ตอนที่ 887 ลูกชาย

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“โต้วเอ่อตุนเจ้าหน้าน้ำเงิน ลักม้าจักรพรรดิ กวนอูเจ้าหน้าแดง ออกศึกเตียงสา เตียนอุยเจ้าหน้าเหลือง โจโฉเจ้าหน้าขาว เตียวหุยเจ้าหน้าดำ ร้องจาจา…”

ช่วงกลางฤดูร้อนแห่งเรือนสี่ประสาน นอกจากเสียงร้องของจักจั่นบนต้นไม้แล้ว ยังมีเสียงร้องเพลงงิ้วเปลี่ยนหน้าด้วย เดือนสิงหาคมของกรุงปักกิ่งร้อนแห้งดุจซึ้งนึ่ง แต่ใต้ต้นไม้ของเรือนสี่ประสานกลับเย็นสบาย

เยี่ยเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ โยกไปก็โยกมา แสงแดดฤดูร้อนส่องทะลุใบไม้ ผ่านค่ายกลมายังร่างกายเขา ดูแล้วไม่ร้อนมาก กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบาย

ข้างเยี่ยเทียน มีเปลวางอยู่หนึ่งอัน ในเปลมีเด็กชายอ้วนท้วนที่ตื่นนานแล้ว กำลังยื่นมือยื่นขาสุดกำลัง ยังไม่ครบหกเดือนก็เรียนรู้การพลิกตัว มือน้อยคู่นั้นจับเปลเอาไว้ ราวกับอยากจะยืนขึ้น

“ตัวแสบ จะให้พ่ออุ้มอีกแล้วเหรอ?”

เยี่ยเทียนมองดูเจ้าลูกชายที่ยืนไม่ขึ้นทำตาปริบๆ สายตาของเยี่ยเทียนเผยให้เห็นแววตาแห่งความเอาใจ เขาอดไม่ไหวจึงยื่นมือเข้าไปอุ้มลูกชายออกมาวางไว้ที่หน้าท้อง และให้ลูกชายคลานเล่นอยู่บนตัวอย่างอิสระ

“เกอๆ…เกอๆ!”

เยี่ยชิวยิ้มมีความสุขมาก ต่างจากเด็กคนอื่นที่ติดแม่ ตั้งแต่เกิดมา นอกจากตอนกินนมจะต้องหาอวิ๋ชิงหย่า เวลาอื่นถ้าเยี่ยเทียนอยู่บ้าน ยังไงก็ต้องให้คุณพ่อเป็นคนอุ้มเท่านั้น จนอวี๋ชิงหย่าน้อยอกน้อยใจลูกชาย

ตอนนี้เยี่ยชิวเข้าเดือนที่สี่ เขาโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน กำลังของมือเท้าแข็งแรงมาก จนคนอื่นมักคิดว่าเด็กคนนี้อายุ 8-9เดือนแล้ว

ตระกูลเยี่ยเพิ่งจัดงานฉลองครบร้อยวันไป ครั้งนี้ท่านประธานอู๋ไม่ได้มาร่วมงานด้วย แต่ว่า คนรู้จัก เพื่อนสนิทของเยี่ยเทียน เยี่ยตงผิง รวมถึงซ่งเฮ่าเทียนมาร่วมงานกันทุกคน จัดโต๊ะเลี้ยงฉลองถึงร้อยกว่าโต๊ะทีเดียว

เดิมทีเยี่ยเทียนไม่อยากเอิกเกริกมากนัก ใครจะไปคิดว่าท่านประธานอู๋ไม่ได้มาร่วมงานด้วยตัวเอง แต่ก็สั่งให้คนส่งภาพเขียนหนังสือของตัวเองมาให้ ภาพนั้นเขียนไว้ว่า

“ยินดีในลูกชาย สืบทอดกันต่อไป”

แขกที่มาร่วมงานต่างพากันอึ้ง โชคดีที่ท่านผู้เฒ่าซ่งอยู่ด้วย ทุกคนในงานจึงคิดว่าท่านมอบของขวัญชิ้นนี้ให้เพราะเห็นแก่หน้าของเขา

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร คุณชายแห่งตระกูลเยี่ยท่านนี้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในกรุงปักกิ่งไปเป็นที่เรียบร้อย ของขวัญที่ได้มาในวันนั้นกองจนสูงเป็นภูเขาอยู่ในห้องนอนทั้งหมดสามห้อง

ของขวัญเหล่านี้นอกจากของใช้เด็กทารกแล้ว ยังมีของเล่นแปลกประหลาดอีกมากมาย แม้กระทั่งเพื่อนทางธุรกิจของเยี่ยเทียนตงผิงท่านหนึ่ง ถึงกับให้รถยนต์ยี่ห้อฮัมเมอร์คันหนึ่ง ของขวัญชิ้นนี้ทำให้เยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิงทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

แต่หลังจากงานฉลองครบรอบวันนั้นผ่านไป ไม่มีใครกล้าตีสนิทกับตระกูลเยี่ยอีกเลย สาเหตุหนึ่งก็เพราะภาพเขียนหนังสือของท่านประธานอู๋กับตำแหน่งของซ่งเฮ่าเทียน สาเหตุสองผู้รากมากดีแห่งปักกิ่งที่คิดว่ามีสิทธิมาเยี่ยมเยียนนั้น ต่างก็ถูกแจ้งกล่าวเอาไว้แล้ว และรู้แล้วว่าเยี่ยเทียนไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปตีสนิทด้วย

“เว่ยเว่ย ในอนาคตลูกจะเก่งจนแซงพ่อหรือเปล่าน้า?”

เยี่ยเทียนมองหน้าลูกชายที่ยังพูดไม่ได้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง สาเหตุที่ลูกชายเข้าใกล้ตนมากเป็นพิเศษนั้น เขารู้ดีเพราะว่าเขาทำการล้างไขกระดูก(ในลัทธิเต๋า)ให้ลูกชายทุกวัน เพื่อรักษาร่างกาย(ระดับ)เซียนเทียนของลูกชายเอาไว้ไม่ให้ได้รับมลพิษใดในภายหลัง

และขณะเดียวกัน ตอนที่เยี่ยเทียนล้างไขกระดูกให้ลูกชาย เขาจะควบคุมปราณแท้ของตัวเองอย่างระมัดระวัง และเปิดเส้นชีพจรทุกเส้นของเจ้าลูกชาย ด้วยร่างของทั้งสองคนเป็นเซียนเทียนทั้งคู่ ทำให้ปราณแท้ที่ติดอยู่ตามเส้นชีพจร เริ่มเคลื่อนไหวตามร่างกายของเยี่ยชิว

นั่นเท่ากับว่า เยี่ยชิวที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่สามารถฝึกพลังวิชาได้แล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังนับว่าอยู่ระดับเซียนเทียนไม่ได้ เพราะลมปราณขุ่นในร่างของเยี่ยชิวจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น รูทวารบางจุดอาจตันและถอยกลับไประดับโฮ่วเทียนได้

แต่ด้วยพื้นฐานที่เยี่ยเทียนปูไว้ให้ เพียงแค่รอให้อายุเยี่ยชิวถึง16-17 ตอนที่ไขกระดูกเริ่มแข็งแรง ปราณแท้ที่สะสมอยู่ในร่างกายก็จะช่วยให้เขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้

เยี่ยเทียนรู้จากจิตวิญญาณว่า ทารกที่เกิดในเขตแดนแห่งทวยเทพ สาเหตุที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ก่อนใคร นั่นเพราะพวกเขาได้เริ่มฝึกก่อนมนุษย์หนึ่งระดับ เวลาจะเข้าระดับเซียนเทียนก็ง่ายกว่ามาก

แต่ฝึกจากเซียนเทียนเพื่อไประดับบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคนั้นหาใช่ความสามารถคนถึงจะช่วยได้ ซึ่งก้าวนี้จะต้องตรัสรู้ในมหามรรค เข้าใจในกฏแห่งสวรรค์ มีคนมากมาย ถึงแม้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ทั้งชีวิตของเขา ก็ใช่ว่าจะผ่านด่านจินตันไปได้ง่ายๆ

“เว่ยเว่ย มาให้น้าอุ้มหน่อยซิ!”

เกือบเที่ยงวันแล้ว หลิวหลันหลันที่เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลายวันที่ผ่านมาเธอมัวแต่เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนทุกวัน พอกลับมาถึง เธอตรงเข้ามาหาเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมอกของเยี่ยเทียนทันที แต่เจ้าตัวเล็กที่กำลังดื่มดำกับลมปราณของพ่อ ไม่ไว้หน้าหลิวหลันหลันเลยแม้แต่น้อย ตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ชุดใหญ่

“หลันหลัน โตจนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กซนอีก ดูสิ เว่ยเว่ยร้องไห้ใหญ่แล้วเนี่ย!”

เยี่ยตงเหมยรีบออกจากห้องครัวทันทีหลังจากได้ยินเสียงร้องไห้ของเจ้าตัวเล็ก พอมาถึงเธอก็เขกหัวลูกสาว และพูดว่า

“เยี่ยเทียน เว่ยเว่ยบอบบางไปหรือเปล่า พอเธออยู่ด้วย เว่ยเว่ยก็ไม่เอาใครเลย แล้วถ้าเธอไปข้างนอกจะทำยังไง?”

ด้วยลมปราณที่อยู่ในตัวของเจ้าตัวเล็กมันบริสุทธิ์มากถึงที่สุด ทุกคนที่อยู่ในเรือนสี่ประสานต่างก็ชอบเจ้าตัวเล็กกันหมด ฉะนั้นคนที่หึงเยี่ยเทียนไม่ได้มีแค่อวี่ชิงหย่า ผู้หญิงทุกคนในเรือน ไม่มีใครแสดงท่าทีพอใจต่อเยี่ยเทียนเลยสักคน

“อาหญิงเล็ก รอเว่ยเว่ยโตหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ”

เยี่ยเทียนยิ้ม ไม่อธิบายเพิ่มเติม พอเห็นแม่กำลังเดินออกมาจากห้องนอน เขารีบอุ้มลูกชายขึ้นและพูดว่า

“อาหญิงเล็กครับ เว่ยเว่ยต้องกินนมแล้ว ผมพาเขาไปหาชิงหย่าก่อนนะครับ!”

โบราณกล่าวไว้ว่าหญิงสามคนอยู่ด้วยกันต้องมีเรื่องเป็นแน่ ถ้าอาหญิงใหญ่ออกมาอีกคน หูของเยี่ยเทียนก็อย่าหวังว่าจะเงียบสงบ ทางที่ดีรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง การหนีคือสุดยอดกลยุทธ์

ลูกชายกินนม ส่วนเยี่ยเทียนนอนหลับข้างภรรยา ตั้งแต่ตั้งท้องจนคลอดลูก เยี่ยเทียนไม่ได้ฝึกวิชาอีกเลย ปราณแท้ทั้งหมดในร่างกายเขาทำการเก็บเอาไว้ในตันเถียน และใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง

หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ลูกชายเกิดไปแล้ว เยี่ยเทียนค้นพบว่า ระดับจิตใจของเขา เพิ่มขึ้นมาหลายระดับ สัจธรรม“เกิดแก่เจ็บตาย” ทำให้เขาเริ่มเห็นหลายสิ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตเห็นเลย

“เยี่ยเทียน ลูกชายเราทำไมเหมือนนายเลย เหมือนเด็กไม่กินอาหารมนุษย์”

หลังจากป้อนนมเสร็จ อวี๋ชิงหย่าพลักเยี่ยเทียนที่นอนเอนเธอออก เพราะพอกินนมเสร็จ เจ้าลูกชายมุดเข้าอ้อมอกของพ่อทันที ซึ่งทำร้ายความรู้สึกของผู้เป็นแม่อย่างอวี๋ชิงหย่ามาก

“เหมือนฉันไม่ดีเหรอ วันหลังจะได้หาลูกสะใภ้สวยๆได้ไง”

เยี่ยเทียนรีบเปลี่ยนประเด็นทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจของภรรยา เขาพูดว่า

“ชิงหย่า ฉันว่าเธอฟื้นฟูเร็วมากเลยนะ เธอดูสิ นี่เพิ่งผ่านไปกี่เดือนเอง รอยแตกลายก็หายไปหมดเลย ไหน ให้ฉันลองจับดูหน่อย!”

ปราณวิเศษของเยี่ยเทียนหล่อเลี้ยงร่างกายของอวี๋ชิงหย่าทุกวัน จึงทำให้ร่างกายของเธอฟื้นฟูเร็วมาก จนเว่ยหรงหรงยังรู้สึกอิจฉา เพราะตอนที่เธอคลอดลูกเสร็จ ตัวเธอบวมเกือบปีกว่า ตอนหลังเธอใช้วิธีอดอาหาร ถึงลดลงมาได้

“อยากตายหรือไง กลางวันแสกๆ”

หลังจากคลอดลูกเสร็จ ร่างกายของอวี๋ชิงหย่าไวต่อความรู้สึกมาก ตอนที่ถูกเยี่ยเทียนสัมผัสท้องน้อย เธออ่อนระทวยไปทั้งตัวจนอิงเอนไปอยู่ที่ตัวของเยี่ยเทียน

“กลางวันแล้วทำไมล่ะ ไม่มีใครมาด้านหลังนี้หรอก”

เยี่ยเทียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อก่อนตอนที่เสี่ยวจินกับเหมาโถวอยู่ด้วย เขาไม่กล้าทำแบบนี้ แต่ช่วงก่อน เยี่ยเทียนส่งเจ้าสองตัวนั้นไปฮ่องกงแล้ว จึงไม่มีใครสามารถสอดส่องว่าด้านหลังเกิดอะไรขึ้น

เมื่อเห็นลูกชายกินอิ่มนอนหลับ เยี่ยเทียนเริ่มเคลื่อนมือลงไป ร่างกายเริ่มกดทับ ไม่นาน ก็มีเสียงหายใจแรงดังขึ้นเป็นระยะ

“ดูสิ ทำลูกตื่นเลย!”

ช่วงเวลาอันมีความสุขผ่านไปไม่นาน เสียงหายใจแรงก็เงียบลง อวี๋ชิงหย่าพบว่าลูกชายที่นอนอยู่บนเปลที่ห่างไปไม่มาก กำลังมองเธอกับเยี่ยเทียนอยู่ ทั้งสองคนแอบเขินอาย

“เด็กที่กินนม จะรู้เรื่องอะไรกัน”

เยี่ยเทียนเบ้ปากพูดต่อว่า

“คุณภรรยา ผมคงต้องไปข้างนอกสองสามวัน ดูแลเว่ยเว่ยดีดีนะ”

“ฉันดูแลลูกดีอยู่แล้ว”

อวี๋ชิงหย่าตอบ จากนั้นเธอเหมือนคิดได้บางอย่าง คว้าแขนเยี่ยเทียนและพูดว่า

“นายจะไปไหนอีกแล้ว ไม่ได้ ฉันไม่ให้นายไป”

คนอื่นไปทำงานต่างจังหวัด ไปนานสุดก็สิบวันหรือครึ่งเดือน แถมยังโทรศัพท์ถามไถ่กันได้ แต่เวลาเยี่ยเทียนไปข้างนอก หาคนไม่เจอไม่พอ ไปครั้งหนึ่งไปเป็นปี แล้วเวลากลับมาบ้าน บาดแผลเต็มตัว ฉะนั้นพอได้ยินว่าเยี่ยเทียนจะออกไปข้างนอก อวี๋ชิงหย่าไม่พอใจทันที

“มันจำเป็น นอกเสียจากว่าเราไปอยู่ในป่าเขา ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ต้องประนีประนอมกันหน่อย!”

เยี่ยเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาอยากยุ่งเรื่องไร้สาระแบบนี้ที่ไหนกัน? เขาแค่ตอบรับตาแก่เจ้าเล่ห์พวกนั้นไว้ว่าจะทำเพื่อประเทศหนึ่งครั้ง แล้วช่วงนี้เยี่ยเทียนรู้สึกจิตใจว้าวุ่น เขาเลยรู้ว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นแน่

“เยี่ยเทียน มีแขกมาที่บ้าน ออกมาหน่อย!”

เป็นเช่นนั้นจริงด้วย ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังอธิบายให้ภรรยาฟัง เสียงของเยี่ยตงผิงดังขึ้น

“งั้นนายรีบกลับมานะ”

อวี๋ชิงหย่าเป็นคนที่รู้อะไรควรไม่ควร เธอช่วยเยี่ยเทียนใส่เสื้อผ้า แต่สายตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยน้ำตา ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้ หนึ่งปีกว่าเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมากที่สุด

“ฉันไม่ได้จะไปเดี๋ยวนี้ซะหน่อย ไม่เป็นไรนะ ไปนานสุดสิบวันหรือครึ่งเดือนเอง”

เยี่ยเทียนกอดภรรยา จากนั้นลุกจากเตียง เมื่อกี้เขาถอดจิตไปครู่หนึ่ง เขารู้แล้วว่าใครมาหา ถ้าเขายังไม่ออกไปต้อนรับอีก พ่อผู้กระวนกระวายจนขมวดคิ้วอาจพุ่งเข้ามาถึงห้องนอนก็เป็นได้

เยี่ยเทียนเดินตามเยี่ยตงผิงมาถึงเรือนกลาง เขามองเจ้าหน้าที่เหล่านั้นด้วยสายตาไม่ชอบใจ ขมวดคิ้วและพูดว่า

“พ่อ ผมบอกแล้วไง อย่าปล่อยคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในบ้าน”

 ………………………..