บทที่ 1412 มิติฝูถู

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

เสียงหัวเราะพลิ้วหวานดังขึ้น

หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวด้วยชุดเสื้อยาวสีดำและกางเกงสีดำ เอวและช่วงขายาวอธิบายด้วยคำว่าสมบูรณ์แบบ ผมมัดเป็นหางม้าดูมีชีวิตชีวานัก

นางมีรูปลักษณ์ที่งดงามยิ่ง ดวงหน้าแย้มบานด้วยรอยยิ้ม ความเฉลียวฉลาดวูบไหวอยูในม่านตา ซึ่งสามารถบรรเทาอารมณ์ของคนที่มองได้

นางก็คือหลินจิ้งนั่นเอง

“ครั้งนี้เจ้าไม่ได้หนีออกจากบ้านมาใช่ไหม?” มู่เฉินยิ้มแซวพร้อมกับทำตาเล็กตาน้อย

“ไม่ได้หนีนะ!” หลินจิ้งย่นจมูกพลางก้าวถอยหลังเผยให้เห็นภาพเงาอีกด้านหนึ่ง เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นคนผู้นี้ ก็อดรู้สึกอะไรจะปานนั้นไม่ได้ แต่เมื่อมองให้ชัดเจนความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นประหลาด

เนื่องจากชายคนนี้สวมชุดสีขาว ใบหน้าดูงดงามอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกสวยในแวบแรก แต่หากมองดีๆ ก็จะรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นผู้ชาย

“นี่ท่านอาเตียว น้องชายร่วมสาบานของท่านพ่อข้าน่ะ” หลินจิ้งจับแขนอีกฝ่ายแกว่งไปมาแล้วหัวเราะเสียงใส ก่อนจะขยิบตาให้มู่เฉิน “สวยใช่ไหม?”

ทุกคนแสดงท่าทางกระอักกระอวน จะให้ตอบคำถามนี้ยังไง?

เมื่อชายรูปงามได้ยินคำพูดของหลินจิ้ง มุมริมฝีปากก็กระตุก ถ้ามีคนอื่นบอกเขาว่าสวยละก็ คงโดนจัดการตบสั่งสอนไปนานแล้ว แต่สำหรับหลานสาวตัวน้อยเขาไม่อยากแม้แต่จะตีนาง จึงได้แต่ถลึงตาใส่อย่างช่วยไม่ได้

“โฮ่ๆ นี่คงเป็นประมุขรองแคว้นหวูท่านหลินเตียวใช่ไหม?” เย่าเฉินยิ้ม

เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นสะท้าน เขาเคยได้ยินมาว่าประมุขรองแคว้นหวูก็มาจากพิภพเขตล่างเช่นกัน มิหนำซ้ำยังเป็นเทพอสูรเพียงพอนฟ้า เมื่อเข้ามายังมหาพันภพก็ได้พัฒนาการเป็นมหาเทพอสูรของที่นี่ ในแง่ของความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเลยทีเดียว

“หลินเตียวคารวะผู้อาวุโสเย่า” หลินเตียวประสานมือพร้อมกับดึงไอเย็นที่มีก่อนหน้ากลับคืน

จากนั้นเขาก็หันไปหามู่เฉินพลางกวาดสายตา “ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นมู่เฉินใช่ไหม?”

“คารวะผู้อาวุโสหลินเตียวขอรับ” มู่เฉินพยักหน้า

“พรสวรรค์ยอดเยี่ยม มิน่าแม้แค่หลินต้งยังประเมินเจ้าไว้สูงมาก” หลินเตียวกล่าวชื่นชม ด้วยสายตาเฉียบแหลมเขาสามารถบอกได้ว่ารากฐานของมู่เฉินแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่ก็สามารถบรรลุขั้นเซิ่งในอนาคตได้แน่นอน

“เราได้รับข้อความของเจ้า แคว้นหวูจะให้การสนับสนุน”

เย่าเฉินยิ้มอย่างอบอุ่น “หากต้องการอะไร แคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็จะช่วยเช่นกัน”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า การมาเยือนเผ่าฝูถูครั้งนี้เป็นเรื่องที่อันตราย แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ่อนแอเกินไปหากต้องการฉีกหน้ากับเผ่าโบราณนี้

ดังนั้นก่อนที่เขาจะเดินทางก็ได้ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวูและแค้วหวู่จิ้งฮั่ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงมาตราการการป้องกันเท่านั้น ในกรณีที่เผ่าฝูถูเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวพวกเขาหรอก

“งั้นข้าขอแสดงความขอบคุณ ครั้งนี้ข้าเป็นหนี้บุญคุณแล้ว” มู่เฉินคารวะด้วยมารยาทให้กับหลินเตียวและเย่าเฉิน

เซียวเหยียนและหลินต้งให้ความคุ้มครองแก่เขาเพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเซียวเซียวและหลินจิ้งไว้ แต่เขาก็ได้รับความช่วยเหลือตอบแทนมาแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะต้องเป็นหนี้บ้าง

“ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหนี้บุญคุณแล้ว” หลินเตียวยิ้ม คำพูดนี้ชัดเจน ในมหาพันภพไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวูและแคว้นหวู่จิ้งฮั่วได้ ทว่ามู่เฉินสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่วัยเท่านี้ อนาคตเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์ที่มีศักยภาพแน่นอน ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติที่จะให้ความช่วยเหลือ

มู่เฉินพยักหน้า “ในอนาคตถ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็จะทำเต็มความสามารถ”

หลิงซีและหลงเซี่ยงอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้ามาที่เผ่าฝูถู เพราะว่าเขาวางแผนเตรียมพร้อมทุกฝีก้าวเลยทีเดียว

ด้วยการสนับสนุนจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู ก็ไม่ต้องกลัวการข่มขู่จากเผ่าฝูถูแล้ว

หลิงซีมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาพอใจ ใครจะคิดได้ว่าชายหนุ่มที่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางเพื่อท่องยุทธภพจะเติบโตขึ้นแล้วในตอนนี้? มากจนถึงขนาดที่เขาสามารถเชิญขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสองของมหาพันภพและยืนเคียงข้างยักษ์ใหญ่ทั้งสองได้ กระทั่งเผ่าฝูถูก็ยังไม่กล้าเผยอหน้ามอง

“ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าเข้าสู่มิติฝูถูกันเถอะ” เย่าเฉินยิ้ม

ทุกคนพยักหน้า ผู้ดูแลก็รี่เข้ามาเรียกเรือหรูหราที่สุดให้

ขั้วอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าหมัวเฮอแต่อย่างใด ในบางแง่มุมแม้แต่เผ่าโบราณทั้งห้าก็ยังหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรรพรรดิสงคราม

สำหรับพวกมู่เฉินทั้งสามคน พวกเขาได้นั่งบนเรือที่หรูหราที่สุดเนื่องจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูชักชวน ทิ้งสายตาอิจฉาจำนวนมากไว้

เรือแล่นไปอย่างรวดเร็วถึงประตูทางเข้าในเวลาไม่กี่นาที จากนั้นก็แล่นเข้าไปช้าๆ

เมื่อเรือเข้าไป พลังทรงประสิทธิภาพก็กวาดออกไป ทำให้ดวงตาของเย่าเฉินและหลินเตียวหดลงเลยทีเดียว

“นี่คือค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถู” มู่เฉินก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาหรี่ตามองไปในความว่างเปล่า ความสำเร็จในด้านค่ายกลของเขามาถึงขั้นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสได้คลุมเครือว่ามีค่ายกลขนาดใหญ่ปกป้องพื้นที่นี้อยู่

ค่ายกลพิทักษ์นี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิงก็ไม่สามารถทำลายได้

“มีหลายวิธีในการใช้ค่ายกลพิทักษ์ เห็นได้ชัดว่าคนรุ่นหลังได้ค่อยๆ ปรับปรุงจนสมบูรณ์แบบ” มู่เฉินหลับตาสัมผัสค่ายกล ก่อนที่ดวงตาเขาจะสั่นสะท้าน

เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยที่มาจากมัน

“ท่านแม่สินะ… ท่านแม่เข้าร่วมในการทำให้ค่ายกลพิทักษ์นี้ให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังชัดเจนมาก คงไม่ได้ผ่านมานานเท่าไร” สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่รอยยิ้มแปลกประหลาดจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก จากนั้นก็สลายการสัมผัสไป เพราะกลัวว่าจะโดนคนอื่นจับได้

เมื่อเรือแล่นเทียบท่าทัศนียภาพก็เปลี่ยนไป ราวกับว่าพวกเขาเข้าสู่อีกโลกหนึ่งพร้อมด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์ลอยอวลเติมมิติ

“สมกับเป็นหัวใจของเผ่าฝูถูแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจกับฉากนี้ แม้แต่วังสวรรค์บรรพกาลก็ยังขาดเมื่อเทียบกับมิติฝูถูแห่งนี้

ทว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะวังสวรรค์บรรพกาลถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิฟ้า หลังจากนั้นท่านก็สละชีวิต ไม่มีใครช่วยสานต่อ ดังนั้นจึงสึกกร่อนไปตามกาลเวลา ซึ่งตรงกันข้ามกับมิติฝูถูที่ได้รับการจัดการอย่างดีในช่วงหลายหมื่นปี ดังนั้นจึงแข็งแกร่งกว่าวังสวรรค์บรรพกาลโดยธรรมชาติ

เรือแล่นข้ามขอบฟ้าไม่นานก็แล่นช้าลง มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงความเร็วที่ลดลงกะทันหัน พวกเขาพากันมองขึ้นไปข้างหน้า

เทือกเขาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าครรลองสายตาพร้อมกับเจดีย์สีดำขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายไป

ทั่วทั้งฟ้าดินพร้อมกับกลิ่นอายโบราณลอยฟุ้ง

เมื่อเรือจอดเทียบท่า ร่างแสงก็ทะยานมาจากระยะไกลพลิ้วตัวลงบนเรือ

“ขงคงจากเผ่าฝูถูทักทายผู้เฒ่าเย่าและท่านหลินเตียว”

เขาเป็นชายสูงวัยที่มีผมสีดำแซมขาว แรงกดดันทรงพลังเปล่งออกมาจากร่างกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง

“อา…ผู้อาวุโสขงคง” เย่าเฉินและหลินเตียวพยักหน้ารับ

มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสขงคงก่อนที่จะกวาดสายตาไปที่ด้านหลังก็ต้องอึ้งไปชั่วครู่ เขาเห็นคนคนหนึ่งเบิกตากว้างกำลังมองมาที่เขา

“ชิงซวง”

มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวพร้อมกับสายตากะพริบวูบไหว เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับชิงซวงตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาเหยียบเผ่าฝูถู

“ทุกคนมาไกลไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

ผู้อาวุโสขงคงให้ความสุภาพกับเย่าเฉินและหลินเตียวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน “พ่อหนุ่มดูไม่คุ้นหน้านะ มีเทียบเชิญไหม?”

“เขาเป็นสหายน้อยของพวกเรามาที่นี่เพื่อชมพิธีน่ะ” เย่าเฉินยิ้ม

ขงคงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่แววตาจะจางลง ไม่มีกระทั่งเทียบเชิญ คงมาจากแค่ขั้วอำนาจธรรมดา

“โปรดตามข้ามา”

ขงคงหันหลังทะยานไปยังภูเขาสูงตระหง่านที่เต็มไปสวนที่ตกแต่งอย่างหรูหราสำหรับแขกสำคัญ

“ชิงซวงนำแขกทั้งสามคนไปที่สวนพักขั้นตี้เถอะ”

ขงคงกล่าวกับชิงซวง เขาต้องการต้อนรับกลุ่มเย่าเฉินและหลินเตียว สำหรับกลุ่มมู่เฉิน เขาไม่จำเป็นต้องรับเป็นการส่วนตัว

ชิงซวงพยักหน้านำทางไป

มู่เฉินพยักหน้าให้เย่าเฉินและหลินเตียว ก่อนที่เขาจะออกไปกับหลิงซีและหลงเซี่ยง

ทั้งกลุ่มลัดเลาะมาถึงสถานที่ที่ไม่มีผู้คน ก่อนที่ชิงซวงจะหยุดแล้วหันขวับมามองมู่เฉินอย่างโกรธเคือง “เจ้าอยากตายจริงๆ ใช่ไหม! ทำไมถึงมาที่เผ่าฝูถู?!”

“เจ้ากำลังเหวี่ยงตัวเองเข้ามาในตาข่ายชัดๆ!”