ตอนที่ 1046 รุ้งทองทั่วหล้า หนทางขึ้นเขา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

บรรยากาศในลานเงียบสงัด มีเพียงอากาศรอบกายเยี่ยนจั่นชิวยามทรุดตัวก่อเสียงคร่ำครวญหลากสายสะท้อนก้อง

หลินสวินเหลือบสายตามองจ้าวจิ่งเซวียน

เวลานี้สายตาส่วนใหญ่ ณ ที่นั้นต่างมองไปทางจ้าวจิ่งเซวียน กำลังรอคำตอบของนาง

คำตอบนี้เป็นไปได้สูงที่จะทำให้เยี่ยนจั่นชิวตัดสินใจบางอย่าง แล้วแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อหลินสวิน!

บางทีอาจเกี่ยวพันถึงความเป็นตาย!

คิ้วเรียวบางดั่งใบหลิวของจ้าวจิ่งเซวียนขมวดมุ่นจนเกิดรอย นัยน์ตากระจ่างคู่นั้นของนางมองหลินสวิน ทั้งมองเยี่ยนจั่นชิวที่สวมชุดขาวเหนือหิมะข้างกาย

สามารถเห็นได้อย่างเด่นชัด ว่าบนหน้างามผุดผ่องนั้นของนางเจือความลังเลเล็กน้อย ทั้งโมโห ทั้งจนปัญญา…

แต่สุดท้ายนางสูดหายใจลึก เหมือนทำการตัดสินใจบางอย่างแล้ว

บรรยากาศตอนนี้ตึงเครียดถึงขีดสุด

แต่เหนือความคาดหมาย ไม่รอจ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยปาก เยี่ยนจั่นชิวพลันโบกมือกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า รอเจ้าใคร่ครวญกระจ่างแล้วค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย”

ทุกคนตื่นตะลึง คนไม่น้อยเลี่ยงไม่ได้ที่จะผิดหวังอยู่บ้าง

หลินสวินเองก็เลิกคิ้ว มองเยี่ยนจั่นชิวไม่ออกอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้ในใจเขาอดเกร็งไม่ได้ ไม่ใช่เพราะรู้สึกถึงการกดดัน แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจ้าวจิ่งเซวียนจะตอบอย่างไรกันแน่

และเมื่อเยี่ยนจั่นชิวขวางทุกอย่างนี้ไม่ให้เกิดขึ้น หลินสวินจึงทั้งไม่สบอารมณ์ แต่ก็เบาใจด้วยเช่นกัน

บางทีไม่รู้คำตอบเวลานี้อาจเป็นผลที่ไม่เลว

สายตาเขามองไปยังจ้าวจิ่งเซวียน นัยน์ตากระจ่างของฝ่ายหลังก็มองมา เจือความผ่อนคลายเสี้ยวหนึ่ง และมีแววประหลาดบอกไม่ถูก

‘หลินสวิน เจ้าอย่าได้คิดมาก’ ริมหูยินเสียงไพเราะนั้นของจ้าวจิ่งเซวียน

‘เอ๋ ข้าคิดมากอะไรหรือ’ หลินสวินกะพริบตาปริบๆ

‘เจ้าแสร้งทำรึ!’ นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนพลันหดรัด ถลึงตาใส่หลินสวินวูบหนึ่ง น้ำเสียงเจือความตำหนิ

หลินสวินลูบจมูก พลันค้นพบว่าความรู้สึกที่ไม่ต้องตัดสินความสัมพันธ์กันและกันเช่นนี้ก็ไม่เลว

“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน พวกเจ้ามาทางนี้ ประเดี๋ยวการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์จะเปิดฉาก มีบางอย่างที่ข้าต้องเตือนพวกเจ้า”

เยี่ยนจั่นชิวไม่ใส่ใจหลินสวินอีก เก็บสายตากลับแล้วเอ่ยกำชับ

‘จบอย่างนี้หรือ’

คนมากมายในที่นั้นต่างผิดหวัง เดิมคิดว่าเยี่ยนจั่นชิวไม่ว่าเพื่อจ้าวจิ่งเซวียน หรือเพื่อแก้แค้นล้างความอัปยศแทนสำนักจะต้องเพ่งเล็งหลินสวิน แสดงท่าทีและจุดยืนของเขาแน่

แต่ใครเล่าจะคาดคิด ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเพียงถามปัญหาผิวเผินส่วนหนึ่ง ไม่แสดงออกอะไรทั้งสิ้น

พวกฉู่เป่ยไห่ จินมู่อวิ๋น หลี่ชิงผิง โก่วเหยียนเจินเองก็มุ่นคิ้ว เดาความคิดเยี่ยนจั่นชิวไม่ออก

ว่ากันตามตรง พวกเขาหวังให้เยี่ยนจั่นชิวเข้าร่วมกับพวกเขายิ่ง ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันจัดการหลินสวิน!

หืม?

ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จี้ซิงเหยาก็มาถึงแล้ว

นางสวมชุดกระโปรงดำ เงาร่างบางสมส่วน ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์เหนือห้วงมายา เครื่องหน้าทั้งห้าประณีตงามดุจผลงานชิ้นเอกแห่งสวรรค์ มีความงามใกล้เคียงมายา เหมือนเซียนที่เดินออกมาจากภาพวาด

นางสันโดษโดดเดี่ยว ยืนอยู่มุมเปลี่ยวเพียงลำพัง ประกอบกับความสนใจก่อนหน้าของทุกคนล้วนถูกเยี่ยนจั่นชิวดึงดูด จนกระทั่งสายตาที่สามารถสังเกตเห็นนางได้เหลือแค่ส่วนน้อย

‘ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แม่นางจอมหยิ่งนี่เปลี่ยนเป็นเก็บตัวเงียบเช่นนี้’

หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้

คนอื่นไม่รู้แต่เขารู้ดี จี้ซิงเหยาธิดาเทพคนปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาผู้นี้แข็งแกร่งระดับใด

ขณะเดียวกันจี้ซิงเหยาก็สังเกตเห็นสายตาหลินสวิน นัยน์ตาดาราดั่งฝันเสมือนมายาคู่นั้นพลันฉายแววเย็นชา ถลึงตาเหี้ยมเกรียมใส่เขาทันที

ประหลาด!

หลินสวินแอบพึมพำในใจ ก็แค่ชนก้นเจ้านิดหน่อยเองไม่ใช่หรือ เหตุใดจนป่านนี้ยังจำฝังใจ

จี้ซิงเหยากลับลอบกัดฟันกรอด ตนนี่เป็นอะไร ทุกครั้งที่เจอเจ้าน่ารังเกียจไร้ยางอายนี่เป็นต้องควบคุมความคิดอยากซัดเขาสักตั้งไม่อยู่ ช่างน่าโมโหจริง!

ในที่นั้นคลื่นลมแปลกประหลาด แต่ตามเวลาที่ล่วงเลย จิตใจทุกคนล้วนจมอยู่กับการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่จวนมาเยือน

ตัดกันกับข้อพิพาทและความขัดแย้งส่วนหนึ่ง เหล่าผู้กล้าที่มาจากแต่ละสำนักโบราณในสี่แดนวิภูนี้ ยิ่งให้ความสำคัญกับการแข่งขันที่ใกล้เกิดขึ้นบนเขาเทพไร้มรณะครั้งนี้โดยไม่ต้องสงสัย!

ถึงตอนนี้เหล่าผู้กล้าซึ่งมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันคราวนี้ที่ควรมาล้วนมาแล้ว

เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน อวี่หลิงคง…

แต่ละคนบ้างอหังการ บ้างหยิ่งทะนง บ้างดุดัน บ้างดื้อรั้น ทุกคนล้วนประหนึ่งดวงดาวบนฟากฟ้า เปล่งแสงเจิดจรัส

กวาดตามองในหมู่คนรุ่นเยาว์สี่แดนวิภูดินแดนรกร้างโบราณ เหล่าชายหญิง ณ ที่นี้อาจสามารถเป็นตัวแทนระดับสูงที่สุดบนหนทางการฝึกปราณ!

‘หึ ใต้หล้ามักปรากฏอัจฉริยะ ครั้งนี้ไหนเลยจะสนว่าพวกเจ้ามีชื่อเสียงมาก่อนหรือไม่ มหายุคนี้ต้องเป็นยุคที่ข้าได้เจิดจรัส!’

มีคนยิ้มเย็นในใจ

เป็นถึงผู้กล้าแน่นอนว่าแต่ละคนต้องหยิ่งทะนงและอวดดี มีความเชื่อมั่นเสมือนข้าไร้คู่ต่อกร ย่อมต้องมีคนที่ไม่พอใจบุคคลอย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินอยู่มากเป็นธรรมดา

‘ข้ารอคอยมาหลายปี ครั้งนี้บนสามสิบหกยอดเขาเทพไร้มรณะนั่นต้องมีที่ของข้าแน่!’

บ้างเลือดร้อนลำพองตน

‘มหายุคจวนมาเยือน มีเพียงรุ่นข้าที่สามารถปั่นป่วนสถานการณ์ในใต้หล้า พวกตาแก่นั่นต้องปิดฉากโรยราแล้ว!’

‘นี่คือมหายุคของพวกเรา!’

บ้างแอบกำหมัดแน่น

‘แค่การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็เป็นชุมนุมผู้กล้า หมู่ดาวส่องประกายแล้ว เหตุการณ์นี้ช่างทำให้ผู้คนมุ่งหวังและเฝ้ารอ!’

เห็นผู้แข็งแกร่งเจิดจรัสมากมายในลานกับตา ต่อให้เป็นหลินสวินในใจก็เกิดไอพลุ่งพล่านฮึกเหิมตามธรรมชาติ เขาไม่เคยเฝ้ารอการต่อสู้เช่นนี้มานานแล้ว!

ว่ากันตาม จริงท้ายที่สุดหลินสวินก็เป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง หาใช่ภิกษุที่ละกิเลส และไม่ใช่อริยะที่หกธุลีไม่แปดเปื้อน

เขามีความรู้สึกและมีปณิธานต่อสู้!

เผชิญหน้ากับบุคคลแห่งยุคชั้นยอดรุ่นเดียวกันมากเช่นนี้ ความเลือดร้อนและจิตต่อสู้ในตัวเขาที่เก็บเงียบมานาน ราวกระบี่คมกริบที่ถูกผนึกอยู่ในกล่องถูกเปิดออก

ที่ผ่านมายามเผชิญหน้าคนรุ่นเดียวกัน กระทั่งสู้กับราชันกึ่งระดับ แม้เขาจะต่อสู้จริงจัง แต่สัญชาตญาณต่อสู้ในจิตใต้สำนึกกลับไม่มีการเฝ้ารอจนโลหิตเดือดพล่านเช่นนี้

เพราะเขารู้ว่าตนต้องชนะ

แต่ครั้งนี้ต่างออกไป!

ไม่ใช่เพียงจิตต่อสู้และปณิธานต่อสู้ในใจหลินสวินที่กำลังตื่นขึ้น เหล่าผู้กล้าคนอื่นๆ ในที่นั้นก็ล้วนเป็นแบบเดียวกัน

การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ที่แย่งชิงคือโชควาสนามหามรรค ที่แข่งขันคือรากฐานการกลายเป็นราชัน!

ยิ่งไปกว่านั้น หากสามารถดันตนขึ้นสู่สามสิบหกอันดับแรกได้ จะทำให้ชื่อของตนเลื่องลือทั่วสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ กลายเป็นที่จับตามองจากทั่วหล้า

ชักนำคลื่นลมทั่วใต้หล้า นี่สิถึงเรียกว่าอำนาจที่แท้จริง!

แน่นอนว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้มีนับไม่ถ้วน หมายจะดันตนขึ้นสู่อันดับคงยากลำบากยิ่ง

แต่ขอแค่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าตนจัดอยู่ในหมู่คนรุ่นเยาว์ชั้นยอดของยุคปัจจุบัน แม้มหายุคมาเยือนก็สามารถเผยคมดาบของตนให้เห็นได้!

ผู้กล้าแห่งพื้นที่หนึ่งอาณาเขตหนึ่ง เดิมไม่สำคัญอะไร

ผู้กล้าแห่งยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ภายภาคหน้าจึงจะมีสิทธิ์ครองอำนาจ ปกครองฟ้าดิน เหยียดหยันโลกหล้า!

ใครจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่นำพายุคสมัยหลังมหายุคมาเยือน ตอนนี้ไม่ว่าใครก็พูดลำบาก แต่อย่างน้อยต้องก้าวสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ให้ได้ก่อน!

เห็นภาพนี้กับตา เยี่ยนจั่นชิวอดนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตอนที่ตนเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ปีนั้นไม่ได้ ในใจทอดถอนใจไม่หยุด

เขานับเป็นบุคคลแห่งยุครุ่นก่อน อยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกอวิ๋นชิ่งไป๋ หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ

เพียงแต่เขาในปีนั้นก็ใจร้อน แม้แข็งแกร่งไม่สู้ปัจจุบัน แต่กลับตั้งมั่นว่าต้องทะลวงกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ให้ได้

‘ยังดีที่ไม่ถือว่าสายไป’

เยี่ยนจั่นชิวลอบกล่าว เขายังเยาว์วัย หลายปีนี้สะกดข่มระดับปราณของตนมาตลอด กำลังรอมหายุคมาเยือนเช่นกัน

อีกทั้งบนมรรคาที่แย่งชิงศุภโชคมหายุค เทียบกับคนตรงหน้าเหล่านี้แล้ว บุคคลแห่งยุครุ่นก่อนที่เหมือนเขาได้เปรียบกว่ามากโดยไม่ต้องสงสัย!

เพราะพวกเขาสั่งสมและตกตะกอนเวลาฝึกปราณมามากกว่า และได้รับโชควาสนามหามรรคมากมายอยู่โข!

แต่เยี่ยนจั่นชิวก็รู้ดีว่าพวกที่ดันตนขึ้นสู่กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เหมือนตนในปีนั้น มีคนไม่น้อยต้านแรงจูงใจที่จะเลื่อนสู่ระดับราชันไม่ได้ ทะลวงระดับตัวเองไปนานแล้ว ไม่กลายเป็นราชันกึ่งระดับก็กลายเป็นราชันที่แท้จริง

ถึงแม้หลังกลายเป็นราชันพลังต่อสู้จะบรรลุถึงขั้นสามารถเหยียดหยันห้าระดับปราณใหญ่ แต่เช่นเดียวกัน คนเหล่านี้กลับเสียสิทธิ์ที่จะกลายเป็นมกุฎราชันในมหายุค!

‘ก็ยังดี ในที่สุดมหายุคก็ใกล้มาแล้ว!’ เยี่ยนจั่นชิวแอบพึมพำกับตัวเอง

ตูม!

ขณะที่ผู้กล้ามากมายต่างคิดฟุ้งซ่าน เวลาก็ล่วงเลยไปโดยไม่รู้ตัว

ทันใดนั้นภูเขาเทพไร้มรณะซึ่งเด่นตระหง่านไม่เสื่อมสูญพลันส่งเสียงกัมปนาท ดุจตื่นจากกาลเวลาเงียบสงัด

จากนั้นเส้นทางประกายทองหลากสายราวภาพฝันแผ่ลงมาจากยอดเขาสามสิบหกลูก พุ่งตรงต่อเนื่องถึงเชิงเขา

เส้นทางประกายทองแต่ละสายต่างเรืองแสงเจิดจรัส แผ่กลิ่นอายมหามรรคศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึม ยิ่งใหญ่และส่องสว่างสะท้านใจคน

กลิ่นอายที่ห้อมล้อมด้านบนแฝงพลังกฎระเบียบไม่เสื่อมคลายแต่โบราณ

การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เริ่มขึ้นแล้ว!

“ไป!”

เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เตรียมพร้อมนานแล้วตอบสนองทันที พุ่งไปยังเส้นทางประกายทองแต่ละทิศทาง

ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย เลือกยอดเขาที่ตนพึงใจไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้ทันทีที่เริ่มปีนเขาจึงมีน้อยคนนักที่ลังเลไม่ตัดสินใจ

สวบๆๆ

ผู้กล้ามากมายในแต่ละสำนักต่างขับเคลื่อนแสงงามตระการ ประหนึ่งฝนรุ้งเทพโฉบไปบนเขา

การปีนเขาและครองภูผามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป!

ทุกคนต่างรู้ดีว่าภูเขาเทพไร้มรณะยิ่งใหญ่และสูงตระหง่านเหลือประมาณ หากไม่เร่งทำเวลาอย่าว่าแต่ครองภูผาเลย แม้แต่จะปีนขึ้นไปล้วนยากลำบาก!

อีกทั้งการปีนเขาทันทีก็ไม่ต้องหวาดกลัวและระวังผู้แข็งแกร่งคนอื่นมากีดขวางและลอบทำร้าย สามารถขึ้นเขาได้โดยไม่ต้องสนอะไร

ถ้าขึ้นเขาช้าเพียงก้าวเช่นนั้นก็ต่างออกไปแล้ว หากเจอคู่แข่งที่มีความแค้นกันบางส่วนคงเกิดการขัดขวางและโจมตีกันอยู่บ้าง

แม้ไม่ถูกคัดออกก็อาจสิ้นเปลืองเวลาและกำลังมหาศาล ผลที่ตามมาก็ไม่อยากจะคิดแล้ว

ในอดีตที่ผ่านมาเกิดเรื่องคล้ายคลึงกันเช่นนี้ไม่น้อย บุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งขัดแย้งกันเอง ยังไม่ทันถึงยอดเขาก็ถูกคัดออกทันที!

……………..