ตอนที่ 989 สิ่งมีชีวิตลึกลับปรากฏตัวอีกครั้ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

สตรีวัยกลางคนผู้นั้นคือผู้อาวุโสของนิกายหงส์แดง ความแข็งแกร่งของนางก็ถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์ที่มาด้วยกันที่นี่ ทันทีที่ก้าวเข้าในวงล้อมของหมอกหนารอบตัว นางก็เผชิญหน้ากับเงามืดที่แข็งแกร่ง หลังจากต่อสู้กันครู่ใหญ่ นางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำได้เพียงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือเท่านั้น

หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และอีกสองคนที่มุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว เกรงว่านางคงต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว

ด้วยการร่วมมือกันของหวังเยว่และเหลยเจิ้น เงามืดก็ถูกยับยั้งไว้ได้สำเร็จและไม่สามารถทำร้ายสตรีผู้นั้นได้อีกต่อไป ไม่นานนักมันก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ฟิ้ววว !

ร่างเงาทะมึนพุ่งหายตัวไปในม่านหมอกอย่างรวดเร็วและไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย ราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน

“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยข้า”

สตรีวัยกลางคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นเพื่อปรับสภาวะพลังภายในร่างกายตนเอง

ฉินอวี้โม่ก็เดินเข้าไปใกล้ ทันทีที่เงามืดนั้นหายไป กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวที่สัมผัสได้จากมุมมืดก่อนหน้าก็หายไปเช่นกัน นางคาดเดาได้ไม่ยากว่ามันจะต้องเป็นกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในภูเขาลูกนี้ ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตลึกลับตัวนั้นนั่นเอง

หวังเยว่และเหลยเจิ้นมองสำรวจไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังด้วยกังวลว่าเงามืดเมื่อครู่จะโผล่ออกมาอีกครั้ง

หลังจากรอเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป สตรีวัยกลางคืนก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและพลังภายในร่างกายของนางก็ฟื้นฟูกลับคืนมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว สภาพของนางในตอนนี้ดูไม่อ่อนแอและน่าเห็นใจเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป

“ขอบคุณท่านทั้งสามมากที่เข้ามาช่วยข้าไว้ เงาลึกลับนั่นน่ากลัวมากจริง ๆ ข้ามิใช่คู่มือของมันเลย อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกได้ว่ามันมิใช่สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในภูเขาลูกนี้”

ผู้อาวุโสของนิกายหงส์แดงก็เป็นสตรีที่ชาญฉลาดเช่นกัน แม้เงามืดเมื่อครู่จะทรงพลังอย่างมาก นางก็สัมผัสได้ว่ามันมีพลังที่เหนือกว่านางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นมีความแข็งแกร่งเพียงในระดับนั้น จอมยุทธ์ทุกคนก็คงจะไม่รู้สึกอับจนปัญญากันเช่นนี้

เงามืดนั่นคงจะเป็นเพียงลิ่วล้อหรือผู้พิทักษ์ของสิ่งมีชีวิตลึกลับนั้นและศัตรูแกร่งกล้าที่แท้จริงยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา

“ข้าคือผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายหงส์แดงนามว่าไป๋ซู หากทุกท่านมีโอกาสไปเยือนนิกายหงส์แดงในอนาคต ข้าจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเพื่อตอบแทนน้ำใจของพวกท่าน”

ไป๋ซูกล่าวแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงใจ

“ผู้อาวุโสไป๋ซูไม่ต้องเกรงใจพวกเราหรอก ถึงอย่างไรเราก็ต้องร่วมมือกันเพื่อเอาชนะสิ่งมีชีวิตลึกลับบนภูเขาจันทราและการช่วยท่านมิใช่เรื่องที่ลำบากเลย”

หวังเยว่โบกมือปัดและกล่าวเพื่อมิให้ไป๋ซูเกรงใจจนเกินไป

“อวี้โม่ เราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี ?”

เขาก็มองตรงไปที่ฉินอวี้โม่และเอ่ยถามถึงแผนการขั้นต่อไปของนาง

ก่อนหน้านี้ไป๋ซูก็เลือกเดินติดตามกลุ่มของฉินอวี้โม่ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่านิกายหงส์แดงน่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจและสามารถโน้มน้าวใจให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกันได้

“ไปกันต่อเถอะ พวกมันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ คนอื่น ๆ ก็คงจะตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน ตอนนี้เราหาทางจับตัวเจ้าเงามืดนั่นมาให้ได้จะดีกว่า”

ฉินอวี้โม่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ตราบใดที่จับตัวเงามืดที่อ่อนแอกว่าได้ นางเชื่อว่าจะหลอกล่อสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นออกมาได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น พวกนางจะได้ร่วมมือกันเพื่อจัดการกับมันด้วยกัน

“ตกลง”

หวังเยว่และเหลยเจิ้นพยักศีรษะตอบตกลงทว่าไป๋ซูมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย

นางรู้จักหวังเยว่และเหลยเจิ้นมาก่อนและพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่มีสถานะสูงในนิกายของตน ทว่าเหตุใดหวังเยว่และเหลยเจิ้นจึงเชื่อฟังการตัดสินใจของสตรีวัยเยาว์ตรงหน้าเช่นนี้ ?

ก่อนหน้านี้นางก็เคยได้ยินถึงชื่อเสียงเรียงนามของ ‘ฉินอวี้โม่’ มาก่อน กล่าวกันว่าสตรีผู้นี้ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่น่าทึ่งในภารกิจเดินทางไปชายฝั่งทางเหนือก่อนหน้านี้และเป็นคนที่สะสางวิกฤตที่นั่นได้สำเร็จ ทั้งบรรดาผู้อาวุโสและศิษย์ของนิกายหงส์แดงหลายคนที่เดินทางไปที่ชายฝั่งทางเหนือด้วยกันก็ล้วนชื่นชมยกยอฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก

ไป๋ซูสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่มาตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าคราแรกที่ได้พบกัน นางก็เพียงแปลกใจเล็กน้อยโดยไม่มีความรู้สึกอื่น ทว่าตอนนี้นางรู้สึกแตกต่างออกไป

หากเป็นเพียงสตรีธรรมดาทั่วไป ฮวาหรงก็คงไม่เลือกพาฉินอวี้โม่ขึ้นมาที่ภูเขาด้วยกันเช่นนี้ หวังเยว่และเหลยเจิ้นเองก็คงไม่ถามความคิดเห็นของนางเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋ซูสัมผัสได้ว่าเพลิงทรงพลังที่ห้อมล้อมรอบตัวฉินอวี้โม่อยู่นั้นอัดแน่นไปด้วยพลังที่แรงกล้าและพลังดังกล่าวสามารถปัดเป่าหมอกหนาได้เป็นการชั่วคราว พวกนางจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

ไม่นานนัก กลุ่มคนทั้งสี่ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังยอดเขาของภูเขาจันทรา

ภายในม่านหมอกมีคลื่นพลังที่แปลกประหลาดบางอย่างอยู่และจอมยุทธ์ไม่สามารถแผ่พลังวิญญาณออกไปได้ไกลนักจึงไม่สามารถพบร่องรอยของคนอื่น ๆ ได้

สภาพแวดล้อมรอบตัวทั้งสี่ก็เงียบสงบลงอีกครั้ง ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับและเงามืดหวาดกลัวต่อบางสิ่งบางอย่างจึงไม่รีบร้อนโจมตี

ภายในชั่วพริบตา อีกครึ่งชั่วยามก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างการเดินทาง พวกนางก็ได้พบกับจอมยุทธ์อีกสองคนและกลุ่มของสี่คนได้กลายเป็นกลุ่มหกคนซึ่งถือว่าปลอดภัยขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม พวกนางก็ยังไม่พบร่องรอยของฮวาหรงและผู้อาวุโสของนิกายเมฆาล่องลอยและอุปกรณ์มายาของนิกายเมฆาล่องลอยก็ยังไม่ถูกใช้เช่นกัน

“เดินหน้าต่อไปอีกไม่ไกล เราก็จะไปถึงยอดเขา !”

เวลานี้ฉินอวี้โม่และคณะอยู่ไม่ไกลจากยอดเขามากนัก ทว่าหากขึ้นไปถึงยอดเขาจริง ๆ วิกฤตก็อาจจะหายไปและแผนการของทุกคนก็ถือว่าล้มเหลวไปโดยปริยาย

“เฝ้ารออยู่ที่นี่ก่อนเถอะ ไม่มีใครขึ้นมาบนยอดเขานานหลายวันแล้ว ข้าเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นคงอดใจรอไม่ไหวแน่ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ และกล่าวบอกให้อีกห้าคนหยุดรอชั่วคราวพร้อมหาที่นั่งพักอย่างสบาย ๆ

ทุกคนก็ลงและรอคอยอย่างเงียบ ๆ

“หากสิ่งมีชีวิตลึกลับปรากฏตัวออกมาก่อนที่คนจากนิกายเมฆาล่องลอยจะใช้อุปกรณ์มายานั่น เราจะทำอย่างไรกัน ?”

ไป๋ซูอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ หากตัวแทนของนิกายเมฆาล่องลอยเพลี่ยงพล้ำไปก่อนที่จะใช้อุปกรณ์มายานั้นได้สำเร็จ พวกนางก็คงไม่มีโอกาสตามหาเป้าหมายได้พบด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการกำจัดมัน

“หากเป็นเช่นนั้นเราก็ทำได้เพียงแค่ขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อวางแผนกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ข้าสังหรณ์ใจว่าเจ้านั่นจะปล่อยให้พวกเรารวมตัวกันก่อน !”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบาๆ และไม่ทราบเลยว่าเหตุใดตนจึงสังหรณ์ใจเช่นนั้น

นางคิดว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นจะปล่อยพวกนางทั้งหมดรวมตัวกันและจัดการกับพวกนางภายในคราวเดียวอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางมายังภูเขาจันทราครานี้จะไม่สงบสุขเป็นแน่ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจอมยุทธ์ปีศาจจะส่งคนมาที่นี่ด้วยหรือไม่

จอมยุทธ์สองคนที่ฉินอวี้โม่และคณะพบในภายหลังมาจากนิกายพยัคฆ์ขาวและนิกายเต่าดำ ทั้งสองก็ไม่เคยรู้จักกับหวังเยว่และคนอื่น ๆ มาก่อน เพราะเหตุนั้น บางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้อย่างชัดเจนนัก พวกนางจึงต้องรอดูการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ และภายในชั่วพริบตา เวลาในยามราตรีก็ใกล้จะหมดลงแล้ว อีกครึ่งชั่วยามข้างหน้า ท้องฟ้าจะเริ่มสว่างขึ้นมา และต่อให้สิ่งมีชีวิตลึกลับจะปรากฏตัวขึ้นมาในตอนนั้น โอกาสที่มันจะเอาชนะพวกนางก็ลดน้อยลงมาก

ในเวลานี้ จู่ ๆ ก็เกิดการเคลื่อนไหวบางอย่างในพื้นที่บริเวณหนึ่ง

หมอกหนารอบตัวจางหายไปอย่างกะทันหันและแสงสีแดงเป็นประกายส่องสว่างระยิบระยับอย่างชัดเจนกลางอากาศ มันคือสัญญาณแจ้งเหตุที่ตัวแทนของนิกายเมฆาล่องลอยส่งออกมานั่นเอง

ฉินอวี้โม่และทุกคนลุกพรวดและรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางของสัญญาณนั้นทันทีโดยที่สีหน้ายังคงแสดงถึงความระแวดระวังอย่างชัดเจน

เมื่อมาถึงทิศทางของสัญญาณนั้น ทุกคนก็ได้เห็นการต่อสู้อย่างดุเดือดที่กำลังดำเนินอยู่

ไม่อาจทราบได้ว่าฮวาหรงและตัวแทนจากนิกายเมฆาล่องลอยรวมตัวกันเมื่อใด ทว่านอกจากทั้งสองก็ยังมีผู้อาวุโสจากสำนักห้าขุนเขาและสำนักเบิกภูผารวมอยู่ด้วย

เวลานี้คนทั้งสี่กำลังร่วมมือกันต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตลึกลับซึ่งเต็มไปด้วยคลื่นพลังประหลาดปกคลุมภายใต้ผ้าคลุมสีดำสนิท อย่างไรก็ตาม เงามืดไม่ปรากฏให้เห็นในบริเวณนี้และเหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ที่นี่

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเจ้าคงจะขึ้นมาบนยอดเขาเพื่อที่จะจัดการกับข้าสินะ ทว่าพวกเจ้าก็มาได้เวลาพอดิบพอดี ข้ากำลังขาดแคลนพลังงานไปส่วนหนึ่ง ด้วยการที่มีพวกเจ้ากลายมาเป็นเหยื่อสังเวยให้ข้ามากมายเช่นนี้ ข้าจะสามารถทะลวงพลังได้สำเร็จและฟื้นฟูความแข็งแกร่งในระดับสูงสุดกลับคืนมา !”

เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากเสื้อคลุมสีดำและเจือด้วยความเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับไม่เห็นคนของสามสำนักและเก้านิกายอยู่ในสายตาเลยสักนิด

“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ ? เหตุใดจึงปรากฏตัวขึ้นมาที่ภูเขาจันทราและเข่นฆ่าผู้คนไปมากมายเช่นนี้ ?!”

ผู้อาวุโสของสำนักเบิกภูผาจ้องตรงไปที่สิ่งมีชีวิตภายใต้เสื้อคลุมสีดำพร้อมกับปลดปล่อยก้อนพลังมายาออกไป

“เหอะ เมื่อพวกเจ้าตายไป พวกเจ้าก็จะได้รู้เอง !”

สิ่งมีชีวิตลึกลับก็โบกมือเล็กน้อยและก้อนพลังมายาของฝ่ายตรงข้ามก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที จากนั้นพลังงานสีดำประหลาดก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งร่างของผู้อาวุโสสำนักเบิกภูผา