บทที่ 540.5 พบเจออีกครั้งโดยบังเอิญ จากลากันอย่างเปลี่ยวเหงา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

พอผู้เฒ่าจากไป

คนอื่นก็พากันแวะเวียนเข้ามา

แผงขายของนี้ของเฉินผิงอันจึงคึกคักขึ้นเยอะมาก

คนที่แวะเข้ามามีไม่ขาดสาย แต่คนที่ควักเงินซื้อจริงๆ กลับยังไม่มี

ผู้เฒ่าที่ไม่รู้ชื่อแซ่คนนั้นยังคงพาหลานชายเดินข้าไปดูตามร้านต่างๆ แล้วเงาร่างของพวกเขาก็หายลับไป

เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งอยู่ที่เดิม มือที่อยู่ในชายแขนเสื้อกำลังลูบคลำเงินร้อนน้อยที่ด้านหน้าและด้านหลังสลักคำว่า ‘มักอิจฉาบุรุษรูปงามดุจหยกสลัก’ ‘บทกลอนที่ข้าเขียนดุจภาพวาด’

เงินร้อนน้อยบนโลกก็น่าสนใจเช่นนี้ อักษรที่แกะสลักไว้แตกต่างกันออกไป ภายในหนึ่งทวีป เงินร้อนน้อยที่ถูกสลักเอาไว้จะมีตัวอักษรหลากหลายรูปแบบ

แต่โดยทั่วไปแล้วจะสลักด้านละสี่อักษร เงินร้อนน้อยที่สลักตัวอักษรโบราณมากถึงเจ็ดคำเช่นเหรียญนี้มีให้พบเห็นน้อยมาก

เรื่องที่ควรค่าให้เฉินผิงอันดีใจก็คือ นอกจากจะได้เงินร้อนน้อยสามเหรียญมาอย่างไม่คาดฝันแล้ว การที่ได้เงินร้อนน้อยรูปแบบใหม่เอี่ยมเหรียญหนึ่งมาเก็บไว้ก็ชวนให้อารมณ์ดีเช่นกัน

แล้วนับประสาอะไรกับที่เงินร้อนน้อยสามเหรียญ หักออกมาเป็นเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับว่าราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก บวกกับตัวอักษรที่ล้ำค่าหายากก็ถือว่าเป็นกำไรเล็กๆ อีกก้อนหนึ่ง

เดิมทีราคาประมาณการณ์ที่เฉินผิงอันมีต่อยันต์ทุกแผ่นที่เอามาวางขายก็คือราคาที่เผื่อไว้ให้สำหรับถูกต่อราคาครึ่งต่อครึ่งแล้ว

ร้านค้าบนท่าเรือตระกูลเซียนทั่วไป ขอแค่เป็นยันต์ที่เขียนด้วยกระดาษเหลือง บวกกับการวาดยันต์ที่มีแก่นของยันต์ ขายได้ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็ถือว่าราคาแพงหูฉี่แล้ว

อันที่จริงเฉินผิงอันเตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างเช่นว่าราคาที่ตั้งไว้สูงเกินไป อาจต้องเสียเงินเกล็ดหิมะไปเปล่าๆ หนึ่งเหรียญเอาไว้แล้ว

คิดไม่ถึงว่าเป็นร้านผ้าห่อบุญในนครเหนือเมฆครั้งนี้ตนจะมีวาสนากับเงินร้อนน้อยสามเหรียญ มันจะวิ่งเข้ามาในกระเป๋าตนให้ได้ จะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่จริงๆ

ทุกเรื่องมักจะยากตอนเริ่มต้นเสมอ

พอมีผู้เฒ่าที่ใช้จ่ายเงินอย่างมือเติบใจกว้าง แต่สายตากลับดีเยี่ยมเป็นตัวเปิดประเดิมที่ดี

ต่อมาก็ขายยันต์สายฟ้าออกไปได้อีกสองแผ่น

ยันต์น้ำและดินสองชนิด รวมไปถึงยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางไม่มีใครถามถึง ลูกค้าส่วนใหญ่ลำพังแค่ได้ยินราคาก็เกือบจะหลุดปากด่าคนแล้ว

หนึ่งในนั้นมีชายฉกรรจ์หน้าตาเหี้ยมเกรียมคนหนึ่งใช้เงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญซื้อวัตถุที่เก็บสะสมไว้ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นไป เป็นวัตถุที่มีกลิ่นอายของเครื่องประทินโฉมเข้มข้น มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าชายฉกรรจ์จะนำไปมอบให้กับสตรีในดวงใจ หรือไม่ก็อาจเอาไปเป็นของขวัญกราบภูเขาให้กับสตรีผู้ฝึกตนบางคน พอได้ยินเจ้าของแผงหนุ่มบอกว่าราคาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ชายฉกรรจ์ก็ด่ามาหนึ่งคำว่ามารดามันเถอะ แต่สุดท้ายก็ยังควักเงินจ่ายแต่โดยดี

จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์แล้วสอบถามราคา

เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ ‘มารดามันเถอะ’ สองครั้ง ต้องเพิ่มอีกสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”

ชายฉกรรจ์สบถด่า “เจ้าคิดจะฆ่าหมูหรือไง?!”

ต่อให้เป็นระดับความหนาของใบหน้าเฉินผิงอัน ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะต่อคำอย่างไร

พวกนักท่องเที่ยวที่ชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างพากันหัวเราะครืน

ชายฉกรรจ์เองก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของตนไม่เหมาะสม ด่าคนอื่น แต่ยิ่งเป็นการด่าตัวเองเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คุ้มกัน ชายฉกรรจ์จึงยกมือขึ้นเกาหัว อยากได้ก็อยากได้ แต่เงินในกระเป๋าก็ขาดแคลน เขาจำเป็นต้องซื้อยันต์สายฟ้าที่ใช้สำหรับโจมตีแผ่นหนึ่งจริงๆ เพราะจะนำไปใช้จัดการกับปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ยึดครองภูเขา หากทำสำเร็จ กวาดเอาทรัพย์สินของอีกฝ่ายมารอบหนึ่งก็มีแต่กำไรไม่มีขาดทุน แต่หากไม่สำเร็จ ก็เรียกได้ว่าขาดทุนยับย่อย เงินเกล็ดหิมะสิบสองเหรียญทำให้เขาจนตรอกได้จริงๆ ถึงท้ายที่สุดชายฉกรรจ์ก็ยังตัดใจกรีดเนื้อตัวเองไม่ลง จึงจากไปอย่างขุ่นเคือง

เฉินผิงอันไม่ได้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเดินออกไปได้ระยะทางหนึ่งก็อดไม่ไหวหันกลับมามอง เห็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นส่งยิ้มมาให้ตน ความคิดของชายฉกรรจ์ก็พลันว่างเปล่า ในใจยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงก้าวยาวๆ จากไป มองไม่เห็นจะได้ไม่หงุดหงิด

เฉินผิงอันทำการค้าของตัวเองต่อไป

ก็ถือว่าประหยัดแรงใจไปได้มาก ถึงอย่างไรราคาของยันต์และสิ่งของทุกชิ้นก็ถูกกำหนดมาตายตัวอยู่แล้ว

หลังจากได้เงินร้อนน้อยมาสามเหรียญ ร้านผ้าห่อบุญนี้ของเขาก็ยิ่งเหมือนการนั่งตกปลาได้อย่างมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ถึงอย่างไรนี่ก็เพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม อยู่ห่างจากเวลาที่เรือข้ามฟากจะออกเดินทางอีกไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ

เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะทำการค้าพลางบำรุงปณิธานหมัดด้วยความอบอุ่นไปด้วย บวกกับไปฝึกตนตรงริมทะเลสาบหัวใจ ทำสามอย่างพร้อมกันโดยไม่ให้เสียเวลาเปล่า

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เขาถึงได้เอาแต่ดื่มด่ำกับเวลาว่างในตอนนี้ ล้มเลิกความคิดที่จะฝึกวิชาหมัดไปชั่วคราว

ทว่าก็ยังแบ่งสมาธิไปทำเรื่องสองอย่างพร้อมกัน นั่นคือมองประเมินพวกนักท่องเที่ยวบนถนนอย่างละเอียด พลางปล่อยจิตใจความคิดให้ล่องลอยไปไกล คิดถึงคนบางคนและเรื่องบางอย่าง

เนื่องจากตอนนี้อยู่ในนครเหนือเมฆ เฉินผิงอันจึงคิดถึงตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ เล่มนั้น

หากจะพูดกันจริงๆ

ร้านผ้าห่อบุญแรกที่เฉินผิงอันได้พบเจอในชีวิต อันที่จริงสามารถนับรวมเจ้าคนที่สวมงอบพกดาบไม้ไผ่ผู้นั้นได้ และก็เป็นตอนที่อยู่บนภูเขาฉีตุนซึ่งตอนนั้นเว่ยป้อยังเป็นเทพแห่งผืนดิน

เพียงแต่ว่าร้านผ้าห่อบุญนี้ไม่เก็บเงินก็เท่านั้น

อาเหลียงนั่งยองลงบนพื้น ด้านหน้าวางกล่องไม้ทรงยาวที่มีชื่อว่า ‘เฉียวหวง’ เอาไว้ แล้วร้องเรียกเสนอขาย บอกให้ทุกคนไปเลือกสมบัติที่อยู่ในนั้น

ตอนนั้นจูเหอจูลู่สองพ่อลูกก็อยู่ด้วย

หลินโส่วอีวิ่งได้เร็วที่สุด เป็นคนแรกที่เลือกตำราลับวิชาอสนีที่เขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็น

หลี่ไหวที่ฉลาดเฉลียว พอเห็นของที่ถูกตาตัวเองแล้วก็พยายามยุแยงให้หลินโส่วอีกับหลี่เป่าผิงไปเลือก ‘ยันต์มงคล’ ดาบแคบเล่มนั้นอย่างสุดชีวิต ตอนที่หลี่เป่าผิงหยิบดาบขึ้นมา หลี่ไหวที่ใช้ความเร็วราวสายฟ้าแลบจนคนไม่ทันป้องหูก็คว้าเอาหุ่นไม้ลงสีสันที่ยาวแค่ฝ่ามือชิ้นนั้นมา จูเหอช่วยจูลู่เลือกตำราหนึ่งเล่มและโอสถหนึ่งเม็ด ตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ว่ายาเม็ดเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ‘ดีวีรบุรุษ’ (ดีคืออวัยวะอย่างหนึ่งที่ในภาษาจีนเปรียบเปรยถึงความกล้าหาญ หากบอกว่ามีดีที่อวบอ้วน ก็แปลว่ามีความกล้ามาก) เม็ดนั้น สำหรับผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์คนหนึ่งแล้วมีความหมายยิ่งใหญ่เพียงใด ต่อให้เฉินผิงอันจะเดินทางมายาวไกลขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นวัตถุที่คล้ายคลึงกันนั้นอีก ถึงขั้นที่ว่าทั้งลู่ไถและฉีจิ่งหลงต่างก็ไม่เคยพูดถึงว่า ดีวีรบุรุษของผู้ฝึกยุทธบนโลกสามารถนำมาหลอมเป็นยาเม็ดหนึ่งที่จับต้องได้จริงได้ด้วย

เฉินผิงอันเป็นคนที่ได้เลือกคนสุดท้าย ถึงอย่างไรในกล่องไม้ก็เหลือแค่เมล็ดพันธ์ดอกบัวสีทองอ่อนจางเมล็ดเดียวแล้ว ไม่มีอะไรให้เลือกอีก

เฉินผิงอันที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มนานแล้ว ตอนนี้เขาก็หวังว่าในอนาคตจะมีวันหนึ่งที่ตนสามารถทำอย่างอาเหลียง นำของดีที่อยู่ในมือของตนเองมามอบให้กับพวกเด็กๆ คนรุ่นหลังที่สามารถถือได้ไหว รับไว้ได้อยู่ เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย กลับกันยังมีแต่จะยิ่งเต็มไปด้วยความรอคอย

บนโลกมักจะมีถ้อยคำและการกระทำบางอย่างที่เป็นการกล่อมเกลาอย่างที่มองไม่เห็น ซึ่งจะเป็นการสืบทอดไปรุ่นต่อรุ่น

ไม่ใช่มรรคกถา แต่เหนือกว่ามรรคกถา

……

หลังจากฟ้าสาง

ผู้เฒ่าที่ทุ่มทองเป็นพันชั่งคนนั้นก็จูงมือเด็กชายเดินผ่านประตูใหญ่ของนครเหนือเมฆเข้าไป ผู้ฝึกตนที่เฝ้าประตูเห็นผู้เฒ่าแล้วก็เอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมคำหนึ่งว่าหวนเจินเหริน

ผู้เฒ่าหันหน้าไปยิ้มให้และผงกศีรษะตอบรับ

กลับมาถึงเรือนหลังใหญ่โอ่อ่ากลางเมืองแห่งหนึ่ง พื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่นครเหนือเมฆยินดีมอบสัญญาที่ดินให้แก่คนนอก มีน้อยจนนับนิ้วได้ และเรือนหลังนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เพราะว่าผู้เฒ่าชื่อหวนอวิ๋น คือเจินเหรินลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภาคกลางของอุตรกุรุทวีป ตบะและพลังการต่อสู้ของเจินเหรินผู้เฒ่า เมื่อมาอยู่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ก็ถือว่าไม่ได้ความเอาเสียเลย ได้แค่ถือว่าเป็นโอสถทองทั่วไปที่ไม่ถนัดการเข่นฆ่าคนหนึ่ง แต่ด้วยลำดับศักดิ์ที่สูง มีเครือข่ายคนรู้จักกว้างขวาง มีควันธูปมาก คือผู้บรรลุมรรคาของสายรองสายหนึ่งของลัทธิเต๋าแผ่นดินกลาง เชี่ยวชาญวิชายันต์เหนือกว่าขอบเขตของตัวเองไปไกล มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับผู้ฝึกตนใหญ่ในตระกูลเซียนทางทิศเหนือมากมาย และสายอื่นของลัทธิเต๋าซึ่งรวมถึงสกุลหยางตำหนักนภากาศเป็นหนึ่งในนั้น ชอบพเนจรร่อนเร่ไปทั่วทิศ แน่นอนว่าก็ยังได้ซื้อเรือนไว้ตามสถานที่น้ำสวยภูเขาเขียวด้วย ที่ภูเขาตี่ลี่ก็มีจวนแห่งหนึ่งที่การมองเห็นเปิดกว้างตกอยู่ในมือของเขานานแล้ว ราคาตอนนั้นถูก ทว่าตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นเป็นไม่รู้กี่เท่าตัว เจินเหรินผู้เฒ่ามีสหายเยอะ จวนที่ภูเขาตี่ลี่ก็มักจะมีคนไปเข้าพักอยู่เป็นประจำ กลับกลายเป็นว่าตัวเจินเหรินผู้เฒ่าเอง เวลาผ่านไปนานหลายสิบปีก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะไปเหยียบที่นั่นสักครั้ง

เด็กน้อยมีนามว่าหวนจู้ เป็นตัวอ่อนผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ต่อให้เป็นลูกหลานของผู้ฝึกตนเซียนดินก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะฝึกตนได้ บุตรชายหญิงของเจินเหรินผู้เฒ่าก็ไม่มีใครสักคนที่สามารถฝึกตนได้ ตระกูลใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขามาร้อยปีกว่า สุดท้ายถึงได้มีต้นอ่อนที่ดีต้นนี้ปรากฎตัว ดังนั้นช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาผู้เฒ่าจึงมักจะชอบพาหลานชายไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ พร้อมกับตัวเองด้วย

มาถึงห้องหนังสือ ผู้เฒ่าหยิบเอากล่องไม้ขนาดเล็กใบหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ที่จัดทำอย่างประณีตงดงามออกมาอย่างระมัดระวัง บนกล่องสลักลายเมฆาและดอกไม้น้ำที่พลิ้วไหว มองดูแล้วมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

กล่องใบนี้มีที่มาไม่ธรรมดา มีชื่อว่า ‘กล่องกักเมฆา’ คือ ‘ถ้ำสถิตตระกูลเซียน’ ที่ยอดฝีมือด้านยันต์นำมาใช้เก็บรักษายันต์ราคาแพงโดยเฉพาะ

เอายันต์ยี่สิบเจ็ดแผ่นที่ซื้อมาจากแผงนั้นวางลงในกล่องไม้เบาๆ ใบหน้าของเจินเหรินผู้เฒ่าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หวนจู้เฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก รับรู้ได้ทันทีว่าท่านปู่ของตนไม่ได้เป็นคนโง่ที่ให้ใครหลอกได้ง่าย และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเก็บตกของดีเข้าให้แล้ว

ผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ อุ้มเด็กน้อยมาวางบนตัก พูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอนที่เต็มไปด้วยความหวังดี “พรรคตระกูลเซียนบนภูเขาจะต้องมีบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาคนหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นการวาดยันต์ของยอดฝีมือด้านยันต์บนโลกใบนี้ ในช่วงเวลาที่การวาดยันต์แผ่นหนึ่งเข้าขั้นเชี่ยวชาญ แต่กลับยังไม่อาจถึงขั้นสมบูรณ์แบบได้นั้น ยันต์เปิดภูเขาที่วาดในช่วงแรกๆ ไม่ว่าจะเป็นฝีมือหรือปณิธานที่มองดูคล้ายว่าตื้นเขินมากที่สุด กลับกลายเป็นว่าล้ำค่าหายากมากที่สุด ดังนั้นปู่จึงจงใจเลือกยันต์ชั้นต้นที่ระดับขั้นแย่ที่สุดมา ตอนนั้นเจ้าของร้านผ้าห่อบุญหนุ่มผู้นั้นยังเกิดกังขา เป็นฝ่ายเปิดปากเตือนปู่ของเจ้าด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวเลยทีเดียว พรสวรรค์ในการวาดยันต์ดี คุณธรรมในการทำการค้าก็ยิ่งไม่เลว”

ผู้เฒ่าอารมณ์ดีอย่างมาก เขาชี้ไปยังกล่องไม้ที่ปิดเข้าหากันแล้วพลางเล่าเรื่องวงในให้กับหลานชายตัวเองฟัง “ขอแค่ยันต์พวกนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างเหมาะสม ก็อาจจะมีโชควาสนาบางอย่างที่ลี้ลับมหัศจรรย์เกิดขึ้น ก็แค่โอกาสค่อนข้างจะ น้อยก็เท่านั้น ทว่าการฝึกตนบนภูเขา ‘หมื่นหนึ่ง’ นั้นเป็นทั้งเรื่องเลวร้ายอันดับต้นๆ ที่สามารถทำให้คนกายดับมรรคาสลาย แต่ก็สามารถกลายเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าได้เช่นกัน ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องไม่คาดฝันประเภทนี้ พูดถึงแค่ตัวของยันต์พวกนี้เอง ปู่จ่ายเงินไปเกือบสามเหรียญเงินร้อนน้อยก็ถือว่าไม่ขาดทุนมากนัก”

หวนอวิ๋นพลันยิ้มเอ่ยว่า “เจ้านครมาเยี่ยมหา ไป ไปต้อนรับเขาสักหน่อย”

หวนอวิ๋นวางหลานชายลงบนพื้นแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ มุ่งหน้าไปยังเรือนรับแขกด้วยกัน

ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนที่สนิทสนมกันแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเคาะประตู ขอแค่ปลดปล่อยลมปราณบางส่วนออกมาก็พอ

เจ้านครเหนือเมฆมีนามว่าเสิ่นเจิ้นเจ๋อ คือผู้ฝึกตนโอสถทองเช่นเดียวกับหวนอวิ๋น

สวมชุดคลุมอาคมสีขาว ท่วงท่าสง่างาม ลักษณะเหมือนชายวัยกลางคน แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนในกลุ่มเทพเซียน

หลังจากหลานชายตัวเองคารวะทักทายอีกฝ่ายแล้ว ประโยคแรกที่หวนอวิ๋นเอ่ยก็ตรงเข้าประเด็นทันที “ตลาดของเจ้ามีคนมาขายยันต์ ระดับขั้นยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด หากเจ้าไปสายอาจพลาดเอาได้ ยันต์สามชนิดในนั้น ข้ารู้จัก ได้แก่ยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ ยันต์มหานทีไหลสะพัด ยันต์ขยุ้มดิน รากฐานตื้นเขิน ไม่ได้มาจากสำนักดั้งเดิม ดังนั้นจึงไม่ถือว่าหายากสักเท่าไร แต่ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางอีกสองชนิด ข้าผู้อาวุโสกลับไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต คือยันต์นำทางและยันต์ข้ามสะพาน ยอดเยี่ยมที่สุด ฝ่ายแรกไม่เพียงแต่เหมาะให้ผู้ฝึกตนขึ้นเขาลงห้วย ทลายอาคมพรางตา หากใช้ให้ดี ถึงขั้นที่ว่ายังสามารถช่วยเปิดทางให้วัตถุหยินได้มุ่งหน้าไปยังน้ำพุเหลืองด้วย ฝ่ายหลังแฝงปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์เอาไว้เสี้ยวหนึ่ง ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างในนครเหนือเมฆของพวกเจ้าเอามาใช้สยบภูตผีปีศาจทั่วไปก็จะช่วยให้เหนื่อยน้อยลงแต่ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

หากผู้ฝึกตนเซียนดินทั่วไปมาแผดเสียงตะโกนบอกว่ายันต์ดีแค่ไหน เขาคงไม่กล้าเชื่อทั้งหมด แต่เจินเหรินผู้เฒ่าลัทธิเต๋าผู้นี้เปิดปากพูดด้วยตัวเอง ก็ไม่ต้องกังขาเลย

หวนอวิ๋นเอ่ยอีกว่า “น่าเสียดายที่วัสดุที่ใช้วาดยันต์แย่เกินไป ชาดที่ใช้เขียนยันต์ก็ธรรมดา ไม่อย่างนั้นยันต์หนึ่งแผ่นก็คงไม่ได้มีราคาแค่สิบกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อกล่าวอย่างสงสัย “หวนเจินเหริน ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นหนึ่งราคาสิบกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ก็ไม่ถือว่าเป็นของดีราคาถูกกระมัง”

หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว “ข้าหวนอวิ๋นมองยันต์ว่าดีหรือเลว ยังจะมีช่วงเวลาที่มองพลาดด้วยหรือ? เร็วเข้า เงินสิบกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะนั้นไม่มีทางทำให้นครเหนือเมฆขาดทุนแน่นอน”

หวนอวิ๋นบอกถึงหน้าตาและตำแหน่งแผงของร้านผ้าห่อบุญหนุ่มผู้นั้น

เสิ่นเจิ้นเจ๋อพยักหน้ารับ “ข้าไปแปบเดียว เดี๋ยวกลับมา”

หวนอวิ๋นพลันเอ่ยเตือนว่า “ร้านผ้าห่อบุญผู้นั้นฉลาดในการทำการค้าอย่างมาก ข้าว่าเจ้าอย่าไปซื้อเองดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นเกิดใจละโมบจนทำร้ายผู้ฝึกตนน้อยคนนั้น แม้จะบอกว่าตอนที่คนผู้นี้วางแผงขายได้จงใจเอาใบชากำแพงดำน้อยที่เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของจวนไช่เฉวี่ยเพื่อนบ้านพวกเราออกมา จึงพอจะถือเป็นยันต์คุ้มกันกายได้ชิ้นหนึ่ง แต่ทรัพย์สินเงินทองทำให้จิตใจคนหวั่นไหว หากมีใครคิดละโมบในสมบัติของเขาขึ้นมาจริงๆ ความสัมพันธ์น้อยนิดแค่นี้ไม่อาจต้านทานหายนะไว้ได้”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เขาจึงทะยานลมจากไปไกลแล้วบอกให้คนสนิทในเมืองไปซื้อยันต์มาให้ ส่วนตัวเองก็ย้อนกลับมาที่เรือนอีกครั้ง

การเดินทางมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้ เป็นเพราะมีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่า

ในอาณาเขตแคว้นเพื่อนบ้านทางฝั่งตะวันตกของแคว้นสุ่ยเซียว กลางภูเขาลึกแห่งหนึ่งที่ไร้เงาผู้คน ปรากฏพื้นที่ลับแห่งขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่ง เป็นนายพรานผู้หนึ่งไปพบเข้าโดยบังเอิญ เพียงแต่ว่าแค่เจอทางเข้าถ้ำเท่านั้น ไม่ได้กล้าเข้าไปสำรวจภายในเพียงลำพัง หลังออกมาจากภูเขาก็คิดว่าตัวเองได้เจอเรื่องมหัศจรรย์ จึงเอามาโอ้อวดให้คนในบ้านเกิดฟัง จากนั้นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ผ่านทางมาก็ได้ยินเข้าโดยบังเอิญ จึงเดินทางไปยังที่ว่าการของท้องถิ่น พลิกเปิดอักขรานุกรมประจำท้องถิ่นและแผนที่ภูมิศาสตร์ดูอย่างละเอียด แล้วจึงไปที่ถ้ำในภูเขาลึกมารอบหนึ่ง เขาไม่สามารถทำลายตราผนึกตระกูลเซียนได้ จึงไปร่วมมือกับผู้ฝึกตนสองคน คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางผู้นั้นทำลายค่ายกลทั้งวันทั้งคืนจนสำเร็จ จะไปแตะโดนกลไกของถ้ำสถิตเข้า จึงมีคนตายไปสองคน เหลือรอดชีวิตแค่คนเดียว

เรื่องนี้จึงแพร่ออกมา

หวนอวิ๋นฟังคำบอกเล่าจากเสิ่นเจิ้นเจ๋อแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ตราผนึกภูเขาสายน้ำที่ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางขอบเขตสี่คนหนึ่งสามารถทำลายได้อย่างรวดเร็ว หมายความว่าระดับขั้นของถ้ำสถิตแห่งนี้ไม่มีทางสูงได้ ทำไม เซียนดินโอสถทองเช่นเจ้าก็อยากจะช่วงชิงโชควาสนาน้อยนิดแค่นี้มาจากผู้ฝึกตนอิสระเหล่านั้นด้วยหรือ?”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อส่ายหน้า “ข้าแค่อยากจะให้ลูกศิษย์อายุน้อยสี่ห้าคนของนครเหนือเมฆไปฝึกประสบการณ์ดูสักครั้ง จากนั้นก็จะส่งผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งไปให้การปกป้องอย่างลับๆ ขอแค่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เขาก็จะไม่ปรากฎตัว”

หวนอวิ๋นยิ้มบางๆ “หากโชควาสนานั่นไม่ใช่เล็กๆ นครเหนือเมฆจะไม่แย่งชิงมาจริงๆ หรือ?”

เสิ่นเจิ้นเจ๋อยังคงส่ายหน้า “นครเหนือเมฆของพวกเราเคยเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงมาก่อน หวนเจินเหรินอย่าได้เหน็บแนมข้าอีกเลย”

ญาติที่อยู่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง

บนภูเขาล่างภูเขาก็ล้วนเป็นเช่นนี้

เพียงแต่ว่าเพื่อนบ้านชั่วร้ายบนภูเขาก็มีอยู่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นนครเหนือเมฆกับจวนไช่เฉวี่ยที่อยู่ในแคว้นสุ่ยเซียวเหมือนกัน ก็เป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่เจ้านครกับเจ้าจวนของรุ่นก่อนที่ต่อสู้กันไปรอบหนึ่ง แม้ว่าทั้งสองบ้านจะไม่ถือว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กันอีกแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ให้พูดถึงอีก

พรรคสองแห่งที่เดิมทีเป็นพันธมิตรกันมาหลายร้อยปี ปีนั้นก็เพราะโชควาสนาที่ได้มาอย่างไม่คาดฝันที่ทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉาน แรกเริ่มอดีตเจ้านครก็เพื่อปกป้องเด็กรุ่นหลังในบ้านของตัวเอง ลูกศิษย์รับผิดชอบตามหาสมบัติ ทว่าพื้นที่ลับถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกซึ่งไม่มีหลักฐานให้ตามหาแห่งนั้นกลับซุกซ่อนตำราลัทธิเต๋าที่ชี้ตรงไปยังโอสถทองเล่มหนึ่งเอาไว้ บิดาของเสิ่นเจิ้นเจ๋อกับอดีตเจ้าจวนคนก่อนของจวนไช่เฉวี่ยต่างก็อดใจไม่ไหว คิดอยากครอบครองสมบัติที่เพียงแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาชิ้นนั้น จึงลงมือต่อสู้กันอย่างดุเดือด คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะถูกผู้ฝึกตนอิสระที่อำพรางตัวตนได้อย่างดีเยี่ยมคนหนึ่งฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสองฝ่ายมัวแต่คุมเชิงกัน โจมตีให้โอสถทองทั้งสองท่านบาดเจ็บสาหัส พอได้ตำราลัทธิเต๋าไปก็เผ่นแน่บไปทันที

เซียนดินโอสถทองสองท่านของนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยต่างก็ได้รับเคราะห์หลังเจอโชค รากฐานของมหามรรคาต่างก็บาดเจ็บเสียหาย ไม่สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้ แล้วก็ทยอยกันลาจากโลกนี้ไปด้วยความเสียดาย นับแต่นั้นมาทั้งสองตระกูลต่างก็เกลียดแค้นกันและกัน ไม่มีคู่รักเทพเซียนของสองตระกูลเกิดขึ้นอีก อีกทั้งเรื่องที่น่าสนใจที่สุดก็คือ จนกระทั่งก่อนตาย โอสถทองทั้งสองท่านกลับไม่มีความเคียดแค้นต่อผู้ฝึกตนอิสระที่สืบหาตัวไม่พบผู้นั้นสักเท่าไร ทั้งคู่ต่างก็มองว่าตำราลัทธิเต๋าที่มีมูลค่าควรเมืองเล่มนั้นคือโชควาสนาที่คนผู้นี้สมควรได้รับไป

ซึ่งก่อนหน้านั้น อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานซึ่งนับว่าหาได้ยากบนภูเขา

ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้แคว้นสุ่ยเซียวหลายรุ่นต่างก็ทุกข์ใจไม่น้อย มีหลายครั้งที่คิดอยากจะสานสะพานความสัมพันธ์ ช่วยให้ตระกูลเซียนใหญ่ทั้งสองกลับมาสนิทสนมกันดังเดิม เพียงแต่ว่าทั้งนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยต่างก็ไม่รับน้ำใจ

—-