ฝ่ามือกดทับลงมาราวกับสวรรค์กำลังร่วงหล่น
กู่ต้าวอี้กระหน่ำปล่อยหมัดตอบโต้อย่างรุนแรง พลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ถูกกระตุ้นจนถึงขีดจำกัด
แต่การฝืนดันทุรังเช่นนั้นก็ไร้ความหมาย
ฝ่ามือของหลิงฮันหล่นทับลงมาและกำราบกู่ต้าวอี้ได้ทันทีพร้อมกับโยนร่างของอีกฝ่ายเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ตัวเขาในตอนนี้ทรงพลังกว่ากู่ต้าวอี้มากนัก การจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องเอาจริงแม้แต่น้อย
ณ เวลานี้คนที่เข้ามาใกล้ยอดเขาที่สุดเพิ่งจะผ่านทางเดินมาเพียงสองในสิบส่วนเท่านั้น หลิงฮันนึกสนุก เขานำร่างของเทียนเซี่ยตี้เอ้อออกมาพร้อมกับแกล้งปลดเชือกกางเกงของอีกฝ่ายและรีบออกจากตำหนักกลับไปยังตีนเขา
หลิงฮันแสร้งทำเป็นเดินขึ้นเขาตามทางเดินอีกครั้งด้วยท่าทีผิวปากอารมณ์ดี เมื่อถูกจับไปอยู่ในหอคอยทมิแล้ว กู่ต้าวอี้ย่อมไร้พลังและทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม
“หลิงฮัน! ที่นี่คือที่ไหน!”
“เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่เช่นนี้?”
“เจ้าเป็นใครกันแน่!”
กู่ต้าวอี้ตะโกนจากภายในหอคอยทมิฬ พลังอำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์ของเขาถูกหอคอยทมิฬกำราบเอาไว้ ตัวเขาในตอนนี้ทำได้เพียงยืนอยู่เฉยๆเท่านั้น แม้แต่จะเดินไปไหนมาไหนยังทำไม่ได้
“จะตะโกนเสียงดังเพื่ออะไร? ที่นี่คือจุดจบของเจ้ายังไงล่ะ!” จักรพรรดิจอมอสูรปรากฏตัว มันมีนิสัยเก่งกับคนอ่อนแอและหวาดกลัวคนที่แข็งแกร่ง เมื่อเห็นว่ากู่ต้าวอี้ไม่อาจขัดขืนได้ เป็นธรรมดาที่มันจะแสดงท่าทีอวดเบ่ง
กู่ต้าวอี้คลั่งจนแทบจะเป็นบ้า มดปลวกระดับสุริยันจันทรากล้าพูดจากับเขาเช่นนี้?
เพี๊ยะ!
จักรพรรดิจอมอสูรตบเข้าที่ใบหน้าของกู่ต้าวอี้ “สายตานั่นมันอะไร? นี่เจ้ากำลังดูถูกจักรพรรดิน้อยผู้นี้?”
“หลิงฮัน! เจ้าจะดูถูกกันเกินไปแล้ว ไม่ยอมสังหารข้าแต่กลับให้ลิ่วล้อมาสร้างความอัปยศให้ข้าเช่นนี้!” กู่ต้าวอี้บ้าคลั่ง ตัวเขาเคยเป็นถึงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานที่ทรงพลัง
“ลิ่วล้อ?” จักรพรรดิจอมอสูรเผยสีหน้าภูมิใจ “เหอะ การได้เป็นลิ่วล้อของนายท่านนับว่าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ เจ้าคิดว่าใครก็สามารถเป็นลิ่วล้อของนายท่านได้? คนอย่างเจ้าน่ะนายท่านไม่แม้แต่จะเหลียวตามองด้วยซ้ำ!”
ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยท่าทีประจบสอพลอ “นายท่านเป็นดั่งดวงตะวันที่เฉิดฉายไม่ว่าจะเป็นที่ไหน! นายท่านคือแสงสว่างคอยชี้ทางท่ามกลางความมืดมิด! นายท่านคือปรมาจารย์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ไม่ว่าใครก็ต้องคุกเข่าต่อหน้านายท่านของข้า”
กู่ต้าวอี้กลายเป็นไร้คำพูด เขาเพิ่งเคยเห็นใครบางคนที่สามารถประจบประแจงได้ลื่นไหลขนาดนี้
หลิงฮันยังคงเดินอย่างสบายใจ ตั้งแต่ที่เขาโยนร่างของกู่ต้าวอี้เข้าไปในหอคอยทมิฬเขาก็หมดความสนใจในตัวกู่ต้าวอี้ไปโดยสมบูรณ์และไม่แม้แต่จะเฝ้าดูสถานการณ์ภายในหอคอยทมิฬ
อัจฉริยะแห่งทุกยุคสมัยอะไรกัน ทักษะบ่มเพาะของเขาก็แค่ทักษะระดับราชานิรันดร์ที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น
เมื่อหลิงฮันมาถึงยอดเขา คนกว่าสามสิบเอ็ดคนก็มาถึงก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนจ้องมองไปยังห้องสมบัติโดยไม่รู้เลยว่าหลิงฮันเคยรื้อค้นที่นี่มาก่อนแล้วและไม่มีสิ่งของล้ำค่าอะไรเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อยนิด
เทียนเซี่ยตี้เอ้อนั่งอยู่บนพื้นโดยและเกาหัวด้วยนิ้วทั้งห้า
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?
จริงสิ… เขาถูกทำให้สลบ
บนตัวเขาไม่มีสิ่งของใดหายไปเลย มีเพียงแค่กางเกงที่ถูกถอดปลดเชือก
ว่าไงนะ!
เทียนเซี่ยตี้เอ้อรีบเอื้อมมือไปสำรวจก้นของตนเองทันที หรือคนที่ทำให้เขาสลบจะเป็นโจรที่ชื่นชอบการปล้นพรหมจรรย์ประตูหลัง? ที่จริงแล้วก้นของเขาไม่ได้ถูกทำอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยจิตใจที่คิดมากทำให้เขาคิดไปเองว่ารู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณก้นเล็กน้อย
เขากวาดสายตามองรอบด้าน คนที่น่าสงสัยคือทุกคนที่อยู่ที่นี่!
หลิงฮันพึ่งจะขึ้นมาถึงยอดเขา เมื่อเห็นใบหน้าซัดเผือดของเทียนเซี่ยตี้เอ้อเขาจึงเอ่ยถาม “สหาย เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ ใบหน้าของเจ้าดูไม่ดีเลย?”
ใครใช้ให้เจ้าเดินนำหน้ากันล่ะ!
เทียนเซี่ยตี้เอ้อถลึงตามองสำรวจหลิงฮันตั้งแต่หัวจรดเท้ารวมไปถึงคนอื่นๆอีกสามสิบคนอย่างเริ่นเฟยอวิ๋นและศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดคนอื่นๆ
บัดซบ มีคนอยู่เยอะเกินไป แบบนี้หาตัวคนร้ายไม่ได้ง่ายๆแน่!
สุนัขตัวดำมาเห็นพอดี มันรีบยืนสองขาและกล่าว “เจ้าหนู เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า? ดูจากท่าทางของเจ้ามนุษย์ร่างใหญ่ขนเยอะเหมือนหมีนั่นแล้ว เป็นไปได้ว่าเขาเพิ่งจะเสียพรหมจรรย์ประตูหลังให้ใครสักคนมา หรือว่าเจ้าจะ…!”
สุนัขตัวดำมีท่าทีหวาดกลัวและรีบล่าถอย “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีรสนิยมเช่นนี้ นายท่านหมาขอกล่าวเตือนเอาไว้เลยนะ ถ้าเจ้าคิดจะทำเช่นนั้นกับข้าด้วยล่ะก็ ข้าจะกัดก้นเจ้าให้แยกออกเป็นสามแฮก!”
หลิงฮันไม่สนใจสุนัขตัวดำ ที่จริงเขาเพียงแค่คิดจะแกล้งเทียนเซี่ยตี้เอ้อเล่นๆเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เทียนเซี่ยตี้เอ้อร้อนรนตามหาคนร้ายไปทั่ว
ส่วนในด้านสมบัตินั้น ไม่ว่าทุกคนจะหาอย่างไรก็ไม่พบของล้ำค่าใดๆ พวกเขาจึงเปลี่ยนสำรวจค้นภูเขาลูกอื่นๆ
แต่ก็ยังไม่พบเจออะไรอยู่ดี
ไม่มีใครสนใจเรื่องที่กู่ต้าวอี้หายหัวไปเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อเข้ามาในเขตแดนลี้ลับแล้วทุกคนต่างกลายเป็นนักล่าสมบัติ ต่อให้มีคนหายไปคนนึงก็ไม่มีใครใส่ใจ มีบางคนคิดว่าบางทีกู่ต้าวอี้อาจจะพบเจอสมบัติจึงกลับออกไปแล้ว
เมื่อไม่พบของล้ำค่าใดๆทุกคนจึงไม่มีทางเลือกและกลับออกมาจากกล่อง ทันทีที่กลับออกมาพวกเขาก็พบเห็นคลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองพุ่งทะยานเข้ามาพร้อมกับร่างของคนคนหนึ่ง ร่างนั้นขยับตัวอย่างเชื่องช้าด้วยการก้าวเดิน แต่พริบตาเดียวเขากลับเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เซียนขวงยวี่!” ทุกคนอุทานพร้อมกัน
เซียนขวงยวี่ยกมือเล็กน้อยก่อนจะหันมองซากศพของนกอมตะทั้งสาม ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความตกตะตึงอย่างปิดไม่มิด
ข่าวที่ว่ามีสมบัติปรากฏขึ้นที่นี่นั้นย่อมต้องผ่านไปถึงหูของเขาแน่นอน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรนัก เซียนคนอื่นๆเองก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ว่าก่อนหน้านี้ที่กล่องถูกเปิดออก แสงสว่างสีทองได้สาดส่องขึ้นไปบนท้องฟ้าทะลุไปถึงชั้นอวกาศ แม้จะอยู่บนดาวมู่ถูก็สามารถมองเห็น เพราะแสงสีทองที่ว่าเซียนทั้งสิบจึงรู้สึกสงสัย
เซียนขวงยวี่นั้นคิดว่าหากเขามาที่นี่ด้วยตนเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุกาณ์เช่นใดทุกอย่างก็คงจบลงอย่างง่ายดาย
เพียงแต่ว่าทันทีที่ได้เห็นศพของนกอมตะทั้งสามตัว… เรื่องนี้เกรงว่าต่อให้เป็นเขาก็คงจัดการไม่ได้!