ตอนที่ 969 สูสีทัดเทียม

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

อู่หงมองผู้ฝึกฝนแซ่ซุน หลังจากเห็นเขาพยักหน้าเล็กน้อย นางจึงสะบัดมือส่งเคล็ดวิชาสองสายไปทางอินทรียักษ์

“ฟู่” “ฟู่” แสงสีเขียวสว่างขึ้นวูบหนึ่ง อักขระเคลื่อนบนกำไลกลมสีเขียวสองวงก่อนที่มันจะหายไปจากบนร่างอินทรียักษ์ แล้วปรากฏบนข้อมือสองข้างของหญิงสาวในอึดใจต่อมา

หลังจากนั้นร่างของอินทรียักษ์สีเทาพลันทอแสง ร่างกายมหึมาหดเล็กลงกลายเป็นร่างมนุษย์อย่างรวดเร็ว ทว่าสีหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย

“อาวุธจิตวิญญาณของอิงเจิน ขอคืนด้วย” สายตาของบุรุษจมูกอินทรีจับอยู่บนรังไหมสีเขียวด้านข้างแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา

อู่หงได้ยินพลันหัวเราะคิกคัก นางยกมือสองข้างขึ้น กำไลกลมสองวงกระทบกันแผ่วเบา

“กริ๊ง!” เสียงใสดังกังวาน

รังไหมสีเขียวหยกกลางอากาศส่องสว่างเจิดจ้า เส้นไหมเรียวเล็กสีเขียวทั้งหมดทยอยลอกออกมาราวกับสาวไหมก่อนที่จะผสานเข้าไปในกำไลบนมือทั้งสองข้างของนางใหม่อีกครั้ง

หอกตะขอสีเงินทั้งสองเล่มหลุดจากพันธนาการ พวกมันส่งเสียงดังฟึบกลายเป็นแสงสีเงินสองสาย ถูกอิงเจินผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจชุดสีเทากวักเรียกกลับมา

อิงเจินถลึงตาใส่อู่หงอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะกลับไปยังฝั่งของตัวเองเมื่อบุรุษจมูกอินทรีส่งสัญญาณ

อู่หงก็เหาะกลับมาฝั่งมนุษย์ตามหลังผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเช่นกัน

“สหายอู่วิชาล้ำเลิศ ชวนให้คนนับถือจริงๆ”

“นับถือ นับถือ!”

ผู้คนต่างพากันประสานมือให้อู่หงพร้อมกับเอ่ยคำชม

แม้อู่หงไม่ใช่ศิษย์จากนิกายหรือตระกูล แต่นางอาศัยกำลังของตัวเองพลิกสถานการณ์ที่พ่ายแพ้อยู่จนนำชัยชนะครั้งแรกมายังฝั่งมนุษย์ได้ ทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกนับถือ

อู่หงตอบอย่างไม่ใส่ใจสองสามประโยคแล้วนั่งขัดสมาธิ สนใจเพียงฟื้นพลังให้ตนเอง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ลอบสำรวจพลังเวทในร่างเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงกินโอสถลงไปอีกสองสามเม็ด จากนั้นเดินไปนั่งทำสมาธิไกลๆ

……

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น

โอสถจินหยวนกับโอสถอื่นอีกสองชนิดทำให้พลังเวทในร่างเขาฟื้นคืนมาเกินครึ่ง พลังจิตที่เสียไปก็เติมเต็มขึ้นมาบ้างแล้ว

“สหายหลิ่ว เจ้าตื่นแล้วหรือ” ชายหนุ่มแซ่หลี่คนนั้นเห็นหลิ่วหมิงลุกขึ้นจึงก้าวเข้าไปหาแล้วเอ่ยทัก

หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อยให้เขา ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง กลับมีเสียงพลังเวทปะทะกันรุนแรงดังลอยมาจากไกลๆ ดึงความสนใจของเขา เขาอดไม่ได้มองตามเสียงไป

ท้องฟ้าเหนือพื้นที่ว่างระหว่างเผ่ามนุษย์กับปีศาจ แสงสีขาวกับสีดำสองสายกำลังปะทะกันไปมาอย่างดุเดือด ลำแสงพุ่งไปรอบด้าน เสียงกึกก้องสะเทือนฟ้าดังออกมาเป็นระยะ

ผู้ฝึกฝนคนอื่นที่อยู่รอบด้าน นอกจากสองคนที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ คนที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนชมการต่อสู้บนท้องฟ้าอยู่อย่างเคร่งเครียด

“สหายหลี่ ตอนนี้สถานการณ์การประลองเป็นอย่างไรแล้ว” หลิ่วหมิงถามหลี่หย่งหงที่อยู่ด้านข้าง

เมื่อครู่เพื่อฟื้นพลังเวทให้ได้เร็วที่สุด เขาจึงทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการใช้วิชา นอกจากแบ่งสมาธิบางส่วนสังเกตสิ่งผิดปกติรอบตัวก็ไม่ได้สนใจสถานการณ์ของการประลองบนลานกว้าง

ทว่าเขายังสัมผัสได้เลือนรางว่าตนนั่งทำสมาธิมาราวสองชั่วยามแล้ว

“ตอนนี้การประลองเจ็ดรอบสู้กันไปแล้วหกรอบ ตอนนี้เหลือแต่สหายซุนประลองกับหัวหน้าเผ่าหมีเถื่อนตนนั้น” ชายหนุ่มแซ่หลี่มองบนท้องฟ้าแล้วเอ่ยเช่นนี้

“อ้อ? ก่อนหน้านี้ผลเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงได้ยินพลันสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม

“ไม่ดีนัก การประลองหกรอบ พวกเราฝั่งนี้มีเพียงสหายอู่หงกับสหายเยี่ยจากนิกายปีศาจลี้ลับที่ชนะได้สองรอบ แต่พวกเราก็แพ้ไม่น่าเกลียดนัก อย่างน้อยฉากหน้าก็นับว่าพอผ่านไปได้” ผู้ฝึกฝนแซ่หลี่ถอนหายใจ

หลิ่วหมิงไม่พูดอะไรอีก สายตากลอกรอบหนึ่งก็จับอยู่บนร่างทั้งสองคนที่อยู่กลางท้องฟ้า

ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนบนท้องฟ้ากำลังถึงของบางสิ่งที่ทอแสงเรืองๆ อยู่ในมือ ประกายแสงสีขาวสะดุดตายาวเฟื้อยเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในโรมรันกับบุรุษกำยำผิวดำของเผ่าหมีเถื่อนอย่างไม่ลดละ

เวลานี้บุรุษกำยำผิวดำเผยสภาพครึ่งปีศาจออกมาแล้ว ไม่เพียงทั้งศีรษะกลายเป็นหัวหมีดุร้าย ร่างกายยังมีขนแข็งหนาสีดำงอกออกมา อุ้งเท้าหมีหนาสองข้างตวัดตบ ส่งเงาอุ้งเท้าสีดำที่ชวนให้คนตาลายข้างแล้วข้างเล่าออกมา

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ บุรุษกำยำผิวดำตนนี้ไม่เพียงพลังเวทล้ำลึกอย่างยิ่ง กระบวนท่าก็ไม่ช้าเลย อาศัยเพียงอุ้งเท้าคู่หนึ่งก็ปะทะตรงๆ กับประกายแสงสีขาวที่พุ่งออกมาจากในมือผู้ฝึกฝนแซ่ซุนได้อย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เข้าปะทะเกิดเสียงอสนีบาตดังกึกก้อง

แม้บุรุษกำยำผิวดำจู่โจมอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่ประกายแสงสีขาวที่ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนส่งออกมาก็แปรเปลี่ยนได้ไม่สิ้นสุด ไม่เพียงรับการโจมตีทั้งหมดของบุรุษกำยำผิวดำได้ แต่ยังไม่ตกเป็นรองอีกฝ่ายเลยสักนิด

หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแสงสีดำเลือนรางจึงมองเห็นสิ่งที่ทอแสงอยู่ในมือผู้ฝึกฝนแซ่ซุนชัด มันคือกระจกสี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งฉื่อกว่าบานหนึ่ง ด้านหน้าของกระจกราบเรียบดั่งผิวน้ำ แสงสีขาวขยับเคลื่อนอยู่ด้านใน ส่วนด้านหลังวาดภาพสัญลักษณ์สรรพสัตว์และบุปผาไว้ เห็นไอมงคลชัดเจน

“กระจกผนึกแสง!” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำ

“สหายหลิ่วรู้จักสมบัติชิ้นนี้ด้วย ไม่เสียทีเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ รอบรู้กว้างขวางจริงๆ!” ผู้ฝึกฝนแซ่หลี่ตกตะลึงจากนั้นก็ส่งสายตาชื่นชมมาให้

“ฮ่าๆ เคยได้ยินมาบ้างเท่านั้น” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ

“จะว่าไปแล้ว ข้าก็เคยได้ยินผู้อาวุโสในบ้านพูดถึงสมบัติชิ้นนี้ของสำนักเฮ่าหรานเหมือนกัน ได้ยินมาว่าแสงเทวะชำระล้างที่กระจกวิเศษนี้ส่องออกมาชำระล้างปราณปีศาจและไอปีศาจทั้งมวลได้ แม้ผู้ฝึกฝนเผ่าหมีเถื่อนนั่นจะพลังเวทมากกว่าสหายซุนขั้นหนึ่ง แต่ข้ากลับรู้สึกว่าโอกาสที่ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนจะชนะมีมากกว่าอยู่บ้าง” ผู้ฝึกฝนแซ่หลี่หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยต่อ

“ในหมู่สี่ยอดนิกายใหญ่ วิชาของสำนักเฮ่าหรานสง่าผ่าเผยที่สุดมาตลอดจนได้ฉายาว่าเป็นพรรคธรรมะแห่งเผ่ามนุษย์ของเรา วิชามากมายล้วนมีประโยชน์ในการเอาชนะเผ่าปีศาจและเผ่ามารอย่างยิ่ง เหมือนกับที่กระจกผนึกแสงนี้แสดงออกมา” หลิ่วหมิงไม่ตอบรับคำพูดของชายหนุ่มแซ่หลี่ แต่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดเล็กน้อย

ผู้ฝึกฝนแซ่หลี่ได้ยินก็ตกตะลึง อดไม่ได้มองใบหน้าของหลิ่วหมิงแปลกๆ ครั้งหนึ่ง

ทว่าหลิ่วหมิงในเวลานี้กลับมีสีหน้าเป็นปกติ

ขณะที่ชายหนุ่มแซ่หลี่กำลังจะพูดอะไรต่อนั่นเอง ทันใดนั้นริมฝีปากของหลิ่วหมิงก็ขยับน้อยๆ ส่งกระแสจิตเอ่ยขึ้นว่า

“จริงสิ สหายหลี่ ก่อนหน้านี้ซากโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งที่เจ้าพูดถึง ข้าดูแผนที่ที่เจ้าให้มาแล้วมีข้อสงสัยบางประการอยากขอคำชี้แนะสักเล็กน้อย”

“ดูท่าพี่หลิ่วจะยินดีไปค้นหาสมบัติด้วยกันกับข้าแล้ว สหายมีข้อสงสัยอันใด ขอเพียงข้ารู้ย่อมบอกอย่างไม่ปิดบังแน่นอน” ชายหนุ่มแซ่หลี่ได้ยินก็ดีใจอย่างยิ่ง ส่งกระแสจิตตอบกลับมาเช่นกัน

หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยสนทนากับผู้ฝึกฝนแซ่หลี่หลายประโยค จากนั้นมือขวาก็สะบัดเล็กน้อย มุกผลึกมารร่วงลงมากลางฝ่ามืออย่างเงียบเชียบอีกครั้งแล้วกำไว้ด้วยนิ้วทั้งห้า ทันใดนั้นเท้าก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศ เดินไปหาบุรุษแซ่เยี่ยจากนิกายปีศาจลี้ลับคนนั้นที่อยู่ไม่ไกล

“เมื่อครู่ได้ยินว่าสหายเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจ แย่งชัยชนะรอบหนึ่งมาได้ น่ายินดีน่าฉลองจริงๆ!” หลิ่วหมิงยืนนิ่งเบื้องหน้าบุรุษแซ่เยี่ย ใบหน้าแย้มรอยยิ้มนิดๆ ประสานมือให้เล็กน้อย

“สหายหลิ่วชมเกินไปแล้ว!” บุรุษแซ่เยี่ยรั้งสายตากลับมาจากกลางท้องฟ้า ในดวงตาฉายแววสงสัยและระแวงออกมาจางๆ

อย่างไรระหว่างนิกายปีศาจลี้ลับกับหลิ่วหมิงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนนี้ก็ไม่มีส่วนใดเรียกได้ว่าปรองดองกัน

หลิ่วหมิงคล้ายไม่รับรู้ความเย็นชาของบุรุษแซ่เยี่ย เขาเอ่ยแสดงความยินดีอีกสองประโยคจึงผละออกไปช้าๆ ก้าวเท้าเดินไปหาอู่หงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

ผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยมองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงอย่างแปลกใจระคนสงสัยอยู่เนิ่นนานก่อนจะรั้งสายตากลับมาพร้อมคิ้วที่ขมวดมุ่น

หลิ่วหมิงดูเหมือนจะเดินวนท่ามกลางผู้คน เขาสนทนากับแต่ละคนประโยคสองประโยคตามใจก่อนจะเดินกลับมาที่เดิมใหม่แล้วมองการประลองบนท้องฟ้าต่อโดยไม่แสดงสีหน้าผิดปกติ

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดสำคัญแล้ว

หลังจากปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทั้งสองฝั่งต่างผละออกจากกัน

ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนสูดลมหายใจลึก สองมือประกบตรงหน้าอกพลิกไปมาอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง กลางฝ่ามือพลันมีแสงสีขาวหนาเท่านิ้วหัวแม่มือนับไม่ถ้วนพุ่งกระจายไปรอบด้าน แต่ทั้งหมดกลับพุ่งเข้าไปในกระจกสีขาวเบื้องหน้าอย่างประหลาด

ทันใดนั้นกระจกผนึกแสงพลันส่องแสงสีขาวเจิดจ้า มันสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง ด้านข้างก็มีกระจกแสงสีขาวอีกบานหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า

จากนั้นก็ตามมาด้วยบานที่สอง บานที่สาม…

สองสามลมหายใจให้หลัง เบื้องหน้าผู้ฝึกฝนแซ่ซุนก็ปรากฏกระจกแสงสีขาวหน้าตาเหมือนกันทุกประการแปดบานลอยวนขึ้นลงไม่หยุด แสงสีขาวที่พุ่งออกมาจากบนกระจกเจิดจ้าแสบตา

ขณะนั้นบุรุษกำยำผิวดำฝั่งตรงข้ามเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย คลื่นพลังเวทบนกระจกแสงสีขาวทำให้เขารู้สึกพรั่นพรึงอยู่เล็กน้อย

เขาตวาดแผ่วเบาคำหนึ่ง เคล็ดวิชาที่มือหยุดนิ่ง เมื่อป้ายเหล็กที่วาดภาพสัญลักษณ์ใบหน้าหมีสีดำขลับแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ยามนี้หัวใจถึงสงบลง

ทว่าไม่ทันที่เขาจะทำสิ่งอื่น ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนก็ส่งการโจมตีออกมาก่อนแล้ว เขาอ้าปากตะโกนออกมาคำหนึ่งว่า “ผสาน”

กระจกแสงแปดบานเบื้องหน้าสั่นไหววูบหนึ่ง ทันใดนั้นพวกมันพลันยิงแสงสีขาวสายหนึ่งออกมาพร้อมกัน แสงผสานกลายเป็นลำแสงมหึมาหนาหนึ่งจั้งเส้นหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปหาบุรุษกำยำผิวดำ

“ไป!”

บุรุษกำยำผิวดำตวาดเบาๆ คำหนึ่ง ป้ายเหล็กเบื้องหน้าพลันส่องแสงสีดำเจิดจ้า มันส่งเสียงดังฟู่ปราณดำผืนใหญ่ทะลักออกมากลายเป็นเงาใบหน้าหมีดุร้ายที่เสมือนหนึ่งมีชีวิตขนาดเท่าตึกในพริบตา

ใบหน้าหมีเพิ่งก่อตัว ลำแสงสีขาวก็โจมตีมาถึงมันแล้ว

ใบหน้าหมีสีดำกรีดร้อง จุดที่ถูกแสงสีขาวยิงโดนกลายเป็นหมอกควันสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าสลายไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกละลายกลายเป็นรูเบ้อเริ่มรูหนึ่ง

ทว่าใบหน้าหมีสีดำมหึมาอย่างที่สุด ปราณดำบริเวณอื่นทยอยเคลื่อนมารวมตัวกัน พริบตาเดียวก็ขวางการจู่โจมของลำแสงสีขาวไว้ได้

บุรุษกำยำผิวดำเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งจมลงไปในป้ายเหล็ก

ดวงตาทั้งสองข้างของเงาใบหน้าหมีที่ปรากฏอยู่กลางอากาศฉับพลันทอแสงเรืองรอง แสงสีโลหิตสองสายพุ่งออกมาแล้วเปลี่ยนรูปร่างกลางอากาศกลายเป็นอสรพิษน้อยขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือสองตัวดิ่งเข้าใส่ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนปานลูกธนู

ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา บนกระจกแสงสีขาวสองบานต่างมีลำแสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกไปประจันหน้ากับอสรพิษน้อยสีเลือด

“เปรี้ยง” “เปรี้ยง” เสียงดังขึ้นสองครั้งแทบจะในเวลาเดียวกัน!

อสรพิษน้อยสีเลือดทั้งสองตัวไม่ทันสัมผัสถูกลำแสงสีขาวก็ระเบิดตัวกลางอากาศกลายเป็นหมอกโลหิตสองก้อนกลืนเข้าหากันแล้วแผ่ออกมากลืนผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

บุรุษกำยำผิวดำเห็นเช่นนี้ บนใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย

หมอกโลหิตนี้แลดูธรรมดา แต่เขาสร้างมันขึ้นมาจากโลหิตบริสุทธิ์ของปีศาจอสูรที่มีพิษร้ายมากมายหลายชนิดที่รวบรวมมา ต่อให้สังหารคนผู้นี้ตรงหน้าไม่ได้ แต่ก็น่าจะกักอีกฝ่ายไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง

หลังจากนั้นบุรุษกำยำผิวดำจึงยิงพลังปีศาจเข้าไปในป้ายเหล็กในมือต่อเนื่องไม่ขาดสาย เงาใบหน้าหมีสีดำกลางอากาศฉับพลันขยายใหญ่ขึ้นแล้วแหงนหน้าคำรามก้อง หมายจะส่งการโจมตีออกมาอีกครั้ง

ในตอนนี้เองเสียงแค่นหยันก็ดังออกมาจากในหมอกโลหิต แสงสีขาวมากมายถี่ยิบพุ่งออกมารอบทิศพร้อมกับเสียงแหวกอากาศดังลั่น พริบตาเดียวทะลวงหมอกโลหิตจนเป็นรูนับร้อยพัน เผยร่างของผู้ฝึกฝนแซ่ซุนออกมาอีกครั้ง

“เป็นไปไม่ได้!!”

บุรุษกำยำผิวดำเห็นภาพตรงหน้าก็หลุดปากอุทานออกมาอย่างห้ามตนเองไม่อยู่