“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยแซ่หานอยากจะลองสักหน่อย แต่ก่อนที่จะจัดการ ข้าจะลองใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณ พี่หลิงอ๋องคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่” หานลี่ลูบคางเบาๆ หลังจากใช้สายตาสำรวจชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้ ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆ พร้อมพูดขึ้น
เมื่อหลิงอ๋องได้ยินดังนั้น ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากที่เขากะพริบตาปริบๆ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง
“หากสหายมีความสามารถก็รีบฆ่าเลยเถอะ ข้าก็ถือว่ากำจัดหอกข้างแคร่ไปได้ มันต้องเป็นเรื่องดีมากแน่นอน แต่หากเป็นเรื่องค้นจิตวิญญาณนั้น นอกเสียจากสหายจะเป็นคนจิตสัมผัสแข็งแกร่งกว่าเขา ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จเลย”
“อื้อ เช่นนั้นข้าให้ผู้น้อยแซ่หานลองเสียหน่อย” หลังจากที่หานลี่ขมวดคิ้วแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาเสียงเรียบ
วินาทีต่อมา ใบหน้าของหลิงอ๋องก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“ได้ หากสหายหานมั่นใจในพลังของตนเอง ข้าก็ไม่ขวางทางเจ้า แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เซียนคนนี้เป็นคนที่ข้าผนึกเขาเองกับมือ เมื่อสหายยืนกรานเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ต้องให้คำอธิบายกับข้าหน่อยหรือไม่?” หลังจากหลิงอ๋องถอนหายใจออกมา ในที่สุดใบหน้าของเขาก็มีความหงุดหงิดเล็กน้อย
“สหายหลิงต้องการคำอธิบายอะไร?” หานลี่ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจออกไปเลยแม้แต่น้อย
“ได้ยินโลกภายนอกกล่าวว่าหานลี่เป็นมหาเมธีอันดับหนึ่งในแดนวิญญาณ ผู้น้อยแซ่หลิงถือว่ามีชีวิตอยู่มานานกว่าเล็กน้อย และยังมีพลังเหนือธรรมชาติติดกายด้วย ตราบใดที่สหายหานสามารถรับสามกระบวนท่าโดยไม่หลบได้ ข้าจะมอบเซียนผู้นี้ให้กับสหาย” ในที่สุดหลิงอ๋องก็พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“ฮ่าๆ พี่หลิงพูดมายาวขนาดนี้ และเป็นสิ่งที่ตรงใจของข้าแซ่หานนัก เดิมทีผู้บำเพ็ญเพียรที่อ่อนแอกว่าต้องเคารพพูดที่แข็งแกร่ง หากข้ารับกระบวนท่าของท่านไม่ได้สองกระบวนท่า ข้าจะรีบไปจากที่นี่ทันที โดยไม่รบกวนสหายแม้แต่น้อย” หานลี่ไม่โกรธแต่กลับหัวเราะขึ้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรามาเปลี่ยนที่ประลองกันเถอะ อย่าให้การประลองไปกระทบกับผนึกเหล่านั้นเลย” หลิงอ๋องพูดแนะนำ
“เอาตามที่ท่านสะดวกเลยขอรับ” หานลี่หยักหน้าด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
เมื่อหลิงอ๋องเห็นเช่นนั้น หลังจากที่เขาสะบัดเสื้อ เขาก็กลายเป็นสายรุ้งที่มีไอเย็นแผ่ออกมา แล้วพุ่งออกจากห้องใต้ดินไป
ร่างกายของหานลี่พร่าเลือนไปมา จากนั้นก็กลายเป็นภาพมายาสีจางๆ พร้อมติดตามเขาออกไป
หลังจากนั้นหนึ่งจิบชา ทหารเป่าวิญญาณที่อยู่ในภูเขาฟู่หลิง ก็สัมผัสได้ถึงเสียงดังลั่นสองครั้งที่ดังมาจากที่ไหนสักแห่งในภูเขาแห่งนี้ คาดไม่ถึงว่ามันจะทำให้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งลูกสั่นสะเทือน
เรื่องนี้ทำให้คนเผ่าวิญญาณตกใจอย่างมาก และอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
แม้พวกเขาจะรู้ว่าหานลี่ที่เพิ่งเข้ามาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน แต่นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่มีทางจินตนาการออกเลย
อีกทั้งไม่มีคำสั่งของหลิงอ๋อง พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบ
…
ในลานกว้างแห่งหนึ่งกลางภูเขาฟู่หลิง เดิมทีลานกว้างแห่งนี้มีม่านแสง แต่ตอนนี้กลับถูกทำลายทิ้งไปหมดแล้ว
ทั้งสองด้านของห้องโถง มีหานลี่และชายชราอีกคนหนึ่งอีกอยู่ สีหน้าของทั้งสองคนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ เอามือไพล่หลัง ทั่วทั้งร่างกายไม่มีร่องรอยของความผิดปกติเลย
แต่ทางด้านของหลิงอ๋อง ปราณที่แผ่ออกมานั้นดูแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายส่วน ด้านหลังของเขามีพระพุทธรูปสีเงินอ่อน ทั่วทั้งร่างกายก็มีดวงตามารปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด ใบหน้าดูน่าเกลียดและแปลกประหลาดอย่างมาก บริเวณใกล้เคียงมีมีดสั้นที่บินลอยมาเป็นวงกลม ราวกับกำลังบินล้อมตัวเองอยู่
ในช่องว่างระหว่างพวกเขา มีดาบยักษ์สีดำขนาดมากกว่าสิบจั้งลอยอยู่กลางอากาศ แต่ส่วนปลายแหลมของมันกลับหายไป อีกทั้งรอยตัดของมันก็ดูเรียบเนียนเหมือนกระจก ราวกับว่ามันถูกตัดจากอะไรบางอย่าง
“สหายออกกระบวนท่ามาสองกระบวนท่าแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงครั้งสุดท้ายเท่านั้น” หานลี่พูดขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ช่างเถอะ กระบวนท่าสุดท้ายไม่ต้องแล้ว พลังของสหายหานน่ากลัวกว่าในข่าวลืออีกนะ แม้ว่าข้าจะต้องลงมืออีกครั้ง แต่มันก็เป็นเพียงการทำให้ข้าอับอายเพิ่มขึ้นอีกครั้งเท่านั้น” สีหน้าของหลิงอ๋องผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็พูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ
เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถาไว้
ดาบยักษ์สีดำ ใบมีดสีเงิน และพระพุทธรูปที่อยู่ด้านหลัง ก็หายไปทันที
“หึๆ พี่หลิงเกรงใจกันเกินไปแล้ว เมื่อครู่สหายยังไม่ได้เอาไพ่ไม้ตายออกมาใช้เลยสินะ ไม่เช่นนั้นผู้น้อยแซ่หานไม่สามารถรับสองกระบวนท่าแรกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้หรอก” หานลี่หัวเราะเบาๆ
“นี่เป็นการรับประกันว่าท่านมีพลังจริงๆ แต่สหายก็ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ข้าได้ยอมรับเจ้าแล้ว เซียนคนนั้นที่ข้าใช้พลังผนึกไว้ ก็ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน แต่ว่าข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ หากสหายมีความสามารถฆ่าเซียนผู้นี้ล่ะก็ จะต้องทำต่อหน้าข้า ไม่เช่นนั้นข้าไม่มีทางวางใจได้” หลิงอ๋องพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ช่วงนี้ข้าเพิ่งหลอมของวิเศษได้หนึ่งชิ้น ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีประโยชน์บ้าง” หานลี่ตอบตกลง และพูดถึงอะไรที่มีความหมายลึกซึ้ง
เมื่อหลิงอ๋องจะมึนงงเล็กน้อยกับคำพูดของเขา แต่เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามตอบตกลง เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที และไม่ได้พูดแย้งอะไรขึ้นมาอีก จากนั้นเขาก็พาหานลี่ออกจาห้องโถง
…
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ส่วนหนึ่งของเขตต้องห้ามในภูเขาฟู่หลิง รุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งตรงออกมา หลังจากมันเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง มันก็พุ่งเข้าไปในเรือยักษ์สีดำที่จอดอยู่กลางอากาศบริเวณใกล้เคียง
หลังจากนั้น เรือยักษ์ลำนั้นก็ส่งเสียงออกมา พร้อมบินออกไปในระยะไกลทันที
ในขณะเดียวกันนั้นเอง คนที่นั่งอยู่ห้องลับใต้ท้องเรือชั้นล่างก็คือหานลี่ เขายกขวดสีเขียวในมือขึ้นมา สีหน้ามืดครึ้มเล็กน้อย
สองวันก่อน เขาใช้จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา หากเป็นไปตามคาดเขาจะสามารถใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณในตัวของเซียนที่ถูกปิดผนึกได้สำเร็จ
แต่ไม่เลย ควรจะพูดได้ว่าค้นจิตวิญญาณสำเร็จแค่ครึ่งเดียว
แม้ว่าเขาจะเจาะเข้าไปในทะเลแห่งจิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายได้สำเร็จ แต่กลับพบว่าส่วนความทรงจำที่สำคัญที่สุดถูกพลังงานบางอย่างปิดกั้นเอาไว้
อีกทั้งหลังจากที่เขาสำรวจความทรงจำในส่วนอื่นๆ แล้ว หัวของอีกฝ่ายก็ระเบิดราวกับแตงโมทันที เพียงแต่ความรู้สึกทางจิตวิญญาณกลับหายตัวไปทั้งหมดทันที แม้แต่พลังในร่างกายนี้ก็กลายเป็นขี้เถ้า
ผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่เพียงทำให้หานลี่รู้สึกแปลกใจอย่างมาก ยังทำให้หลิงอ๋องที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็อึ้งอ้าปากค้างเช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หานลี่ก็ได้ใช้ในส่วนของความทรงจำของเขา ในที่สุดก็รู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของขวดเล็กๆ หม่าเหลียง และสำนักจิ่วหยวน และยังได้รับข้อมูลที่สำคัญอีกมากมาย
“ขวดใบนั้น คาดไม่ถึงว่าจะซ่อนตัวอยู่ที่แดนมาร” หานลี่พูดกับตัวเอง จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งการครุ่นคิด
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายขโมยขวดคว้าสวรรค์มาได้อย่างไร และทำไมต้องหักหลังแล้วหลบหนีสำนักจิ่วหยวน และทำไมต้องแบ่งขวดคว้าสวรรค์เป็นสองส่วนแล้วโยนลงสู่โลกมนุษย์
ตอนที่เซียนผู้นี้อยู่แดนเซียน เพื่อหลีกหนีการไล่ฆ่าของสำนักจิ่วหยวน เขาใช้ค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลเพื่อให้ได้ยันต์เคลื่อนย้ายมา และเตรียมตัวไปยังแดนเซียนเมืองอื่นๆ
แต่ตอนที่ส่งตัวนั้น ไม่รู้ทำไมยันต์แผ่นนั้นจึงได้รับผลกระทบจากพลังงานลึกลับ ทำให้เขาส่งตัวไม่สำเร็จ ทำให้เขาหลุดจากแดนเซียนแล้วตกลงมายังแดนเบื้องล่าง
ในระหว่างนั้น ขวดคว้าสวรรค์ก็ถูกปิดผนึกชั่วคราว จึงทำให้เขาต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
แม้ว่าเขาจะตกใจและรีบใช้เคล็ดวิชาลับทุกอย่างมากดทับมันไว้ แต่กลับไม่ทันแล้ว ทำให้เกิดวิชาบางอย่างที่แบ่งมันออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือเปลือกของมันที่หายไป และอีกส่วนที่หายไปในดินแดนอื่นๆ
ดีที่เซียนผู้นั้นใช้วิชาตามรอยวิญญาณของขวดไป
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถตามรอยไปได้อย่างทันท่วงที แต่สัญลักษณ์ยังคงอยู่ เขาสามารถตามมันกลับมาได้ตลอดเวลา
อีกทั้งเขาสามารถหาจิตวิญญาณของขวดกลับมาได้ เมื่อยืมพลังของการดึงดูดของขวด การตามหาขวดคว้าสวรรค์เต็มใบก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่น่าเสียดายก็คือ ไม่ว่าเขาจะคิดมาดีเท่าไหร่ แต่ตอนที่เขาตกลงมาแดนวิญญาณ ได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อทั้งหมดแทบจะแหลกละเอียด และพลังของเขาก็ได้รับความเสียหายมากเช่นกัน
เขาจึงต้องหลอมรวมร่างเซียนด้วยการทดแทนของสมบัติจิตวิญญาณด้วยความจำใจ และค่อยๆ บำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง
ในตอนนั้นเขาใช้เคล็ดวิชาสะกดรอยตามมากกว่าหนึ่งครั้ง หลังจากการตรวจสอบแล้ว ในที่สุดของก็สามารถแน่ใจได้ว่าจิตวิญญาณของขวดอยู่ที่แดนมารที่ใกล้กับโลกมนุษย์มาก
เขาใช้ร่างจำแลงอยู่หลายครั้งเพื่อเดินทางข้ามแดนวิญญาณอย่างเงียบๆ พร้อมค้นยาโอสถวิญญาณทุกชนิดที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง
แดนที่หนาวเย็นอย่างแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำราม เขาก็เคยเดินทางเข้าไปอย่างเงียบๆ ครั้งหนึ่ง
ฝักบัวเงินที่หานลี่นำออกมาจากแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำรามในวันนั้น ก็มีประโยชน์กับเซียนที่ร่างกายแข็งค้าง เพียงแต่ว่ามันขาดความร้อนจึงทำให้ไม่สามารถเก็บมันได้ ส่วนโอสถอื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์ เขาจึงนำยาเสริมวิญญาณวางไว้ที่เดิม
แต่เซียนผู้นี้กลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากนั้นหลายปี หานลี่จะเข้าไปที่นั้นอย่างยิ่งใหญ่ ละเก็บโอสถเสริมวิญญาณออกมาอย่างไม่เกรงใจ
นั่นทำให้เซียนผู้นี้โมโหจนแทบตายแน่นอน
สิ่งนั้นจะต้องทำให้เขาหลอมร่าง และพลังกลับคืนสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ เขาจึงรีบออกจากวังใต้น้ำ เพื่อไปตามหาหานลี่ แต่ที่ประมาทก็คือ บริเวณใกล้เคียงของโลกมนุษย์กลับอยู่พื้นที่ของหลิงอ๋องที่เข้าใจเรื่องแดนเซียนและเซียนดี
เมื่อหานลี่คิดมาถึงตรงนี้ ในใจของเขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างมาก เขาขยับข้อมือเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงของเหลวไหลเบาๆ ออกมาจากขวดสีเขียว
ของเหลวเหล่านี้ไม่ใช่โอสถวิญญาณที่เสริมการกำเนิด แต่นี่เป็นหยดเลือดวิญญาณที่ดึงออกมาจากเซียนผู้นั้นอย่างยากลำบาก เขาจึงสามารถใช้วิชาสะกดรอยได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในเมื่อจิตวิญญาณของขวดอยู่ที่แดนมาร เขาก็สามารถค้นหามันอย่างแม่นยำได้เช่นกัน
เมื่อคิดว่าพลานุภาพของขวดคว้าสวรรค์จะกลับมาดังเดิม และสามารถใช้พลังทุกอย่างได้ หานลี่ก็อดรู้สึกมีไฟขึ้นมาไม่ได้
“แดนมาร เช่นนั้นก็รีบไปดูสักรอบดีกว่า” หานลี่คิดเรื่องนี้ในใจ
และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกรในร่างกายของเขา
เมื่อหานลี่ได้ยินดังนั้น เขาก็รีบเก็บขวดเล็กๆ ในมือทันที จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้น เกล็ดสีเงินก็ปรากฏออกมากลางอากาศ หลังจากที่มันบินวนอยู่รอบตัวเขารอบหนึ่ง มันก็มาหยุดที่ด้านหน้าของเขา