ผ่านไปสองสามลมหายใจ แสงสีทองด้านในเขตแดนสีเทาก็ค่อยๆ จางลง หลงเหลือเพียงหมอกควันสีเทาขมุกขมัวกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวไม่สลายไปไหนอยู่ตรงกลาง
“คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์โลหิตอย่างข้าครั้งนี้จะมองพลาด เจ้าหนูจากนิกายยอดบริสุทธิ์คนนี้ถึงจะเป็นคนที่ตึงมือที่สุดในหมู่มนุษย์กลุ่มนี้!” เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังมาจากกลางไอหมอก ฟังดูเหมือนไม่ได้ถูกยันต์อสนีบาตทองสองแผ่นทำให้บาดเจ็บสักนิด
จากนั้นหมอกควันก็แยกออก ร่างของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ปรมาจารย์โลหิต?”
หลิ่วหมิงได้ยินพลันหรี่ตาสองข้างลง
ไม่รู้เพราะเหตุใดทันทีที่เขาได้ยินนามนี้ ในสมองก็ผุดภาพของราชาโลหิตผู้ฝึกฝนชั่วร้ายอันดับหนึ่งบนรายชื่อความเป็นความตายของสำนักเมื่อตอนนั้นขึ้นมาทันที
ศีรษะของ ‘ผู้ฝึกฝนแซ่ซุน’ ยังคงถูกหมอกโลหิตล้อมอยู่จึงมองเห็นหน้าไม่ชัดสักนิด แต่เสื้อผ้าบนร่างกลับขาดวิ่นดูไม่ได้ มือใหญ่ข้างหนึ่งคว้ากระบี่ขู่หลุนที่ยืดหดไม่นิ่งเอาไว้ ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจสลัดหลุด
“จิ๊ๆ เจ้าคงไม่คิดว่าอาศัยแค่เขตแดนอันเดียวจะขังข้าไว้ได้ใช่ไหม?” ‘ผู้ฝึกฝนแซ่ซุน’ มองเขตแดนสีเทาที่อยู่รอบด้าน แรกสุดตกตะลึงแต่จากนั้นก็แค่นหัวเราะ
ครู่ต่อมาปากเขาก็ท่องมนตร์งึมงำฟังยากออกมาหลายประโยค ร่างกายสั่นเล็กน้อย ผิวรอบร่างมีหมอกโลหิตทะลักออกมาในทันใด
แต่หลิ่วหมิงกลับไม่มอง ‘ผู้ฝึกฝนแซ่ซุน’ สักครั้ง เขาท่องมนตร์ออกจากปาก สองมือสะบัดเบื้องหน้า ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมา
ลูกแก้วกลมสีเทาสี่ลูกที่ล้อม ‘ผู้ฝึกฝนแซ่ซุน’ อยู่ฉับพลันเปล่งแสงสว่างจ้า เขตแดนสีเทาทั้งหมดสั่นไหวอย่างรุนแรง
‘ผู้ฝึกฝนแซ่ซุน’ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที กลางหมอกสีเลือดเหนือศีรษะฉับพลันมีมือยักษ์สีเลือดสองข้างโผล่ออกมาแหวกไปสองฝั่ง บังคับให้เขตแดนสีเทาแหวกเป็นช่องว่าง หมายจะแทรกร่างออกไปจากตรงกลาง
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มหยัน เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนในทันใด พร้อมกับที่ปากโพล่งออกมาว่า “ระเบิด”
ลูกแก้วกลมสีเทาสี่ลูกจู่ๆ ก็หมุนติ้วอยู่กับที่แล้วส่องแสงรัศมีสว่างจ้า กลายเป็นก้อนแสงมหึมาแสบตาสี่ลูกอย่างรวดเร็ว บนหน้าของผู้ฝึกฝนแซ่ซุนมีเวลาเพียงเผยสีหน้าหวาดผวาก่อนที่อึดใจต่อมาจะถูกแสงรุนแรงกลืนกลบ
เปรี้ยง! เสียงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง
พร้อมกับที่เสียงนี้ลอยมา แสงสีเทาที่อัดแน่นอยู่เต็มเขตแดนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากนั้นระเบิดเสียงดังกึกก้อง
สายลมทำลายล้างโถมพัดไปทั่วทุกสารทิศ ม่านแสงสีเลือดรอบด้านสั่นไหวเกือบพังทลาย
หลิ่วหมิงผู้มีปราณดำพวยพุ่งออกมาจากร่างอยู่ก่อนแล้วเหาะถอยไปด้านหลัง
เขาได้รู้จากคัมภีร์เจินหลิงเล่มนั้นว่าลูกแก้วเจินหลิงสี่ลูกนี้ฝังลูกเล่นระเบิดตัวเองเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ตอนสร้าง ก่อนอื่นใช้เขตแดนขังศัตรูไว้ด้านในจากนั้นระเบิดตัวเองอย่างรุนแรง ให้พลังทั้งหมดไม่เว้นสักหยาดหยดโจมตีลงบนร่างคนในเขตแดน
ดูจากสถานการณ์จริงตอนนี้ เห็นชัดว่าพลังของมันมากกว่ายันต์อสนีบาตทองสองแผ่นเมื่อครู่ตั้งไม่รู้กี่เท่า
ในเวลานี้เองท่ามกลางเปลวเพลิงกับหมอกควันที่ลอยขึ้นฟ้า แสงสีเลือดสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วออกมาจากด้านใน มันเหาะออกไปไกลด้วยความเร็วที่ราวกับชั่วสะเก็ดไฟแลบ
แต่หลิ่วหมิงสายตาดีปานใด ดวงตาทอประกายวูบหนึ่งก็พบสิ่งที่เหมือนดวงวิญญาณสีเลือดดวงหนึ่งใจกลางแสงสีเลือดนั่นอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนมันจะขาดแหว่งไม่ครบดวง
“คิดหนีรึ!” หลิ่วหมิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เงาร่างขยับวูบเดียว อึดใจต่อมาก็ขวางอยู่หน้าแสงสีเลือด แสงสีดำบนร่างสว่างจ้า มือใหญ่สีดำข้างหนึ่งคว้าจับดวงวิญญาณสีเลือดอย่างรวดเร็ว
ใจกลางดวงวิญญาณสีเลือดฉับพลันมีหน้าคนพร่ามัวดวงหนึ่งผุดออกมา มันเอ่ยอย่างเคียดแค้น
“เจ้าหนู ข้ารอคอยเวลานี้มานาน ในเมื่อเจ้าทำลายกายเนื้อร่างนั้นของข้า ถ้าเช่นนั้นก็เอาร่างของเจ้ามาให้ข้าเสียเถอะ!”
“ฟึบ” สิ้นเสียงดวงวิญญาณสีเลือดก็ทะลวงผ่านมือใหญ่สีดำอย่างไม่สนใจแล้วพุ่งมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิงในพริบตา พร้อมกับที่พลังกดดันน่าหวาดกลัวมาถึง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าในทะเลจิตรับรู้เกิดเสียงดัง “วิ้ง” จากนั้นร่างกายพลันชะงักอย่างห้ามไม่ได้ แต่อึดใจต่อมาดวงตาเขาก็ฟื้นกลับมากระจ่างใส ทว่าเวลานี้ใบหน้ามนุษย์พร่ามัวดวงนั้นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
เขาเปลี่ยนสีหน้าทันที ฉับพลันสูดลมหายใจลึก ลูกบอลอสนีบาตห้าสีลูกน้อยที่ถูกกักอยู่ในแก่นเสมือนที่ทะเลจิตวิญญาณในร่างสั่นไหวเล็กน้อย ตราประทับสายฟ้าห้าสีปรากฏออกมาบนหน้าอกที่มีเสื้อผ้าปิดอยู่ในทันใด จากนั้นเขาก็อ้าปาก เสียงเปรี้ยงดังขึ้นครั้งหนึ่ง แสงอสนีบาตห้าสีสายหนึ่งพุ่งออกมาฟาดลงบนใบหน้าคนอย่างจัง
“นี่มันสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า เป็นไปได้อย่างไร…”
ใบหน้าผีกรีดร้องคำรามเสียงแหลมขณะที่ถูกอสนีบาตห้าสีมากมายล้อมไว้ในทันใด
เสียงเปรี้ยงดังลั่น!
ใบหน้ามนุษย์แยกเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางแสงอสนีบาตในพริบตา เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นควันสีเทาสายหนึ่งหายไปไร้ร่องรอยเช่นนี้
พริบตาที่เรียกสายฟ้าเทพออกมา ร่างกายของหลิ่วหมิงก็ถอยออกไปหลายจั้งอย่างฉับพลัน เขามองภาพเบื้องหน้า ดวงตามีแววตะลึงงันอยู่เล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
พลังยิ่งใหญ่ของสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็ทำให้เขารู้สึกตกตะลึง
พริบตาที่เงาโลหิตสลายไปนั้น ม่านแสงสีเลือดที่เดิมทีล้อมพวกเขาอยู่ก็พลันกะพริบรัวหลายหนจากนั้นสลายไปด้วย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็โล่งขึ้นมาเล็กน้อย สายตาเป็นประกายขณะที่กวาดมองรอบด้านอย่างเชื่องช้า
ผืนดินตรงทางเข้าซากโบราณสถานถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดง ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นกลิ่นคาวเลือดแสบจมูก
เขากวาดจิตสัมผัส เวลานี้นอกจากตัวเขาก็ไม่มีกลิ่นอายผู้รอดชีวิตคนอื่นอีกแล้ว ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์สองฝ่ายที่เมื่อครู่ยังหายใจรวยรินอยู่ถูกหอบเข้าไปในการระเบิดเมื่อครู่จนไม่เหลือแม้แต่ซากศพ
หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วเหาะวนรอบด้านรอบหนึ่งเก็บอาวุธเก็บของจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ถูกทำลายไปด้วยของคนทั้งหลายและอาวุธจิตวิญญาณที่หล่นกระจายอยู่มา สุดท้ายเขาก็เหาะเข้าไปในหลุมลึกขนาดยักษ์ที่เกิดจากการระเบิดบนพื้น
เขากวักมือข้างหนึ่ง กระบี่น้อยสีม่วงที่หม่นแสงไปเล็กน้อยเล่มหนึ่งเหาะออกมาจากด้านในแล้วร่วงลงในมือของเขา
ดูท่ากระบี่ขู่หลุนเล่มนี้คงถูกหอบเข้าไปในการระเบิดเมื่อครู่เช่นกัน พลังจิตวิญญาณจึงเสียหายไม่น้อย
ในใจหลิ่วหมิงนึกเสียดาย มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาจี้ดัชนีเก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อ เตรียมค่อยๆ บำรุงพักหนึ่ง แต่ครู่ต่อมาเขาก็พลันเปลี่ยนสีหน้า ร่างกายขยับเหาะลงไปในหลุมมหึมาด้านล่าง
ก้นหลุมยักษ์มีศพไหม้เกรียมไม่ครบร่างนอนอยู่ พอมองเห็นอยู่บ้างว่าเป็นหน้าตาดั้งเดิมของ ‘ผู้ฝึกฝนแซ่ซุน’
หลิ่วหมิงร่อนลงข้างศพ มือขวาพลิกครั้งหนึ่ง มุกผลึกมารกลางฝ่ามือพลันเปล่งแสงสีเทาเข้ม เขาไม่พูดพร่ำงอนิ้วดีดครั้งหนึ่งทันที ปราณกระบี่ที่หมุนเป็นเกลียวสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่ศีรษะของศพอย่างรวดเร็ว
“ปัง!”
ทั้งศีรษะแตกกระจาย ในเวลานี้เองแสงสีเลือดดวงน้อยดวงหนึ่งก็โผล่ออกมา มันกรีดร้องเสียงแหลมแล้วกลายเป็นเงาสีเลือดร่างหนึ่งหนีไปนอกหลุมลึกทันที
“เหอะ ยังคิดหนีอีก!”
หลิ่วหมิงหัวเราะหยัน เขางอนิ้วดีดรัว แสงอสนีบาตสีม่วงเจ็ดถึงแปดสายพุ่งเร็วรี่ออกไปก่อตัวเป็นตาข่ายสายฟ้าผืนหนึ่ง มันกะพริบวูบเดียวก็ขวางเงาสีเลือดไว้ จากนั้นกระชากมาเบื้องหน้าเขาอีกครั้ง
ดวงแสงสีเลือดพุ่งชนซ้ายชนขวาในตาข่ายสายฟ้า แต่ทุกครั้งที่สัมผัสถูกแสงอสนีบาตสีม่วง ดวงแสงสีเลือดจะมีควันสีดำลอยขึ้นมาสายหนึ่ง เป็นเช่นนี้ซ้ำไปมาหลายครั้ง ในที่สุดมันก็ยอมอยู่นิ่งๆ
“เหอะ เจ้าเล่ห์จริงนะ ถึงกับแบ่งวิญญาณออกเป็นสองส่วน คิดจะปล่อยให้ส่วนหนึ่งถูกฆ่า แล้วอีกส่วนหนึ่งฉวยโอกาสหนีไป จะว่าไปแล้ววิชาลับแยกดวงวิญญาณเช่นนี้ข้านึกทึ่งนัก ที่แท้ท่านเป็นใครกันแน่?” หลิ่วหมิงจ้องก้อนแสงสีเลือดแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
กลางตาข่ายสายฟ้า ดวงแสงสีเลือดส่องแสงวิบวับ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวพร่ามัวดวงหนึ่งผุดขึ้นมา
“เจ้าหนู เจ้าสัมผัสการมีอยู่ของข้าได้อย่างไร?” เสียงแหลมสูงดังออกมาจากใบหน้ากลางแสงสีเลือด มันไม่ได้ตอบคำถามของหลิ่วหมิงแต่ย้อนถามกลับ
หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม แสงอสนีบาตสายหนึ่งพุ่งออกมาจากตายข่ายสายฟ้าโจมตีลงบนใบหน้าสีเลือด
ทันใดนั้นใบหน้าสีเลือดก็กรีดร้องโหยหวน
“เจ้าคงต้องเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดสักหน่อย ตอนนี้หากข้าคิดจะสังหารเจ้าก็ทำได้ตลอดเวลา ไม่อยากตายก็ว่าง่ายตอบคำถามข้ามา” หลิ่วหมิงเอ่ยเสียงเย็นชา
“ฮ่าๆ เจ้าหนู ตอนนี้ข้าเป็นแค่เศษวิญญาณเสี้ยวหนึ่งที่แยกมาจากร่างต้น ต่อให้สลายเป็นฝุ่นควันแล้วอย่างไร แต่ข้าจำเจ้าไว้แล้ว เจ้าทำลายงานใหญ่ของข้า รอข้าหลุดจากพันธการที่ทะเลโลหิต ข้าจะเชือดเนื้อเถือหนัง ดึงวิญญาณเจ้าออกมาทั้งเป็น!” ใบหน้าสีเลือดที่ดูโอหังยิ่งกว่าหลิ่วหมิงร้องเสียงแหลม
“งั้นหรือ ข้าจะรอเจ้า” คิ้วเรียวของหลิ่วหมิงเลิกขึ้น ทันทีที่เขาเพ่งจิต ตาข่ายสายฟ้าสีม่วงก็ค่อยๆ หดตัวลง
ใบหน้าสีเลือดเห็นเช่นนี้ ในที่สุดก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาเล็กน้อยแล้วรีบเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าหนู ประเดี๋ยวก่อน!”
“อ้อ เจ้าอยากพูดแล้วหรือ” หลิ่วหมิงหยุดหดตาข่ายสายฟ้าแล้วเผยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ได้ยิ้มออกมา
“เหอะ ข้าหากลัวตายไม่ แต่สิ้นชีพที่นี่อย่างไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ไม่คุ้มค่าเกินไปแล้ว ข้าตอบคำถามของเจ้าก็ได้ แต่กลับกันเจ้าก็ต้องตอบคำถามของข้าด้วย” ใบหน้าสีเลือดแค่นเสียงหยันแล้วเอ่ยต่อ
“ได้ ผู้แซ่หลิ่วรับปากเงื่อนไขนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตอบคำถามเมื่อครู่ของข้ามาก่อนแล้วกัน” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็นิ่งไปชั่วครู่ แต่จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ พยักหน้าทันที
“ที่เจ้าถามเมื่อครู่หรือ…ข้าคือปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉาง ฮ่าๆ คิดว่าฉายานี้เจ้าหนูเช่นเจ้าคงไม่เคยได้ยินกระมัง” ใบหน้าสีเลือดหัวเราะฮ่าๆ ด้วยเสียงเย็นชา
หลิ่วหมิงได้ยินก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง!
เขาไม่เคยได้ยินนามปรมาจารย์โลหิตหรือเสวียนอู๋ฉางมาก่อนเลยจริงๆ
“ตอนนี้ถึงตาข้าแล้ว! ตอนข้าสิงร่างศิษย์สำนักเฮ่าหรานอยู่ เจ้าหนู เจ้าคงสังเกตเห็นอะไรเข้าสินะ ถึงขั้นไม่กระโตกกระตากรอจนข้าประมาทจึงลงมือสังหาร ฮ่าๆ เจ้าวางแผนไว้ดีทีเดียว ปิดบังได้กระทั่งข้า เจ้าหาเจอได้อย่างไรว่ากายเนื้อร่างนี้ที่ข้าสิงอยู่มีปัญหา?” ใบหน้าสีเลือดเอ่ยอย่างสงสัย
“เรื่องนี้ต้องโทษเจ้าเองที่โชคร้าย! จากที่ข้ารู้มาวิชาสายโลหิตแรกสุดมีต้นกำเนิดมาจากวิชามารของมนุษย์ปีศาจบนแผ่นดินว่านหมัว แม้พัฒนาผ่านแต่ละยุคมาแล้ว แต่คุณสมบัติดั้งเดิมของวิชาก็ไม่ได้เปลี่ยน ในเมื่อเจ้าได้ชื่อว่าปรมาจารย์โลหิตอะไรนี่ก็ย่อมเชี่ยวชาญวิชามาร ลมปราณบนร่างมีต้นกำเนิดเดียวกันกับมนุษย์ปีศาจ บังเอิญยิ่งนักที่ตัวข้ามีสมบัติที่สัมผัสลมปราณของมนุษย์ปีศาจได้พอดี เจ้าซ่อนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์” หลิ่วหมิงดวงตาวาววับเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ตอนที่เขาพบผู้ฝึกฝนแซ่ซุนครั้งแรกในห้องโถงใต้เขาหิมะ มุกผลึกมารก็สัมผัสลมปราณของมนุษย์ปีศาจได้แล้ว แต่ยามนั้นศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับอยู่ที่นั่นด้วย แรกเริ่มเขาจึงคิดว่าคนผู้นี้พกอาวุธจิตวิญญาณหรืออาวุธเวทชิ้นใดที่มีไอปีศาจแท้แฝงอยู่กับตัว
หลังจากนั้นเขาถึงสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งแปลกๆ เขาจึงจงใจเข้าหาผู้ฝึกฝนแซ่ซุน บุรุษแซ่เยี่ยและคนอื่นๆ ทีละคน ในที่สุดก็เข้าใจว่าต้นตอที่มุกผลึกมารของตนสัมผัสได้คือ ‘ผู้ฝึกฝนแซ่ซุน’ แห่งสำนักเฮ่าหรานคนนี้ต่างหาก
ดังนั้นหลังจากนั้นหลิ่วหมิงจึงระวังการกระทำที่ผิดปกติของผู้ฝึกฝนแซ่ซุนอยู่ตลอดและเก็บพลังเผื่อไว้เสมอ ระหว่างการสังเวยโลหิต เขาแสร้งล้มแน่นิ่งอยู่กับพื้น แต่ที่จริงใช้วิชาโล่โลหิตปกป้องทั้งร่างอยู่เงียบๆ โลหิตบริสุทธิ์ที่พ่นออกมาก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่อยู่ในโล่ ความจริงแล้วร่างกายของตนไม่เสียหายมากมายนัก ด้วยเหตุนี้จึงยังรักษาพลังสำหรับต่อสู้ไว้ได้เกือบสมบูรณ์