ในลานส่วนใหญ่พื้นเพเหนือธรรมดา หนำซ้ำล้วนเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรทั้งสิ้น ยามนี้กลับถูกเย้ยว่า ‘ชวนมองไม่ชวนสู้’ ในใจย่อมไม่เบิกบานเป็นธรรมดา!
แต่ยามที่เห็นอาหลู่ซึ่งรูปร่างหยาบใหญ่บึกบึน แต่งตัวเหมือนคนเถื่อนที่มาจากป่าดงพงไพรหุบเขาลึก คนส่วนหนึ่งก็อดยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้าไม่เอ่ยคำ คร้านจะสนใจ
เจ้าคนที่ดูหยาบโลนคนหนึ่ง จะสนใจไปไย
เสื่อมเกียรติตนเสียเปล่าๆ
แต่ก็มีคนไม่พอใจ หัวเราะเสียงเย็นเย้ยหยันว่า “เจ้าบ้านนอก นี่มันยุคไหนกันแล้ว ยังสวมชุดหนังสัตว์มอซอสุดจะทน พูดจาก็หยาบกระด้างเบาปัญญาเช่นนี้ ทำตัวน่าขายหน้าชัดๆ น้ำหน้าอย่างเจ้ายังกล้าหมิ่นเกียรติพวกข้าด้วยหรือ น่าขันสิ้นดี”
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มสวมชุดดำดิ้นทอง เป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณคนหนึ่งเช่นกัน ข้างกายรายล้อมด้วยบริวารกลุ่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเย่อหยิ่งและสูงศักดิ์
อาหลู่อึ้งงัน เอี้ยวหัวไปถามเซียวชิงเหอ “นี่เขากำลังด่าข้าหรือ”
เซียวชิงเหอรีบกล่าวเป็นพัลวัน “เจ้าอย่าก่อเรื่องเชียว ในเขตหวงห้ามไร้มรณะไม่อนุญาตให้ต่อสู้ฆ่าแกงกัน ทันทีที่ลงมือก็จะถูกกฎระเบียบมหามรรคของที่แห่งนี้ขับไล่ออกไป ถึงตอนนั้นเจ้าก็เข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไม่ได้แล้ว…”
ไม่รอให้พูดจบชายหนุ่มชุดดำดิ้นทองที่อยู่ตรงข้ามก็หัวเราะหยันตัดบท “ที่แท้ก็เป็นเจ้าโง่บรมคนหนึ่ง ไม่รู้อะไรสักอย่าง”
อาหลู่แสยะยิ้ม เผยให้เห็นเนื้อฟันขาวผ่องสองแนว บนใบหน้าหยาบกร้านเจือแววเหยียดหยันเต็มเปี่ยม ถ่มน้ำลายไปทางชายหนุ่มชุดดำอย่างฉุนเฉียว โพล่งผรุสวาท “หลานชาย รอตอนขึ้นเขาก่อนเถอะ ปู่จะซัดพวงไข่เจ้าระเบิดกระจุยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!”
เจ้าหมอนี่ดิบเถื่อนจริงๆ!
กลุ่มคนในลานต่างขมวดคิ้ว นี่เป็นถึงภูเขาเทพไร้มรณะ คนหนุ่มสาวในลานต่างเป็นบุคคลเฉิดฉายประหนึ่งหงส์มังกรกลางมวลมนุษย์ ไหนเลยจะคิดได้ว่าถึงกับมีคนถ่มน้ำลายหยาบคายเช่นนี้
และหญิงสาวส่วนหนึ่งที่ได้ยินคำพูดกระโชกโฮกฮากของอาหลู่ก็เบิกตาโพลง ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนกล้าเอ่ยวาจาสกปรกสุดจะทนเช่นนี้ออกมาต่อหน้าพวกนาง
“เจ้า… บังอาจ!”
ชายหนุ่มชุดดำโกรธจนแทบจมูกเบี้ยว เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขาเบี่ยงหลบทัน คงเกือบถูกน้ำลายนั่นติดบนตัวเข้าให้แล้ว แค่คิดก็พาให้ผู้คนขยะแขยง
อาหลู่กลอกตา กล่าวอย่างดูเบาว่า “บังอาจแล้วอย่างไร ปู่พูดจริงทำจริง หากไม่ซัดเจ้าจนไข่กระจุยสิ้นชีพ ข้าก็ไม่ใช่ปู่เจ้าแล้ว!”
ผู้คนได้ยินแล้วจนวาจาไปชั่วขณะ เจ้าหมอนี่ก็ช่างข่มเก่งเหลือเกิน ไม่ว่าจะตีอีกฝ่ายจนตายหรือไม่ เขาก็อุปโลกน์ตนเป็นปู่ของอีกฝ่าย วาจาจาบจ้วงจริงๆ
พลันเห็นชายหนุ่มชุดดำโมโหจนแทบคลั่ง หลินสวินและเซียวชิงเหอรีบร้อนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ลากอาหลู่มายังพื้นที่อีกฝั่งที่อยู่ไกลๆ
อาหลู่ไม่พอใจอยู่บ้าง บ่นอุบกล่าวว่า “ลากข้าทำไม หากเอ่ยถึงวิชาด่า แม้แต่ทายาทเผ่าเสียงคำรามก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า พวกเจ้าเองก็รู้ เผ่าเสียงคำรามวิปริตเพียงใด อ้าปากก็ล้วนคำรามจนแผ่นดินแตกกระจุย พาให้สุริยันจันทราสั่นสะเทือน แต่พอพวกเขาเจอข้าก็ได้แต่รับคำด่าหนีอุตลุดเท่านั้น”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาก็อดลำพองขึ้นมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าภาคภูมิใจต่อวิชาด่าของตนยิ่ง
และเวลานี้ ในที่สุดเซียวชิงเหอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกครั้งตนถึงถูกอาหลู่ทำให้โมโหจนอยากต่อยคน ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็เป็นพวกวาจาจัดจ้านคนหนึ่งนี่เอง!
บรรดาผู้กล้าที่อยู่เชิงเขาภูเขาเทพไร้มรณะมาจากสำนักโบราณที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเกาะกลุ่มกันเป็นหมู่เหล่า ต่างฝ่ายต่างครอบครองพื้นที่แถบหนึ่ง ต่างพากันวางตัวเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง
ในพื้นที่ฝั่งนี้ของพวกหลินสวิน เมื่อเทียบกันแล้วเห็นชัดว่าร้างผู้คน มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าในที่สุดก็เงียบสงบเสียที ใครเลยจะคิดว่าผู้ฝึกปราณหญิงของเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งดันส่งเสียงร้องแหลมออกมาเต็มคอหนึ่งครา วิ่งแจ้นมาทางฝั่งเขา
“สวรรค์ เป็นเจ้า เทพมารหลิน! เจ้าก็มากับเขาด้วย! ข้าถามคำถามเจ้าส่วนหนึ่งได้หรือไม่ วางใจเถิด หากเจ้าไม่เต็มใจตอบข้าก็จะไม่บังคับเด็ดขาด”
ริมฝีปากของนางแดงดุจเพลิง นัยน์ตางามพราวระยับ รูปโฉมมีเสน่ห์เย้ายวน เวลานี้กลับมีอาการระรี้ระริกเกินเหตุ
“อะไรนะ เข้าก็คือเทพมารหลินคนนั้นหรือ”
“เป็นเขาจริงหรือ”
“ไม่หรอกกระมัง คนดิบเถื่อนนั่นก็คือเทพมารหลินหรือ ถ่มน้ำลายก็ไพร่สถุลเกินไปแล้ว!”
“เจ้าโง่ เทพมารหลินคือเจ้าหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เจ้าคนป่านั่นต่างหาก”
ในลานปั่นป่วน สายตาคู่แล้วคู่เล่าต่างรวมตัวกันบนร่างหลินสวินจากทุกทิศทางไม่ขาดสาย ในแววตาเจือความสงสัยใคร่รู้ ตกใจ และฉงนสนเท่ห์
ก่อนหน้านี้การแสดงออกของอาหลู่เรียกได้ว่าสะดุดตา พาให้พวกเขาถูกดึงดูด ไม่อาจจดจำตัวตนของหลินสวินได้ในคราแรก จนกระทั่งตอนนี้ถึงเพิ่งมีปฏิกิริยา
เทพมารหลิน!
ในแดนชัยบูรพาชื่อนี้ล้วนสามารถใช้คำว่า ‘ร้อนเร่ารุนแรง’ มาบรรยายได้เลยทีเดียว ชักนำคลื่นลมตั้งไม่รู้เท่าไร ได้รับความสนใจจากทั่วสารทิศ
แต่เวลานี้พอได้เห็น พวกเขากลับยากจะเชื่อมโยงหลินสวินซึ่งมีรูปลักษณ์หล่อเหลาบุคลิกนิ่งเงียบ เข้ากับ ‘เทพมารหลิน’ ที่อาละวาดไปทั่ว อานุภาพคับฟ้าในคำเล่าลือได้เลย
ตรงกันข้ามกันลิบลับเกินไป พาให้ผู้คนยากจะจินตนาการ
“เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ”
แม้แต่อาหลู่ก็ยังตกใจ สายตามองสำรวจหลินสวินก่อนกล่าวว่า “เพียงแต่… ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนหนุ่มหน้ามนคนหนึ่ง”
หน้าผากหลินสวินผุดเส้นสีดำ เอ่ยวาจากับผู้ฝึกปราณหญิงเผ่าวาทวาโยคนนั้น “ตอนนี้ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักพัก โปรดออกไปก่อนด้วย”
ผู้ฝึกปราณหญิงทรงเสน่ห์ไม่เคืองขุ่น ตรงข้าม ผิวหน้านางค่อนข้างหนาทีเดียว หัวเราะระริกกระแซะเข้าใกล้หลินสวิน กล่าวว่า “ไม่เอาน่า ข้าถามเพียงสามข้อ ถามจบข้าก็จะไป”
หลินสวินขมวดคิ้ว รู้สึกปวดหัวน้อยๆ เขาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าเหตุใดเผ่าวาทวาโยนี้ถึงได้กระเหี้ยนกระหือรือต่อการสืบเสาะข่าวสารเช่นนี้
“เจ้าไม่กลัวล่วงเกินข้าหรือ” หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ไม่กลัว ถึงอย่างไรในเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ก็ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กัน ยิ่งกว่านั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าเองคงไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิงอ่อนแออย่างข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยหรอกกระมัง”
หญิงสาวทรงเสน่ห์ทำท่าเจ้าเล่ห์แสนกล
หลินสวินทอดถอนใจ ตั้งท่าจะพูดอะไร ก็เห็นอาหลู่เดินขึ้นมา กล่าวว่า “เสียแรงที่เจ้าเป็นถึงเทพมารหลิน แม้แต่ผู้หญิงคนเดียวยังเอาไม่อยู่ ดูข้านะ”
กล่าวพลาง เขาเอื้อมท่อนแขนสีทองแดงที่หนาปานหินผาออกไปรัดรวบเอวคอดของหญิงสาวทรงเสน่ห์ ยื่นใบหน้าที่มีแต่ตอหนวดไปเบื้องหน้าหญิงสาว สูดหายใจเข้าแรงๆ คราหนึ่ง จากนั้นเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่สัปดนสุดจะเปรียบกล่าวว่า “แม่นาง กายเจ้าช่างหอมนัก มีคำถามอะไรก็ถามข้าเถิด รับรองว่าจะทำให้เจ้าพึงพอใจแน่”
หญิงสาวทรงเสน่ห์อึ้งงันก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงส่งเสียงกรีดร้องเล็กแหลมออกมาคราหนึ่ง รีบยกต้นขาเรียวเผ่นหนีทันที
อาหลู่ระเบิดหัวเราะฮ่าๆ ลูบคางไปพลางกล่าวว่า “บั้นท้ายใหญ่จริงเชียว หากแบกผู้หญิงคนนี้กลับไปทำเมียที่หมู่บ้าน รับรองว่าคงคลอดเก่งแน่”
หลินสวินและเซียวชิงเหอสบตากันปราดหนึ่ง ในสมองต่างผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเหนือปีศาจยังมีจอมปีศาจกระมัง
ถึงอย่างไรผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในลานต่างเป็นบุคคลโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ หลังจากผ่านความพิศวงแปลกใจในคราแรกแล้วก็เก็บสายตากลับไป ไม่สนใจหลินสวินอีก
เพียงแต่ในใจพวกเขากลับไม่สามารถมองข้ามทั้งอย่างนี้ได้
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงเทพมารหลิน เป็นบุคคลชั้นยอดที่สามารถก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิม และชื่อก้องเกรียงไกรในแดนชัยบูรพาไม่แพ้กัน!
ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว ใครจะกล้ามองข้าม
แต่ว่า ให้ความสำคัญก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกรงกลัว ถึงเทพมารหลินจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาล้วนไม่ยอมรับว่าตนจะอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย!
กล้าเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎยอดรุ่นเยาว์ครั้งนี้ แต่เดิมก็เพียงพอจะพิสูจน์ว่าพวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากเพียงใดแล้ว
“ที่แท้เจ้าก็คือเทพมารหลิน”
ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งพลันเอ่ยปากขึ้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหินก้อนหนึ่ง สวมชุดคลุมสีขาว เรือนผมแดงดุจเพลิง
เดิมทีเขาหลับตาอยู่ กลิ่นอายทั่วร่างเงียบสนิทดุจหินผา ไม่เป็นที่สังเกตแม้แต่น้อย
แต่จังหวะที่เขาลืมตาขึ้นมองไปทางหลินสวินนั้น ก็ราวกับอาทิตย์เจิดจ้าที่แผ่รัศมีแสงหมื่นจั้งแหวกอากาศออกมา พาให้ทุกผู้คนทั่วลานหน้าเปลี่ยนสี
ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน!
แม้แต่บุคคลชั้นยอดส่วนหนึ่งที่อหังการอย่างที่สุดในที่นั้น เวลานี้ต่างฉายแววเคร่งขรึมออกมา ในใจพวกเขานั้น เซี่ยวชางเทียนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวถึงที่สุดคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินเคยสบตากับเซี่ยวชางเทียนจากระยะไกลครั้งหนึ่ง ยามนี้เมื่อได้พบกันอีกครั้งจึงไม่ได้ตกใจมากมายนัก
เขารับสายตาของอีกฝ่ายโดยไม่หลบแต่อย่างใด ไหวไหลน้อยๆ กล่าวว่า “ฉายาเป็นสิ่งที่ผู้อื่นตั้งให้ ข้าไม่อยากรับไว้ก็ไม่ได้”
“เจ้าไม่เต็มใจเรียกตนว่าเทพมาร ข้าเองก็ไม่เต็มใจเรียกตัวเองว่าดาบคลั่งเช่นกัน ถึงอย่างไรสำหรับข้าแล้ว ชื่อจอมปลอมพวกนี้ก็เป็นแค่เมฆลอยเท่านั้น แต่ข้ากลับตั้งตาคอยที่จะวัดฝีมือกับเจ้าสักครั้งยิ่งนัก”
เซี่ยวชางเทียนหัวเราะหน้าระรื่น เรือนผมแดงปลิวสยาย ดวงตารียาวเป็นประกายเจิดจ้าน่าสะพรึงปานคมดาบ
ทั้งตัวเขามีบุคลิกเหยียดหยันโลกหล้า ทุกท่วงท่าอิริยาบถมีความคมกริบไร้เทียมทานที่ปกปิดไม่มิด ลักษณะเด่นเฉพาะตัวเหนือปวงชนอย่างยิ่ง
กล่าวเสร็จเขาก็ไม่สนใจหลินสวินอีก หลับตาลง กลิ่นอายทั้งตัวจมสู่ความเงียบงัน ประหนึ่งสุริยันเฉิดฉายจำศีลอยู่ในราตรีนิรันดร์
ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยในลานต่างลอบทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ กลิ่นอายที่เซี่ยวชางเทียนปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่เปี่ยมล้นเกินไป พาให้พวกเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันไม่น้อยเช่นกัน
และพร้อมกันนั้น สายตาที่พวกเขามองหลินสวินก็เพิ่มแววซับซ้อนขึ้นมาหนึ่งขนัด
ตั้งแต่เซี่ยวชางเทียนมาถึงที่นี่ก็เอาแต่นั่งนิ่งครองถิ่น ไม่เคยมีผู้ใดดึงดูดความสนใจของเขาได้ มีแค่หลินสวินเท่านั้นที่ทำให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยวาจาก่อน
นี่ก็พิสูจน์แล้วว่า เทพมารหลินคือคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อคนหนึ่งในสายตาเซี่ยวชางเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย!
“หลงตัวเองจริงๆ!”
อาหลู่ปรายตามองเซี่ยวชางเทียนปราดหนึ่งแล้วพึมพำหนึ่งประโยค ท่ามกลางบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เห็นชัดว่าสะดุดตายิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนต่างตะลึงอึ้งค้าง เจ้าคนป่าเถื่อนนี่ช่างกล้าหาญเสียจริง!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาผิดหวังคือเซี่ยวชางเทียนคล้ายกับไม่ได้ยิน ไม่เคยลืมตา และไม่เคยสนใจคำพูดเจือความปลุกปั่นของอาหลู่สักนิด
อาหลู่ก็ดูคล้ายผิดหวังน้อยๆ เช่นกัน ทำปากเบ้ ไม่ได้พูดมากความอีก
“ยังต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะเริ่ม” หลินสวินทอดสายตาไปทางภูเขาเทพไร้มรณะที่สูงเสียดฟ้า
“ต้องรออีกประมาณสองวัน สองวันให้หลังผนึกต้องห้ามมหามรรคบนเขาลูกนี้จึงจะสลายไป อนุญาตให้พวกเรามุ่งหน้าขึ้นเขาได้” เซียวชิงเหอเอ่ยตอบ
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งครา นึกสงสัยในใจ ไหนบอกว่าจ้าวจิ่งเซวียนมาตั้งที่นี่นานแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดในลานจึงไม่เห็นวี่แววของนางเลย
“คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มากันแล้ว”
ไม่รู้ว่าใครพูดประโยคนี้ขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ทอดมองบริเวณที่ไกลออกไป ก็เห็นชายหนุ่มชุดทองคนหนึ่งแล่นปราดมาทางนี้ ภายใต้การรายล้อมของชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดทองผู้นี้รูปงามหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง ทั่วร่างชโลมแสงทอง เลือดลมชวนตระหนก ยามที่เดินเหิน ทั่วกายคลับคล้ายมีเสียงมังกรครวญพยัคฆ์คำรามดังก้องอยู่เนืองๆ
ลำพังแค่บุคลิกสูงส่งสุขุมเช่นนั้นก็พาให้ผู้กล้าในสำนักอื่นๆ ไม่น้อยทอดถอนใจแล้ว
ฉู่เป่ยไห่!
หลินสวินเองก็สังเกตเห็นคนผู้นี้เช่นกัน ทั้งยังจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ในชั่วพริบตา มุมปากอดโค้งองศาเย็นเยียบขึ้นมาไม่ได้
………………