บทที่ 953 บีบให้ช่วยเหลือ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

หลังจากเหตุการณ์ปะทะกับเทียนเก๋อผ่านไป หลิงยู่ชานใช้เวลาจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในสันเขาทรราชให้เข้าที่อยู่หลายวัน จากนั้นเขาก็พาเหล่าผู้ติดตามของเขาเองออกเดินทางไปกับกองทัพของหลิงยี่เทียน

หลิงยี่เทียนรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมาก เพราะพี่ชายของเขานำคนมาเสริมทัพของเขามากถึง 1 ล้านคน แถมยังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิอีกสิบกว่าคนที่เข้าร่วม

แต่ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่าผู้คนของสันเขาทรราชจะดีใจยิ่งกว่าหลิงยี่เทียนซะอีก เพราะด้วยความอุดมสมบูรณ์ของอาณาเขตในภูมิภาคอี้ซาง พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรไปอีกอย่างน้อย ๆ ก็แสนปี

ในระหว่างที่กองทัพอาณาจักรจันทราเคลื่อนอัพผ่านอาณาเขตต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ บรรดาสำนักที่อยู่ตามรายทางก็ขอเข้าร่วมกับพวกเขามากขึ้น ๆ จนท้ายที่สุดเมื่อพวกเขาเดินทางถึงอาณาเขตวายุ กองทัพพันธมิตรก็มีจำนวนคนรวมกันมากถึง 300 ล้านคน

เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงอาณาเขตวายุ หลิงยี่เทียนก็สั่งให้กองทัพทั้งหมดหยุดลงเพราะกองทัพของเหล่าอสูรนั้นอยู่ไม่ไกลจากอาณาเขตวายุเช่นกัน และพวกมันกำลังจะเข้าโจมตีที่นี่เร็ว ๆ นี้ ดังนั้นหลิงยี่เทียนจึงตั้งใจว่าจะใช้ที่นี่เป็นสนามแรกของพวกเขา

หลังจากที่พวกเขาหยุดลงที่อาณาเขตวายุได้ไม่นาน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของเผ่าอสูรที่หนาแน่นกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

หลิงยี่เทียนสั่งขึ้นทันที “ทุกคนเตรียมค่ายกลรบให้พร้อม พวกอสูรโผล่มาเมื่อไหร่พวกเราจะโจมตีทันที!”

กองทหารทั้งหลายต่างแยกกันเปิดใช้งานค่ายกลรบที่ตนเองฝึกฝนมา ไม่มีทหารคนไหนที่แยกกันออกไปสู้เดี่ยว ๆ ยกเว้นบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระเพื่อคอยป้องกันบรรดาอสูรระดับสูงไม่ให้ลอบโจมตีกองทัพ

จริง ๆ แล้วสงครามนั้นมีกฎที่ไม่ได้เขียนขึ้นมาอยู่ก็คือ อันดับแรกกองทัพทั้งสองฝ่ายจะใช้ทหารเข้าห้ำหั่นกันก่อน ส่วนบรรดาพวกผู้เชี่ยวชาญระดับสูงนั้นจะลงมือกันแต่ตอนที่จำเป็นเท่านั้นหรือไม่ก็ต้องเป็นศึกแตกหักที่ตัดสินความอยู่รอด

เมื่อกองทัพอสูรปรากฏกายขึ้น ในช่วงแรกทั้งสองกองทัพต่างปะทะกันแบบหยั่งเชิงไปมา ไม่มีฝั่งไหนโถมกำลังบุกอีกฝ่ายอย่างบุ่มบ่าม

ในระหว่างที่รบกัน ความสามารถของหลิงฟ่างหัวก็เป็นที่ประจักษ์ว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากในการรบ

ด้วยทักษะการควบคุมมิติ นางสร้างรอยแยกมิติรายล้อมกองทัพพันธมิตรเอาไว้ทั้งสองด้านซ้ายขวาเพื่อคอยเป็นกำแพงกั้นการลอบโจมตีจากบรรดาอสูร

ส่วนเรื่องทรัพยากรต่าง ๆ ที่ใช้ในการรบ นางก็เป็นคนสร้างประตูเคลื่อนย้ายแบบชั่วคราวที่แนวหน้าเพื่อที่แนวหลังอย่างอาณาจักรจันทราจะได้สามารถส่งทั้งทรัพยากรและกำลังบำรุงให้กับแนวหน้าได้ในทันท่วงที รวมไปถึงลำเลียงผู้ที่บาดเจ็บจากการรบกลับไปพักรักษาตัวที่แนวหลังได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนทรัพยากรที่ต้องใช้ในการรบนั้น หลิงยี่เทียนไม่ได้เป็นกังวลเลยว่ามันจะไม่เพียงพอ เพราะเขามีทรัพยากรจากอาณาเขตในภูมิภาคอี้ซางเอาไว้ให้ใช้จำนวนมหาศาลรวมไปถึงทรัพยากรที่ได้จากอาณาเขตเงินตราที่ยึดมาได้อีก จนตอนนี้อาณาจักรจันทราคืออาณาจักรที่ร่ำรวยที่สุดในโลกก็ว่าได้

ในเรื่องของความกังวลว่าแนวหลังจะโดนลอบโจมตีนั้น หลิงยี่เทียนก็ไม่กังวลอีกเช่นกัน ขณะนี้อาณาเขตนภาทั้งหมดนั้นมีมหาค่ายกลของหลิงตู้ฉิงคอยปกป้องอยู่ และที่สำคัญไปกว่านั้นง้าวพินาศเทวะก็ยังอยู่ที่นั่นด้วย ต่อให้อสูรขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญรวมไปถึงบรรดาอสูรระดับสูงทั้งหมดที่มีอยู่ในสันเขาหมื่นอสูรบุกไปเขาก็ไม่กลัวว่าอาณาเขตนภาจะได้รับความเสียหาย

การสู้รบที่อาณาเขตวายุจบลงในเวลาไม่นานนักด้วยความปราชัยอย่างย่อยยับของทางฝั่งอสูร กองทัพอสูรถอยทัพไปอย่างรีบร้อน ซึ่งสังเกตได้จากการที่พวกมันทิ้งศพพวกพ้องของพวกมันเอาไว้กลาดเกลื่อนเต็มสนามรบ

หลิงยี่เทียนไม่ได้สั่งให้กองทัพของเขาไล่ตามไป “ทุกกองทัพค่อย ๆ เดินหน้าไปพร้อมกันตรวจทุกตารางนิ้วในอาณาเขตวายุให้แน่ใจว่าไม่มีอสูรตนไหนที่ยังหลบซ่อนอยู่ ภารกิจหลักของพวกเราคือการกำจัดพวกมันให้หมดไปจากอาณาเขตทั้งหลาย!”

ชัยชนะของกองทัพพันธมิตรทำให้กองกำลังที่อยู่ในอาณาเขตอื่น ๆ เริ่มมีขวัญและกำลังใจที่ดีขึ้น พวกเขาต่างนำคนของตัวเองมาร่วมกับหลิงยี่เทียนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในสถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้มันยิ่งทำให้หลิงยี่เทียนได้รับพลังแห่งความศรัทธามากขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่นกัน

แต่แล้วเมื่อกองทัพพันธมิตรเดินทางไปถึงอาณาเขตตู่ชาน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นต่อหน้ากองทัพพันธมิตร จากนั้นเขาขอเข้าพบกับหลิงยี่เทียนและเมื่อเขาได้เจอกับหลิงยี่เทียนที่กำลังประชุมอยู่กับผู้นำของกองกำลังอื่น ๆ เขารีบคุกเข่าและเอ่ยขอร้องเสียงดังทันที “ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องขอร้องอยากให้ท่านช่วยมอบความเป็นธรรมให้กับสำนักสุริยะม่วงของข้าด้วย!”

หลิงยี่เทียนขมวดคิ้วทันที และถามกลับ “สำนักของเจ้ามีปัญหาอะไร?”

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันรีบตอบกลับทันทีด้วยสีหน้าเดือดดาล “ฝ่าบาท หลังจากภูมิภาคอี้ซางเปิดออก สำนักของข้าก็เข้าไปที่ภูมิภาคอี้ซางเหมือนกัน แต่แล้วในเวลาถัดมาคนของสำนักข้าที่เข้าไปในภูมิภาคอี้ซางกลับถูกสังหารหมดไม่มีเหลือโดยสำนักยอดเขาอัสนีสวรรค์ แถมทรัพยากรต่าง ๆ ที่พวกเราเก็บเกี่ยวได้ทั้งหมดยังถูกชิงไปอีกต่างหาก”

“อาณาเขตที่ภูมิภาคอี้ซางนั้นมีอยู่มากมาย แต่สำนักยอดเขาอัสนีกลับเพ่งเล็งมาที่สำนักข้าเช่นนี้มันเป็นการจงใจรังแกสำนักที่อ่อนแอกว่าชัด ๆ สำนักของข้าเองไม่มีอะไรจะไปต่อกรกับพวกเขาได้จริง ๆ ดังนั้นข้าจึงได้แต่มาขอร้องให้ฝ่าบาทมอบความเป็นธรรมให้กับพวกเราด้วย!”

หลิงยี่เทียนขมวดคิ้วทันที สำนักสุริยะม่วงนั้นเป็นสำนักที่ส่งคนมาช่วยเขารบกับพวกอสูรเช่นกัน ดังนั้นจึงนับได้ว่าเป็นพันธมิตรของเขา ตอนนี้เมื่อสำนักยอดเขาอัสนีสวรรค์ทำการสังหารหมู่พันธมิตรของเขา ถ้าหากเขาไม่ตกลงช่วยมันจะทำให้กองกำลังอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตรของเขามองเขาในแง่ลบ และทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพถดถอยทันที

หลิงยี่เทียนจ้องเขม็งไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันของสำนักสุริยะม่วงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเขาพูดว่า “ข้าสามารถส่งคนของข้าไปช่วยสะสางปัญหาให้พวกเจ้าได้ แต่ผลงานทั้งหมดที่สำนักของเจ้าเคยทำเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มจะถูกหักล้างไปทั้งหมด หากสำนักของเจ้าอยากจะได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากการรบกับเผ่าอสูรต่อไป พวกเจ้าจะต้องสร้างผลงานเพิ่มใหม่นี่คือเงื่อนไขที่พวกเจ้าจำเป็นต้องยอมรับ!”

เมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันของสำนักสุริยะม่วงได้ยินเช่นนี้ เขาทำได้แค่พยักหน้ายอมรับ

เขาเข้าใจดีว่าทำไมหลิงยี่เทียนถึงทำเช่นนี้ มันเป็นเพราะว่าการที่เขาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น ๆ มันเป็นเหมือนการบังคับให้หลิงยี่เทียนต้องช่วยพวกเขาทางอ้อม ซึ่งถ้าหากหลิงยี่เทียนไม่ช่วยพวกเขา ภาพลักษณ์ของหลิงยี่เทียนจะเสียหายทันที

เมื่อพูดกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันของสำนักสุริยะม่วงเสร็จ หลิงยี่เทียนหันไปพูดกับซวนหยวนตู่ “ผู้อาวุโสซวนหยวน ข้าคงต้องขอรบกวนท่านให้ช่วยไปสะสางปัญหานี้ให้ที”

แต่ก่อนที่ซวนหยวนตู่จะทันได้ตอบอะไรกลับไป เสียงของหลิงตู้ฉิงก็ดังขึ้น “ไม่จำเป็น พ่อจะไปสะสางปัญหานี้ให้เจ้าเอง!”

“ท่านพ่อ!” หลิงยี่เทียนอุทานขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง “นี่ท่านมาที่นี่ได้ยังไง?”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ก่อนหน้านี้พ่อมาทำธุระที่อาณาเขตใกล้ ๆ พ่อเลยได้ข่าวว่าพวกเจ้าหยุดทัพกันอยู่ที่นี่ พ่อเลยแวะมาดูและมาเตือนอะไรบางอย่างให้เจ้าจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ไม่ว่าเจ้าจะเอาชนะพวกอสูรได้อย่างง่ายดายขนาดไหน พ่อขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าย่างกรายเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูรด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด เจ้าจะต้องรอจนกว่าพ่อจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นพ่อจะเป็นคนพาเจ้าบุกเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูรเอง”

“สันเขาหมื่นอสูรไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเจ้าทั้งหมดคิด รวมไปถึงอสูรบางตนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเจ้าจะรับมือได้ไหว ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้าตอนนี้ต่อให้พวกเจ้าจะมีจำนวนเยอะกว่า แต่ถ้าหากพวกเจ้าบุ่มบ่ามเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูร พวกเจ้าจะเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่”

หลิงยี่เทียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูดว่า “รับทราบแล้วท่านพ่อ ต่อให้พวกอสูรถอยกลับเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูร ข้าจะไม่ไล่ตามพวกมันเข้าไปด้านในแน่นอน ข้าจะรอจนกว่าท่านจะกลับมาอีกครั้ง”

“ดีมาก!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาล่ะเจ้าก็จงพยายามทำหน้าที่ของจ้าต่อไปให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องสำนักยอดเขาอัสนีสวรรค์พ่อจะรับหน้าที่ดูแลต่อเองเจ้าไม่ต้องกังวล อันที่จริงพ่อเองก็มีความจำเป็นต้องไปที่นั่นอยู่พอดีเหมือนกัน”

“ท่านพ่อ แล้วเมื่อไหร่ท่านจะกลับมาอีกครั้ง?” หลิงยี่เทียนรีบถามขึ้น

“เหลือพวกผู้ส่งสาสน์อีกราวสิบกว่าคนที่พ่อจำเป็นต้องไปสังหาร เอาไว้พ่อสังหารพวกเขาครบหมดเมื่อไหร่พ่อจะกลับมาหาเจ้าทันที” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ

จากนั้นหลิงตู้ฉิงร่ำลาลูก ๆ ของเขาที่เหลือและจากไปในทันที