนมรรคาที่ลำบากตรากตรำที่สุดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นคือ… ‘กายหยาบบรรลุอริยะ’!
และ ‘เฒ่าสารเลว’ ที่อาหลู่พูดถึงต้องเป็นยอดฝีมือที่น่าทึ่งคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น จากคำพูดของอาหลู่ก็ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า อาหลู่ดูเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาลึก แต่ความจริงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
มีทั้งทายาทวานรมารหกแขน ทายาทนกแหดารา ทายาทเผ่าเสียงคำราม ทายาทคชสารมังกร…
นี่ไหนเลยจะเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งกัน เป็นสถานที่นอกพิภพที่สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าในสมัยบรรพกาลอาศัยอยู่ชัดๆ!
พอลองคิดดูแล้ว ‘กระบองกระดูกมังกร’ ในมืออาหลู่เป็นถึงสมบัติอริยะที่สามารถซัดสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างซูคงปลิวลอยได้อย่างง่ายดาย แค่นี้ก็สามารถมองออกว่า ‘โลกลึกลับ’ ที่เขาเติบโตมาตั้งแต่เด็กแห่งนั้นเหนือธรรมดาเพียงใด
และหลังจากเซียวชิงเหอได้ฟังทุกอย่างนี้ก็พลันจนวาจาไปทันที ในใจลอบผรุสวาทว่าวิปริต
เดิมทีคิดว่าเทพมารหลินก็วิปริตพอแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าอาหลู่คนนี้ถึงกับไม่ด้อยกว่ากันแม้แต่น้อย!
……
“ถึงแล้ว”
หลังจากเดินทางข้ามทะเลหมากดารามาเนิ่นนาน หลังจากที่มาถึงหมู่เกาะแห่งหนึ่ง พร้อมๆ กับที่เกลียวคลื่นแปลกประหลาดระลอกหนึ่งพัดเข้ามา พวกหลินสวินก็ถูกย้ายมาสู่โลกที่เวิ้งว้างไร้ใดเปรียบแห่งหนึ่ง
เวิ้งนภาสีฟ้าครามดั่งชะล้าง บนผืนดินกว้างอวลกลิ่นหอมต้นไม้ใบหญ้า กลางอากาศพรั่งพรูพลังวิญญาณที่แสนบริสุทธิ์เป็นมงคล
ที่แห่งนี้แปลกประหลาดยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเถาวัลย์ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ หรือจะเป็นดอกไม้สีสันสดใสบานสะพรั่ง ต่างเจือพลังวิญญาณพิสุทธิ์ไร้ที่ติ
ทันทีที่มาถึงพวกหลินสวินราวกับเข้าสู่แดนพิสุทธิ์เทพในตำนาน ปากจมูกเปี่ยมด้วยไอวิญญาณบริสุทธิ์มงคล พลังจิตก็พลอยไหวสั่น หัวใจสดชื่นเบิกบานตามไปด้วย
ที่นี่ก็คือ ‘เขตหวงห้ามไร้มรณะ’ ซึ่งถูกแดนชัยบูรพามองว่าเป็นหนึ่งในห้าเขตหวงห้ามใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
มองปราดเดียวก็เห็นว่าบริเวณที่ไกลลิบๆ มีภูเขาเทพลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ทั่วตัวเขาดำสนิทดุจหมึก บนนั้นมียอดเขาสามสิบหกยอด ราวกับดอกบัวเบ่งบาน ค้ำยันเวิ้งนภาแถบนั้น
“นั่นก็คือภูเขาเทพไร้มรณะ ถือกำเนิดมาพร้อมกับโชควาสนาฟ้าดิน ครอบครองคุณสมบัติไม่เสื่อมสลาย อยู่รอดเรื่อยมานับแต่อดีตจนปัจจุบัน ประหนึ่งไม่ดับสูญชั่วนิจนิรันดร์”
“ลือกันว่าที่ตรงนั้นก็เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดมหามรรคที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน บนนั้นเคยมีเทพไท้สมัยดึกดำบรรพ์ที่เกิดในแดนแรกกำเนิดอาศัยอยู่…”
สีหน้าเซียวชิงเหอฉายแววร้อนเร่า “ตำนานปรัมปราที่เกี่ยวกับมันมีมากเกินไป จากอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน ยังไม่เคยมีใครสามารถส่องทะลวงปริศนาทั้งหมดภายในนั้นได้”
“แต่สำหรับพวกเราแล้วเรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์กำลังจะเปิดฉากบนภูเขาเทพไร้มรณะลูกนั้น!”
………………