กระบองไม้ไผ่สีเขียวขี้ม้าถูกโยนเข้าไปหลอมในเตาผลึกหินชั้นใน หลังจากทุกอย่างเตรียมเสร็จแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ต้องเฝ้าอีก
ต่อจากนี้ต้องปล่อยให้น้ำลับหิน หลังจากเวลาผ่านไป เมื่อเวลามาถึงแล้วเตาก็จะเปิดออกเอง
และหลังจากการเดินทางไกล พวกเยี่ยนจ้าวเกอในที่สุดก็มาถึงยอดเขาหัวใจเดี่ยวบนยอดเขาอาทิตย์หยก
เมื่อมองไปไกล ป่าไม้สีแดงเพลิงหนาแน่นบนเนินเขาทางใต้ กิ่งใบส่ายไหวภายใต้สายลม เหมือนกับมีเพลิงลุกโชนด้านในเขา
‘ต้นอัคคีสวรรค์ ทั้งยังเป็นป่าอัคคีสวรรค์ที่หนาแน่นขนาดนี้ด้วย’ เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะเล็กน้อย
เมื่อมีการนำทางจากแผนภาพที่บันทึกอยู่ในสร้อยลูกปัดหยก เขาประหยัดเวลาในการค้นหาหลังจากมาถึงยอดเขาหัวใจเดี่ยว ไปยังโพรงหินข้างใต้ได้โดยตรง
ยอดเขากับยอดเขากอปรกันเป็นหุบเขาขนาดยักษ์สายหนึ่ง บนหุบเขามีต้นอัคคีสวรรค์จำนวนมาก กิ่งใบปกคลุมฟ้าตะวัน
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปด้านใน มุ่งหน้าลงด้านล่าง
ครั้นเงยหน้ามองไป ร่องแยกของหุบเขาด้านบนเดิมทีแคบเล็ก พอถูกกิ่งใบปิดไว้ ด้านในหุบเขาพลันมืดมิด มีแค่แสงสว่างประปรายลอดผ่านร่องแยกระหว่างกิ่งใบลงมา
เมื่อถึงส่วนลึกของหุบเขา ยิ่งแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
ต้นอัคคีสวรรค์เป็นสีแดงทั้งสี่ฤดู แทบไม่มีเวลาที่ใบร่วง
เมื่อไม่เห็นแสงอาทิตย์ สภาพแวดล้อมในหุบเขาก็ยิ่งดูเย็นเยียบชุ่มชื้นผิดปกติ
เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจ “มิน่าที่นี่ถึงไม่มีขุมกำลังใดอยู่หรือมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาก่อตั้งสำนัก”
ต้นอัคคีสวรรค์มากมายเมื่อรวมอยู่ด้วยกัน จะกลืนกินปราณวิญญาณชีวิตธาตุไม้ที่โชติช่วง รวมถึงลมปราณธาตุไฟที่เร่าร้อน จึงมีความร้อนและมีความเป็นหยางถึงขีดสุด
ด้านในหุบเขาด้านล่างกลับเต็มไปด้วยปราณหยินและความเย็น
ชายหนุ่มมองสภาพแวดล้อมของที่นี่ ยังนึกว่าที่นี่อาจจะเป็นผืนดินน้ำแข็งเพลิงที่มีอยู่น้อยนิด เป็นดินแดนแห่งปราณวิญญาณที่หายาก
ทว่าเมื่อสังเกตให้ละเอียดแล้วจึงค่อยพบว่า ปราณหยินและปราณหยางของที่นี่ประกอบกันเป็นสมดุลอันพิสดาร ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยกันเติบโตเท่านั้น ยังลดทอนกันและกันด้วย
ด้วยเหตุนี้ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของยอดเขาหัวใจเดี่ยวจึงดูธรรมดา มีน้อยคนที่ชอบ
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกฝึกฝนวิชาอยู่ในวังฝูงมังกร เพื่อทำลายด่านของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก
เยี่ยนจ้าวเกอออกมาจากตำหนัก นั่งบนหลังพ่านพ่าน ให้มันแบกทุกคนลงไปที่ก้นหุบเขา
หลังจากตามหาอยู่ในหุบเขาได้สักพัก ก็เจอโพรงที่ภาพในสร้อยลูกปัดหยกบ่งชี้
พวกเยี่ยนจ้าวเกอเดินเข้าไปด้านใน พบว่าโพรงนี้ลึกยิ่ง ด้านล่างยิ่งเชื่อมไปทั่วสี่ทิศแปดทาง
เมื่อเข้ามาในโพรง ก็ยากจะจำแนกแยกแยะทิศทาง
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีแผนในใจอยู่แล้ว เขาหยิบกล่องผ้าแพรใบเล็กออกมาอย่างระมัดระวัง
กล่องผ้าแพรถูกเปิด พลันมีแสงสว่างส่องระยิบระยับด้านในโพรงที่มืดมิด อาศัยแสงสีทอง ยังเห็นปราณม่วงจางๆ ลอยขึ้นมาจากในกล่องผ้าแพรได้
ชายหนุ่มมองโอสถทองโอบอุ้มที่อยู่ในกล่อง ‘ถ้าหากว่าเราเดาไม่ผิดล่ะก็’
ขณะที่คิดอยู่ ก็เห็นโอสถวิญญาณด้านในกล่องผ้าแพรสั่นไหวเบาๆ จากนั้นก็ลอยส่ายออกไป
เยี่ยนจ้าวเกอไม่หยุดการลอยออกจากกล่องผ้าแพรของโอสถทองโอบอุ้ง รู้สึกฮึกเหิม ตามติดโอสถวิญญาณที่ลอยด้วยตัวเองอยู่ด้านหลัง
โอสถทองโอบอุ้มมีระดับชั้นสูงเกินไป ปราณวิญญาณกับคุณสมบัติวิญญาณในโอสถสีทองเม็ดนี้ ความจริงไม่ได้ดูง่ายดายเหมือนเช่นตอนนี้
เพียงแต่เป็นเพราะผ่านการเลื่อนไหลของกาลเวลาอันยาวนาน เพื่อคงคุณสมบัติวิญญาณไว้ โอสถทองเม็ดนี้จึงผนึกไม่ให้ปราณวิญญาณของตัวเองไหลออกมาด้านนอก
พูดอีกอย่างก็คือ โอสถวิญญาณชิ้นนี้ ตอนนี้กำลังอยู่ในการหลับไหลเหมือนกับสิ่งมีชีวิต
เหมือนกับการจำศีลของสิ่งมีชีวิตในฤดูหนาว เก็บพลังชีวิตและคุณสมบัติวิญญาณของตัวเอง เพื่อไม่ให้ลมและน้ำค้างภายนอกกัดกิน
ดังนั้นขณะเดินทางอยู่ในนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดความคิดหนึ่งในใจ
ถ้าหากว่าที่นี่เชื่อมไปยังเส้นทางที่ใช้ตามหาของวิเศษตามคำพูดของซุนจ้งต๋าจริงๆ
ถ้าหากว่าของวิเศษชิ้นนั้นเป็นของล้ำค่าอย่างเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับจริงๆ
ถ้าหากว่าโอสถทองโอบอุ้มหลอมมาจากเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับจริงๆ
ถ้าหากว่าคุณสมบัติวิญญาณของโอสถเม็ดนี้ยังคงมีมากกว่าครึ่งจริงๆ
เช่นนั้น โอสถทองโอบอุ้มเม็ดนี้ก็อาจจะนำทางไปสู่สถานที่แห่งนั้นได้
ในนี้มีเงื่อนไขก่อนหน้าและสมมติฐานมากมายเกินไป หากมีเงื่อนไขหนึ่งไม่เกิดผล แผนการจะเสียเปล่าทันที
ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงผ่อนคลายยิ่ง ไม่ได้มีความหวังอะไรมากนัก อย่างมากสุดหลังจากผิดหวังแล้ว ก็ค่อยใคร่ครวญหาวิธีการอื่นค่อยๆ ตามหาก็พอ
แต่ดูเหมือนตนจะมีโชคไม่เลว จากลักษณะของโอสถทองโอบอุ้มในตอนนี้ แผนการก่อนหน้านี้สำเร็จแล้วกระมัง?
‘ปฏิกิริยาของโอสถทองโอบอุ้มเม็ดนี้ เท่ากับยืนยันการคาดเดาของซุนจ้งต๋าแล้ว’ เยี่ยนจ้าวเกอตาลุกวาว
ตามการคาดเดาของซุนจ้งต๋า ของวิเศษที่เขาต้องการตามหา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ ของวิเศษมรรคาโอสถที่ถูกเก็บอยู่ในตำหนักโอสถของวังเทพในตำนาน
ทว่าสุดท้ายก็เป็นแค่การคาดเดา จะเจออะไร ก่อนจะมีหลักฐานอย่างเป็นรูปธรรม สุดท้ายก็ยังเป็นแค่คาดเดา
เยี่ยนจ้าวเกอทดลองและยืนยันผ่านโอสถทองโอบอุ้ม การคาดเดานี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกต้อง
อันดับแรก ด้านในโพรงหินนี้ซ่อนเส้นทางที่เชื่อมไปยังของวิเศษเอาไว้จริงๆ
อันดับสอง ในของวิเศษมีเตาโอสถหรือหม้อปรุงโอสถที่หลอมโอสถทองโอบอุ้มเม็ดนี้อยู่
สุดท้าย เตาโอสถมีความเป็นไปได้แปดถึงสิบส่วนว่าจะเป็นเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ
สามารถเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ได้ สามารถสลักร่องรอยไว้บนโอสถอย่างล้ำลึกเช่นนี้ได้ สามารถผ่านการเคี่ยวกรำมานานขนาดนี้ได้ สามารถทำให้โอสถทองโอบอุ้มเกิดปฏิกิริยาทั้งๆ ที่มีระยะห่างระหว่างมิติไกลแสนไกลได้ เตาโหลอมโอสถทั่วไปไม่มีทางทำได้เด็ดขาด
สุดท้าย ต่อให้ไม่ใช่เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ ก็ควรเป็นของวิเศษอย่างอื่นที่มีคุณสมบัติไม่ด้อยกว่ากัน
ของวิเศษชิ้นนี้มีอยู่จริงๆ มีหลักฐานให้สืบสาว และมีค่าควรเมือง
วาสนาเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอย่อมนับได้ว่าโชคดีแล้ว
ถ้าหากว่าตำหนักโอสถยังคงอยู่ ถ้าหากว่าการเดินทางในครั้งนี้สามารถหาที่อยู่ของตำหนักโอสถเจอ เช่นนั้นก็ยิ่งประเมินคุณค่าไม่ได้
แน่นอนว่าการเดินทางในครั้งนี้ อาจมีอันตราย มีคู่แข่งอยู่จำนวนไม่น้อย
เยี่ยนจ้าวเกออยู่ด้านหลังโอสถทองโอบอุ้ม คอยมองโอสถวิญญาณเม็ดนี้ลอยอยู่กลางอากาศ
หลังจากมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ เขาก็สังเกตได้อย่างชัดเจนว่า ความเร็วในการลอยของโอสถทองโอบอุ้มเริ่มเพิ่มขึ้นแล้ว
หลังจากเคลื่อนไหวในโพรงซึ่งเชื่อมออกไปรอบๆ โอสถทองโอบอุ้มสุดท้ายก็หยุดลง หมุนอยู่ระหว่างหินย้อยบริเวณหนึ่ง ก่อนจะหยุดอยู่กลางอากาศและสั่นไหวเบาๆ
ชายหนุ่มหยุดฝีเท้า สัมผัสอย่างเงียบๆ
ด้วยความสามารถในการรับรู้ของเขา หลังจากผ่านไปไม่นานนัก เขาก็พบถึงความลับบางอย่าง
เยี่ยนจ้าวเกอไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ในมือปรากฏหอกธงเมฆา จากนั้นก็ปักหอกใส่หินย้อยแท่งหนึ่ง
หินย้อยนั้นไม่ได้แหลกสลาย ทว่าตรงที่ปลายหอกโดนมีจุดสีดำเล็กๆ จุดหนึ่งโผล่มา
จุดดำค่อยๆ ขยายขึ้น กลายเป็นร่องแยกมิติสีดำขลับเส้นหนึ่ง
เขาพยักหน้าเล็กน้อย มิติเวลาของที่แห่งนี้เคยถูกฉีกเป็นร่องเล็กๆ ร่องหนึ่ง เกิดเป็นทางเชื่อมเขตแดนมิติเส้นหนึ่ง
ต่อมาร่องแยกปิดตัวลง แต่ว่าก็เหมือนกับแผลเป็น ยังคงมีร่องรอยอยู่
หอกเมื่อครู่ของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นการเปิดปากแผลอีกครั้ง
เขาเก็บโอสถทองโอบอุ้มกับหอกธงเมฆา จากนั้นก็พลิกตัวเข้าไปในวังฝูงมังกร ก่อนที่วังฝูงมังกรจะกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปในร่องแยกมิติด้วยความเร็วสูง
หลังจากทะลุมิติหนาหนัก ตำแหน่งของเยี่ยนจ้าวเกอก็อยู่ในมิติต่างแดนแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มสัมผัสการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณด้านในมิติต่างแดนเล็กน้อย จากนั้นจึงทราบว่าที่นี่มีขนาดใหญ่โตยิ่ง
เขตแดนของที่นี่มั่นคงอย่างน่าประหลาด แตกต่างกับมิติต่างแดนที่เคยไปมาก่อน แม้ว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจะสู้กันที่นี่ ก็ไม่อาจก่อให้เกิดการแหลกสลายของมิติต่างแดนได้
หากบอกว่าที่นี่เป็นมิติต่างแดน มิสู้บอกว่าเป็นโลกใบหนึ่ง
สามารถประกอบกันเป็นมิติเวลาเช่นนี้ได้ หมายความว่าที่นี่จะต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาอยู่อย่างแน่นอน หากไม่ใช่คน เช่นนั้นก็เป็นสิ่งของ