ตอนที่ 2433 เกาะมังกร

“อ่า เรื่องนี้แพร่ออกไปเร็วจริงๆ แต่เกรงว่าจะจะให้พวกเขาผิดหวังแล้ว โอสถวิญญาณแท้เม็ดนั้นข้าได้แลกกับมหาเมธีแดนวิญญาณท่านอื่นไปแล้ว ต่อให้ยังเหลืออยู่ข้าก็ไม่นำติดตัวมาด้วยหรอก” เมื่อหานลี่ได้ยินดังนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก แต่เขากลับหัวเราะออกมา

“แลกเปลี่ยนกับคนอื่น ข้ออ้างแบบนี้คนอื่นคงยอมรับได้ แต่สำหรับผู้ที่แข็งแกร่งในดินแดนแห่งนี้แล้ว เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์มากนัก” เถียนเฟยเอ๋อร์เหลือบมองหานลี่ด้วยรอยยิ้มที่กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม

“เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกเขา หากยังมีคนไม่รู้จักดีชั่ว ข้าก็ไม่รังเกียจที่แสดงให้พวกเขาเห็นเพิ่มเติม” หานลี่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ฮ่าๆ เหมือนว่าสหายจะมีแผนที่จะจัดการกับเรื่องนี้ไว้นานแล้วสินะ เป็นน้องสาวที่ยุ่งมากไปแล้ว แต่ว่าเมื่อผู้อาวุโสจินของเผ่าข้านั้นได้ยินเรื่องโอสถวิญญาณแท้นี้ กลับต้องการพบพี่หานเป็นการส่วนตัว” เมื่อเถียนเฟยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ก็อดขมวดคิ้วเบาๆ ไม่ได้ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมพูดขึ้นมา

“ผู้อาวุโสจินคือผู้อาวุโสมังกรทองที่เป็นหมายเลขหนึ่งของเผ่ามังกรใช่หรือไม่” ในที่สุดใบหน้าของหานลี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“สหายไม่ต้องกังวล ที่จริงแล้วงานชุมนุมพระสูตรก็คือโอกาสอันดีที่ทางเผ่ามังกรจัดขึ้นเพื่อรวบรวมแลกเปลี่ยนของวิเศษ แม้ว่าผู้อาวุโสจินจะสนใจโอสถวิญญาณแท้มาก แต่ก็ไม่มีทางใช้โอกาสของงานชุมนุมเพื่อบีบบังคับให้ผู้แข็งแกร่งซื้อหรือขายเด็ดขาด หากสหายไม่อยากแลกโอสถวิญญาณแท้ที่อยู่ในมือล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องไปพบผู้อาวุโสจินก็ได้” เถียนเฟยเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เผ่าของเจ้าใจกว้างมาก น่าเสียดายที่โอสถวิญญาณแท้จำเป็นต้องการผ่านด่านเคราะห์มาก หากข้ายังมีเหลือล่ะก็ ไม่มีเจตนาที่จะแลก” หานลี่ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ต้องส่ายหน้าแล้วตอบ

“พี่หานอย่าเพิ่งรีบตอบเรื่องนี้ ผู้อาวุโสจินยังฝากคำพูดมากับน้องสาวอีกประโยค ที่จะเขานำเอามาแลกกับโอสถวิญญาณแท้นั้น เมื่อเทียบกับการช่วยผ่านด่านเคราะห์ มันก็มีค่าไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เจ้าก็รู้ว่า เผ่าของข้าไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตธรรมดาเช่นพวกเจ้า พวกเราไม่ได้สนใจเรื่องการผ่านด่านเคราะห์แล้วขึ้นแดนเซียน ดังนั้นของที่เรียกร้องแต่ไม่ได้มาของผู้ที่แข็งแกร่งทั่วไปนั้น ไม่จำเป็นสำหรับเราเลย” เถียนเฟยเอ๋อร์คาดเดาคำตอบของหานลี่ได้ตั้งนานแล้ว จึงพูดขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“อะไรหรือ สำหรับการผ่านด่านเคราะห์อะไรที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับโอสถวิญญาณแท้? หากมีของสิ่งนั้นจริง ข้าสามารถพิจารณาขึ้นสักหน่อย เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน หลังจากที่ไปถึงเกาะมังกรแล้ว ข้าค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไปคารวะท่านผู้อาวุโสจินดีหรือไม่” หลังจากสีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง ในที่สุดเขาตัดสินใจได้ แล้วตอบไปเช่นนั้น

“หากพี่หานตอบตกลงเรื่องนี้ ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสจินจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอน แล้วอีกอย่าง หากโอสถวิญญาณแท้เม็ดตกมาอยู่ในมือของเกาะมังกรจริงๆ แล้วล่ะก็ หลังจากปล่อยข่าวออกไป ข้าเชื่อว่าผู้แข็งแกร่งคนอื่นจะไม่ไปสร้างความวุ่นวายกับพี่หานอีกแน่นอน เรื่องนี้มีประโยชน์กับพี่หานอย่างมาก” เถียนเฟยเอ๋อร์กุมมือของเขาแล้วยิ้มขึ้นมา

“หึๆ หวังว่าเป็นเป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน” หลังจากที่หานลี่หัวเราะออกมาเขาก็ยิ้มอย่างคลุมเครือ

“ได้ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ แม้ว่าเกาะมังกรจะอยู่ใกล้กับแดนก้านสัมผัส แต่หากพวกเราจะต้องเดินทางจริงๆ ล่ะก็ ใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว” เถียนเฟยเอ๋อร์ตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และไม่พูดเรื่องโอสถวิญญาณแท้อีก

หานลี่เองก็ไม่ได้มีข้อโต้แย้ง เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วยในทันที

เถียนเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านล่าง ก็สะบัดแขนแล้วชี้มือขึ้นบนท้องฟ้า

เมฆสีขาวที่ดูเหมือนธรรมดาอยู่กลางอากาศ ก็มีเสียงคำรามดังออกมาทันที จากนั้นก็มีรถเหาะสีขาวที่มีสัตว์ประหลาดสีแดงจำนวนสองสามตัวลากรถเหาะคันนั้น

รถคันนั้นมีขนาดสิบกว่าจั้ง สีไม่เพียงขาวเรียบเนียนดั่งหยก ยังถูกประทับตราลายดอกไม้นานาชนิดด้วย ด้านหน้ามีสัตว์ประหลาดสี่ตัวลากรถอยู่ เท้าเป็นกลีบสี่ข้าง บนหัวมีเขามังกร ร่างกายมีเกล็ดสีแดงชาด ราวกับว่าร่างกายของมันห่อหุ้มด้วยเปลวไฟหนึ่งชั้น นี่คือครึ่งม้าครึ่งมังกรที่ท่าทางดุร้าย

“นี่คือม้ารุทระ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเผ่ามังกรของเรา แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้มากนัก แต่ข้อดีของมันอยู่ที่ความอดทน มันสามารถวิ่งบนอากาศโดยไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาหลายเดือนและไม่มีอาการอ่อนล้าด้วย” เมื่อเถียนเฟยเอ๋อร์เห็นสีหน้าของหานลี่ นางก็กล่าวแนะนำเล็กน้อย

“น่าสนใจจริงๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้เจอสัตว์ที่เรียกว่า “ม้ามังกร” แต่พลังในการเดินทางไม่มีทางเทียบได้กับม้าระดับเทพอย่างม้ารุทระ สัตว์อสูรตัวนี้เกาะของพวกเจ้าสามารถขายมันให้กับโลกภายนอกได้” หลังจากหานลี่มองสำรวจม้ารุทระหลายครั้งแล้ว จึงพูดขึ้นมาด้วยความชื่นชม

“หึๆ สัตว์อสูรวิญญาณชั้นต่ำประเภทนี้ เดิมทีพวกเราก็มีแผนที่จะขายออกไป แต่ว่ามันมีเงื่อนไขพิเศษอย่างหนึ่ง ทายาทของอสูรวิญญาณตัวนี้จะเกิดที่เกาะมังกรเท่านั้น หากมันเกิดที่นอกเกาะมังกรแล้ว สายเลือดของมันจะเจือจางอย่างมาก จนมีความคล้ายกับม้ามังกรของดินแดนอื่น” เถียนเฟยเอ๋อร์กล่าว

อธิบายขึ้นมา

“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ น่าเสียดายไม่น้อยเลย” เมื่อหานลี่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็แสดงความเสียใจออกมาหลายส่วน

หากม้ารุทระสามารถสืบพันธุ์ได้ด้วยตนเองล่ะก็ หากเขานำไปที่เผ่ามนุษย์คู่หนึ่งแล้วล่ะก็ ต้องมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ฮ่าๆ พี่หานไม่ต้องใจร้อนเกินไป ของดีของเกาะมังกร ไม่ได้มีแค่ม้ามังกรพวกนี้หรอกนะ ข้าเชื่อว่ามีของอย่างอื่นที่ทำให้พี่หานตื่นตาตื่นใจอีกแน่นอน” เถียนเฟยเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ

“อ่า หากเป็นเช่นนั้นจริงล่ะก็ แม้ว่าในครั้งนี้ข้าจะไม่ได้รับดอกบัวก่วงหลิง ก็ไม่เป็นไร”หานลี่พูดไปพร้อมกับกลายร่างเป็นสายรุ้งแล้วขึ้นไปยังกลางอากาศ

หลังจากผ่านครู่หนึ่ง ม้ามังกรทั้งสี่ตัวก็คำรามเสียงยาวออกมา จากนั้นก็กระทืบเท้าแล้วพุ่งไปด้านหน้า

หานลี่ที่นั่งอยู่ด้านหลัง ก็รู้สึกรถม้าคันนี้มั่นคงมาก หากลุกขึ้นยืนก็ไม่เป็นไร เขาจึงรู้สึกอดประหลาดใจไม่ได้ จึงก้มหน้าดูเบาะที่นั่งที่ดูเหมือนธรรมดานี้

“พี่หานไม่ต้องมองมากหรอก รถวายุวิญญาณคันนี้ก็เป็นรถที่มีแค่ที่เผ่ามังกรเท่านั้น มันทำมาจากสำริดวิญญาณ มีน้ำหนักเบากว่าทองวิญญาณร้อยเท่า และสามารถรองรับลมปราณที่ถ่ายเทเข้ามาได้อีกด้วย โลกภายนอกถือว่าเป็นของที่หายากมากทีเดียว” เถียนเฟยเอ๋อร์หัวเราะขึ้นเบาๆ

“ตอนนี้ผู้น้อยแซ่หานเชื่อถือในคำพูดของแม่นางเถียนมากขึ้นแล้ว ข้าหวังว่าข้าจะไปถึงเกาะมังกรให้เร็วขึ้นแล้วสิ” หานลี่ยิ้มออกมา

“ในเมื่อพี่หานต้องการเช่นนั้น น้องสาวก็จะจัดการให้เอง” นางก็เม้มปากสีแดงก่ำพร้อมตอบกลับ

จากนั้นนางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถา เคล็ดวิชาชุดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา และพุ่งขึ้นไปในตัวของม้ารุทระทั้งสี่ตัวนั้น

ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรวิญญาณครึ่งม้าครึ่งมังกรก็คำรามขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ หลังจากที่ผิวกายของมันส่องประกายแสงสีแดงออกมาแล้ว มันก็ค่อยๆ ขยายร่างกายของตนเองขึ้นมา ในขณะเดียวกันนั้นเองเขี้ยวของมันก็โผล่ออกมา ดวงตาทั้งสองข้างก็เปลี่ยนเป็นสีทองแดง

หลังจากที่ขาทั้งสี่ของมันเลือนรางแล้ว ความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากนั้นรถเหาะคันนี้ก็กลายเป็นสายสีแดงที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา หานลี่ก็เดินทางมาถึงพร้อมเถียนเฟยเอ๋อร์ เขาเดินออกมาจากท้องพระโรง จากนั้นก็เดินออกมาถึงจตุรัสด้านหน้าประตูใหญ่ด้านนอก

เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน

เมื่อเห็นว่ากลางท้องฟ้าไม่ไกลนักมีดวงจันทร์สีเขียวดวงใหญ่ลอยอยู่ มันกินพื้นที่กว้างครึ่งท้องฟ้า

ไม่…ต้องพูดว่านั่นคือเกาะขนาดใหญ่รูปครึ่งวงกลมที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ด้านบนนั้นยังสามารถเห็นอาคารสีดำบางส่วนที่อยู่ด้านบน อีกทั้งพื้นที่ทั้งหมดนั้นถูกปกคลุมด้วยม่านพลังสีเขียวอ่อน

“นั่นคือเกาะมังกร ก็คล้ายๆ กับสิ่งที่ข้าคิดเอาไว้นะ” หานลี่มองแสงจันทร์สีเขียวกลางอากาศอย่างสงสัย พร้อมพูดพึมพำกับตนเอง

“เดิมทีเกาะมังกรของเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพียงแค่ต่อมาได้รับการแก้ไขจากพวกบรรพบุรุษที่มีปราณที่แข็งแกร่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบนี้ เอาล่ะ ในเมื่อพี่หานได้ผ่านการตรวจสอบเทียบเชิญแล้ว ในระหว่างงานชุมนุมพี่สามารถเข้างานเกาะมังกรของเราได้ตามสะดวก เพียงแต่ว่าพื้นที่เขตต้องห้าม สหายห้ามเข้าไปวุ่นวาย ตอนนี้น้องสาวยังมีธุระที่ต้องไปจัดการต่อ จึงไม่สามารถนำทางพี่หานได้แล้ว” เถียนเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง พูดกับหานลี่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ระหว่างทางนี้ที่มานี่ก็ลำบากแม่นางมากแล้ว ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว สหายก็ไปจัดการงานของตนเองเถอะ” หานลี่พยักหน้าตอบกลับ

“ก่อนที่ข้าจะจากไป พี่หานมีอะไรจะพูดกับน้องสาวอีกหรือไม่?” เมื่อเถียนเฟยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้จากไปทันที กลับถามกลับด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม

“อ่า อะไรหรือ หากสหายมีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ” หัวใจของหานลี่เต้นแรง แต่เขาก็ยังพูดต่ออย่างใจเย็น

“หึ ดูเหมือนว่าถ้าข้าไม่พูดออกมาเอง พี่หานก็จะไม่ถามออกมาก่อนเลยสินะ ช่างเถอะ นี่คือสัญญาที่ข้าเคยให้กับท่านไว้ในตอนนั้น ส่วนเรื่องที่พี่จะเอาดอกบัวก่วงหลิงมาได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพี่แล้ว” เถียนเฟยเอ๋อร์กลอกตามองหานลี่ พร้อมสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ม้วนคัมภีร์หยกสีขาวเล่มหนึ่งก็ลอยออกมา

“หึๆ แม่นางมีน้ำใจยิ่งนัก ผู้น้อยแซ่หานขอบคุณอย่างมาก” แววตาของหานลี่เปล่งประกาย เขาคว้ามันไว้อย่างไม่ต้องครุ่นคิด เมื่อม้วนคัมภีร์หยกมาอยู่ในมือของเขาแล้ว ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มประดับขึ้นทันที

“ไมตรีในปีนั้นข้าได้ตอบแทนแล้ว น้องสาวขอตัวลา” หลังจากนั้นเถียนเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากนางคำนับอีกฝ่ายแล้ว นางก็หมุนตัวไปยังท้องพระโรงอีกครั้ง

หานลี่หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็รอเถียนเฟยเอ๋อร์หายเข้าไปในท้องพระโรงอีกครั้ง เขาถึงเก็บม้วนคัมภีร์หยกลงไป จากนั้นก็เดินยังเขตอาคมส่งตัวสีขาวอ่อนบริเวณหน้าจตุรัส

รอบๆ เขตอาคมนี้แทบจะไม่มีทหารยามเลยสักคน แต่หลังจากที่หานลี่เดินเข้าไป ก็มีแผ่นหินขนาดหลายจั้งโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน โดยที่ด้านบนมีหลุมรูปวงรีอยู่

หลังจากที่หานลี่กวาดสายตามอง เขาก็สะบัดแขนเสื้อในกระแทกเข้าไป แสงสีเงินเล็กๆ ก็ปรากฏออกมา หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง มันก็ค่อยๆ หายลงไปในหลุมนั้น

นั่นคือเกล็ดมังกรสีเงินที่ฝานเผาจือเคยให้เขาไว้เมื่อตอนนั้น

ของสิ่งนี้ฝังไว้ในแผ่นหิน จากนั้นก็มีระลอกคลื่นแปลกๆ สาดออกมา จากนั้นมันก็เชื่อต่อเข้าที่เขตอาคมส่งตัว

เขตอาคมส่งตัวที่หยุดนิ่งในตอนนั้น ก็เริ่มสั่นกึกๆ จากนั้นก็เริ่มส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา ในขณะเดียวกันก็มีแสงสีขาวปรากฏขึ้น

สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นมาทางแผ่นหิน จากนั้นเกล็ดสีเงินก็บินกลับเข้ามาในแขนเสื้อ

ทันใดนั้นเองเขตอาคมส่งตัวก็มีอักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา พริบตาเดียวหานลี่ที่อยู่ตรงกลาง ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว