บทที่ 542.1 ได้สมบัติ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

คนทั้งสี่หยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง รอจนตี๋หยวนเฟิงที่เอามือกดด้ามดาบหันมาสบตากับหวงซือ พวกเขาถึงได้วิ่งตะบึงไปยังภูเขาเขียวพร้อมกัน

ก่อนหน้านี้จุดที่พวกเขาร่วงลงมา ด้านล่างมีก้อนหินสีเขียวทรงกลมขนาดใหญ่คล้ายภาพฝ้าบนเพดานสิ่งปลูกสร้างรองรับ เดิมทีมันควรจะอยู่บนฝ้าเพดานในวัดวาอาราม คิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่ลับตระกูลเซียนแห่งนี้กลับถูกคนเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า

ตรงใจกลางของภาพฝ้าเพดานทรงกลมนี้คือดอกบัวดอกหนึ่ง วงรอบนอกคือเจียวหลงสองตัวที่หัวหางเชื่อมติดกัน ขยับไปข้างนอกอีกก็คือเฟยเทียน (ชื่อพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เป็นพระโพธิสัตว์ที่บินอยู่บนท้องนภาซึ่งปรากฎอยู่ในภาพแกะสลักที่แผ่นหินประเทศจีน) สิบหกองค์ มีวงล้อมหลายชั้น แต่ละชั้นแกะสลักถี่ยิบแต่ประณีตงดงาม

ตี๋หยวนเฟิงใช้ไม้เท้าไม้ไผ่เคาะอยู่หลายครั้ง เป็นเสียงเหมือนโลหะ แข็งแกร่งมิอาจทำลาย

ทว่าต่อให้จะยกเอาไปได้ ตี๋หยวนเฟิงก็ไม่กล้าทำตัวเหลวไหล เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องออกไปจากซากปรักจวนเซียนโดยผ่านที่แห่งนี้

เมื่อครู่นี้การที่เขากับหวงซือจงใจหยุดรออยู่ก่อน แน่นอนว่าเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน

หากมีคนแอบแฝงตัวตามพวกเขาเข้ามาที่นี่ ก็จะต้องโดนหนึ่งหมัดและหนึ่งดาบของพวกเขา

เฉินผิงอันที่ตามหลังมารั้งท้ายสุดแอบคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาหนึ่งแผ่น ยังคงไม่มีลางของปราณชั่วร้ายแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับฟ้าดินด้านนอก แผ่นยันต์ยังเผาไหม้ช้ากว่าเสียอีก

สาเหตุน่าจะเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น

คนอีกสามคนทำเพียงแค่เหลือบตามองเขาแล้วก็ไม่คิดจะสนใจอีก

ระหว่างขุนเขาเขียวน้ำใส มีสะพานโค้งหยกขาวแห่งหนึ่งทอดตัวอยู่

ประหนึ่งสายรุ้งสีขาวที่นอนทาบทับสายน้ำ

บนเสาที่เป็นราวรั้วสะพานแต่ละเสาสลักสัตว์ประหลาดหลากหลายชนิด ไม่มีซ้ำแบบกัน ฝีมือประดุจเทพรังสรรค์ ราวกับว่ามีสิ่งชีวิตนอนหลับใหลอยู่ภายใน

บริเวณใกล้เคียงกับผิวน้ำใต้สะพานมีหินก้อนใหญ่แกะสลักเป็นรูปสัตว์ประหลาดที่เป็นหนึ่งในบุตรของมังกรในตำนาน บนศีรษะมีเขาสองข้าง ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเกล็ด รูปสลักนี้ถูกสร้างให้อยู่ในลักษณะนอนหมอบยื่นหัวมองเข้าไปในน้ำ

เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ความคิด

รูปสลักสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้สะพานแห่งนี้ไม่ได้เป็นสัตว์ที่ล้ำค่าหายากอะไร เพียงแต่ชื่อเรียกของเผ่าพันธ์มังกรตัวนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย

ในใต้หล้าไพศาล โดยทั่วไปแล้วจะเรียกมันว่าปาเซี่ยหรือป้าเซี่ย แต่ตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนนั้นเฉินผิงอันได้เดินผ่านสะพานข้ามสายน้ำน้อยใหญ่มาจนทั่วแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็เคยเห็นสัตว์ชนิดนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะของมันแตกต่างไปจากในใต้หล้าไพศาลเล็กน้อย อีกทั้งหากอิงตามตำราทั้งหลายที่ราชครูจ้งชิวไปเอามาจากกรมโยธาธิการ ตำรา ‘รูปแบบมาตรฐานการก่อสร้าง’ ที่เฉินผิงอันเปิดอ่านบ่อยที่สุดเล่มนั้นได้บันทึกถึงสัตว์ชนิดนี้ไว้ว่าชื่อกงฟู่ หรือสัตว์เลี่ยงน้ำ สามารถกลืนกินน้ำในแม่น้ำลำธาร เป็นสัตว์ที่ผู้ครองยุทธภพของยุคบรรพกาลอันห่างไกลเลี้ยงเอาไว้ เล่าลือกันว่าเทพอัคคีไม่ชอบมัน จึงใช้วิธีการต้มน้ำทะเลสาบน้ำมหาสมุทรให้เดือดพล่านมาสังหารมันทั้งเป็น

แต่ในใต้หล้าไพศาลกลับไม่มีบันทึกที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มีเพียงบันทึกที่พร่าเลือนเกี่ยวกับหนึ่งในบุตรทั้งเก้าของมังกร มีความแตกต่างกันแค่เล็กน้อย ไม่มีคำกล่าวเกี่ยวกับ ‘ผู้ครองยุทธภพ’ อะไรนั่นแน่นอน

เฉินผิงอันเก็บความคิดในใจลงไป ไม่ไปคิดเรื่องพวกนี้ให้มากความอีก แล้วจึงหยิบยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพานออกมาอีกหนึ่งแผ่น หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็ไม่ได้ยื่นมันส่งให้พวกหวงซือ แต่เดินขึ้นไปบนสะพานด้วยตัวเอง

ไร้คลื่นไร้มรสุม ไม่มีเรื่องน่าตกใจ ไม่มีอันตราย

แล้วเฉินผิงอันก็เดินผ่านสะพานหินหยกขาวมาทั้งอย่างนี้ ครั้นจึงหันไปกวักมือเรียกพวกคนที่อยู่ด้านหลัง บอกให้พวกเขารู้ว่าไม่มีกลไกอะไร สามารถเดินข้ามสะพานมาได้อย่างสบายใจ

คนทั้งสามต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไป นักพรตซุนรู้สึกว่าสหายเฉินผู้นี้คงจะคิดว่าทุกคนใกล้จะได้เดินเข้าไปในภูเขาสมบัติกันแล้ว ก็เลยอยากจะแสดงฝีมือสักหน่อย แต่ก็เปลืองกำลังเปล่า เพราะหากถึงเวลาที่ควรต้องตาย สหายผู้นี้ก็ยังต้องตายอยู่ดี ตอนนั้นที่อยู่บนก้อนหินใหญ่ริมน้ำ เขาไม่ควรจะตอบตกลงร่วมเดินทางมาด้วย ยิ่งไม่ควรเข้ามาในซากปรักจวนตระกูลเซียนที่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติแห่งนี้ เพียงแต่ว่าพอคิดเช่นนี้ ยังไม่ทันเป็นจิ้งจอกที่เศร้าใจเพราะกระต่ายตาย นักพรตร่างผอมสูงก็ต้องตกตะลึงขวัญผวาขึ้นมาเสียก่อน ไม่ใช่ว่าตนก็จะต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้เหมือนกันหรอกนะ?

เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอายุน้อยลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ การค้นหาสมบัติก็คือการฝึกตน ขอแค่ไม่ได้ไปเจอกับสำนักศัตรูคู่แค้น ส่วนใหญ่ก็มักจะสามัคคีปรองดองกัน ต่อให้เป็นเพียงแค่การพบเจอกันอย่างผิวเผิน แต่เมื่อบอกตัวตนออกไปอย่างชัดเจนก็ถือว่าเป็นโชควาสนาและการสานสัมพันธ์ควันธูปอย่างหนึ่ง ท่าทางยามฮุบกลืนผลประโยชน์ก็ไม่นับว่าน่าเกลียดเกินไป

ทว่าผู้ฝึกตนอิสระที่จับกลุ่มกัน ส่วนใหญ่มักจะจับกลุ่มกันสามสี่คน น้อยไปก็ทำไม่สำเร็จ มากไปก็อาจทำให้เกิดปัญหา หากมีลมพัดใบไม้ไหวสักหน่อย ยังไม่ทันถึงช่วงเวลาที่ได้แบ่งทรัพย์สินอย่างเท่าเทียมก็เกิดขัดแย้งกันเป็นการภายในเสียก่อน คิดจะช่วงชิงโชควาสนากับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ดังนั้นระหว่างที่แย่งชิงกัน ส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นฝ่ายแรกที่ยินดีทุ่มชีวิตมากกว่า หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ผู้ฝึกตนอิสระยังถึงขั้นมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่มีร่วมกัน ยินดีลงทุนอย่างไม่เสียดาย แต่หากแบ่งทรัพย์สินกันแล้ว คิดจะเขมือบกลืนกันเอง จะไปยากอะไร? ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา หลังจากที่สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว กลับไม่มีความคิดที่จะฮุบกลืนผลประโยชน์เอาไว้คนเดียว แล้วจะยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ป่าเถื่อนไปไย?

ตี๋หยวนเฟิงสังเกตเห็นว่าสายตาของนักพรตซุนล่อกแล่กไม่หยุดนิ่ง จึงยิ้มกล่าวว่า “ทำไม กังวลว่าจะถูกข้ากับหวงซือหลอกทำร้ายหรือ? พื้นที่มงคลหายากที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเราสามพี่น้อง สุดท้ายจะขนย้ายไปได้สักกี่มากน้อย? ในเมื่อขนอย่างไรก็ขนไม่หมด ยังต้องให้เจ้าฆ่าข้า ข้าฆ่าเจ้าอีกหรือ?”

นักพรตซุนได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แล้วก็อดไม่ไหวลูบหนวดยิ้มตาหยี

คนทั้งสามเดินข้ามสะพานโค้งหยกขาวมา นักพรตซุนฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจทรุดตัวลงนั่งยอง เอามือลูบไปบนเส้นทางสะพานหยกขาว ไม่ใช่หยกมันแพะงดงามทั่วไปในโลกมนุษย์ มารดามันเถอะ นี่ไม่ใช่เงินเทพเซียนอีกก้อนที่นอนนิ่งไม่ขยับหรอกหรือ?

นักพรตซุนใช้นิ้วเคาะเบาๆ เสียงใสกังวาน ช่างไพเราะเสนาะหูเสียจริง

ก็เหมือนกับเสียงเคาะเงินร้อนน้อยสองเหรียญเบาๆ ที่ได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิตนั่น ช่างชวนให้คนหลงใหล ฟังร้อยรอบก็ไม่เบื่อ

หลังจากที่ขยับเข้าใกล้ประตูภูเขา ตี๋หยวนเฟิงก็แหงนหน้ามองไปยังขั้นบันไดที่ทอดยาวสู่ยอดเขา ยิ้มกล่าวว่า “เดินอ้อมสักหน่อย ไปดูทัศนียภาพโดยรอบ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้ว พวกเราค่อยขึ้นเขากันไป”

อีกสามคนที่เหลือต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง

ตรงหน้าประตูภูเขามีซุ้มหินขนาดใหญ่ยักษ์ลักษณะโบราณเรียบง่ายที่ฝังเลื่อมตัวอักษรใหญ่ยักษ์สี่คำว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ เอาไว้

กลอนคู่สองด้านก็ยังคงแกะสลักลงบนก้อนหิน

นิ่งสงัดไม่ขยับเชื่อมโยงกันจึงมีปาฏิหาริย์

ผู้ที่ได้ส่วนดีจากผืนดินจึงศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

เฉินผิงอันจ้องมองกลอนคู่นี้นิ่งนาน

อันที่จริงมันเป็นกลอนที่ไม่มีสัมผัสคล้องจองเลยแม้แต่น้อย

แต่ใช้น้ำเสียงใหญ่โต ความหมายก็ใหญ่โตมากด้วย

หวงซือคือคนที่ไม่คิดจะมองกรอบป้ายและกลอนคู่นี้มากกว่าใคร เขาย้ายเส้นสายตาไปยังจุดที่ห่างไปไกลและจุดสูงอยู่นานแล้ว

ตี๋หยวนเฟิงมองไปทางด้านหลังซุ้มป้ายแล้วทยอยไล่มองจากสองข้างฝั่งขึ้นไปด้านบน มีป้ายศิลาแกะสลักอยู่สามสิบหกอัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวอักษรที่แกะสลักถึงได้ถูกปาดกลึงจนเรียบไปหมด

ราวกับว่าสิ่งที่สามารถบอกประวัติความเป็นมาของซากปรักแห่งนี้ให้แก่คนรุ่นหลังได้ มีเพียงสี่ตัวอักษรว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ ที่เขียนก็เหมือนไม่เขียนนั่นเท่านั้น ส่วนกลอนคู่ทั้งสองบทก็ยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่

นักพรตซุนแหงนหน้ามองกรอบป้ายโบราณนั้นแล้วจุ๊ปากพูดว่า “เขียนอะไรส่งเดชเช่นนี้ สมควรจะถูกทำลายให้หมด”

ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ล้วนมีการเปลี่ยนแปลง หาใช่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย หากไม่ถูกผู้ฝึกตนใหญ่ทุบทำลาย ก็ต้องสาบสูญไปอย่างน่าประหลาดใจ หรือไม่ถ้ำสวรรค์ก็หล่นลงพื้นกลายเป็นพื้นที่มงคล แต่นักพรตซุนเชื่อว่าไม่มี ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ อะไรนั่นอยู่อย่างแน่นอน นอกจากนี้ถึงแม้ว่าที่แห่งนี้จะมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น แต่ก็ยังอยู่ห่างจากถ้ำสวรรค์ในตำนานอีกไกลโข เพราะบนภูเขาก็มีบันทึกมากมายที่คล้ายคลึงเกร็ดพงศาวดารเช่นกัน ยามที่พูดถึงถ้ำสวรรค์ ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘ปราณวิญญาณเข้มข้นราวสายน้ำ’ อยู่เสมอ ความเข้มข้นของโชคชะตาน้ำของสถานที่แห่งนี้ยังอยู่ห่างจากคำกล่าวนั้นมากนัก

เมื่อเทียบกับคนสามคนที่อยู่ข้างกาย เฉินผิงอันย่อมเข้าใจถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลได้ดียิ่งกว่า แต่ก็ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ถ้ำสวรรค์ใต้หล้า’ อะไรเหมือนกัน และหากจะคิดเอารูปแบบของสิ่งปลูกสร้างที่นี่มาอนุมานยุคสมัยของถ้ำสถิต ก็เปลืองแรงเปล่า เพราะถึงอย่างไรความรู้ที่เฉินผิงอันมีต่ออุตรกุรุทวีปก็ยังตื้นเขินอยู่มาก ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ เฉินผิงอันจะยิ่งเข้าใจเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มาจากสำนักบนภูเขาได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม รากฐานของภูเขาลูกหนึ่ง จำเป็นต้องให้ลูกศิษย์ของศาลบรรพจารย์แต่ละรุ่นคอยสั่งสมมาจริงๆ

ได้แต่จดจำเอาไว้ก่อน หากมีโอกาส วันหน้าจะลองวาดเค้าโครงของสิ่งปลูกสร้างหลักนี้ไว้ แล้วส่งภาพวาดไปให้ชุยตงซานดู

ตี๋หยวนเฟิงดึงสายตากลับคืนมา พยักหน้ายิ้มเอ่ย “แปลกประหลาดมากจริงๆ”

หลังจากนั้นคนทั้งสี่ก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ ฝีเท้าไม่ช้า พวกเขาเดินผ่านตำหนักใหญ่หลังแล้วหลังเล่า ระหว่างทางมีทั้งศาลาหอเก๋ง มีระเบียงยาวราวรั้วสีชาด คนทั้งสี่ได้เห็นโครงกระดูกขาวโพลนอยู่เป็นระยะ ดูจากตำแหน่งที่โครงกระดูกล้มลง ล้วนเป็นการตายอย่างเฉียบพลันทั้งสิ้น

ไม่มีใครผลักประตูเข้าไปข้างใน

เพราะยังคงหวังว่าจะไปตรวจสอบที่อารามเต๋าบนยอดเขาดูก่อน

โดยทั่วไปแล้ว สมบัติหนักของแต่ละสำนักมักจะอยู่บนจุดสูงเสมอ

จวนตระกูลเซียนไม่รู้ชื่อแห่งนี้ ทุกหนแห่งล้วนมีรอยกรีดเล็กๆ ถี่ยิบเต็มไปหมด แต่ละรอยล้วนไม่ลึก

เหมือนมีฝนปราณกระบี่ที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มาเยือนอย่างกะทันหันจนคนไม่ทันตั้งตัว

กระบี่นี้

ต้องมาจากมือของเซียนกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบหรือขอบเขตเซียนเหรินกันแน่

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงได้ออกกระบี่อย่างประหลาดเช่นนี้ ปราณกระบี่ท่วมทับฟ้าดิน อีกทั้งยังดูเหมือนว่ายังหาตัวคนเจออย่างแม่นยำแล้วปล่อยกระบี่ไปหาอีกด้วย

เฉินผิงอันเงยหน้ามอง

มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้จริงๆ

สรุปก็คือสำนักตระกูลเซียนขนาดใหญ่กลับต้องพังทลายหายไปในเสี้ยววินาทีเช่นนี้

ตลอดทางที่เดินมา ค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูงกันไปเรื่อยๆ รอบด้านมีแต่ความเงียบสงัดวังเวง

นักพรตซุนกระวนกระวายไปตลอดทาง ราวกับว่ามีน้ำเย็นๆ สาดใส่หัวตลอดเวลา เขาก็เลยยื่นมือไปลูบคลำกระพรวนเจดีย์วิเศษนั้นตามจิตใต้สำนึก

หากมีภูตผีปีศาจซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ควรจะทำอย่างไรดี?

หากท่ามกลางโครงกระดูกเหล่านี้มีวิญญาณใครสักคนที่หลังจากตายไปแล้วกลายไปเป็นผีร้าย ยึดครองจวนตระกูลเซียนแห่งนี้ไม่รู้กี่ร้อยปีมาแล้ว ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่คือพวกทึ่มไร้สติปัญญา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะฝึกตนจนเป็นผีเซียนดินได้แล้วกระมัง?

ดังนั้นนักพรตซุนจึงต้องลูบคลำกระพรวนเจดีย์วิเศษบ่อยๆ ถึงจะวางใจลงได้

อันที่จริงกระพรวนชิ้นนี้ยังความมหัศจรรย์ด้านอื่นอีก ยิ่งมีสิ่งสกปรกที่ขอบเขตต่ำต้อยขยับเข้ามาใกล้ เสียงกระพรวนก็จะยิ่งดังถี่กระชั้น ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไร หากถึงขอบเขตประตูมังกร ก็จะยิ่งดังจนคนที่ห้อยมันไว้จิตใจวุ่นวายไม่เป็นสุข แต่หากมีปีศาจโอสถทองอยู่ใกล้ๆ กระพรวนเจดีย์วิเศษกลับจะไม่ส่ายไหวอย่างรุนแรง ยิ่งคนนอกมองมาก็ยิ่งไร้ความเคลื่อนไหวไร้เสียง แต่ในความเป็นจริงแล้วบนทะเลสาบหัวใจของเจ้าของที่หล่อหลอมมันได้สำเร็จจะเกิดเสียงดังตึงขึ้นครั้งหนึ่ง

แล้วก็เพราะการเตือนอย่างเงียบเชียบของกระพรวนเจดีย์วิเศษในครั้งนั้นที่ทำให้นักพรตซุนหนีพ้นหายนะมาได้

นักพรตซุนหวังแค่ว่าคราวนี้อย่าได้มีเสียงกระพรวนดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจเลย

คนทั้งสามเคยจับกลุ่มกันรับมือกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งมาก่อน ต่อให้จะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งอยู่ติดกายก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ดังนั้นนักพรตซุนจึงหวังว่ากระพรวนเจดีย์วิเศษที่ห้อยไว้ตรงเอวจะส่ายอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังสะเทือนฟ้าไปเลยก็ยิ่งดี

ตอนที่คนทั้งสี่เดินผ่านโครงกระดูกที่อยู่ข้างทาง ตี๋หยวนเฟิงจะต้องโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของโครงกระดูกก็จะถูกพายุลมกรดพัดให้แหลกสลายเป็นผุยผง ไม่เพียงเท่านี้ เครื่องประดับมากมายของผู้ฝึกตนที่เดิมทีควรมีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่ด้านในก็ยังยากจะหนีพ้นจุดจบกลายเป็นเถ้าธุลีไปได้

มีเพียงโครงกระดูกเท่านั้นที่พอพายุหมัดผ่านไปกลับยังคงเป็นปกติไม่แหลกสลาย

เป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

หลังจากที่ลงมือไปสิบกว่าครั้ง ตี๋หยวนเฟิงก็ยังคงไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ นักพรตร่างผอมสูงจึงเริ่มชิงลงมือก่อน เขาทำเลียนแบบอีกฝ่าย แต่น่าเสียดายที่ตบะไม่ได้เรื่อง จึงยังไม่เจอชุดคลุมอาคมสักชิ้น

ตี๋หยวนเฟิงจึงหันหน้ามามองหวงซือ “พี่ใหญ่หวงก็ลองเสี่ยงดวงดูด้วยสิ?”

บางทีอาจเป็นเพราะลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยน ภายหลังระหว่างที่เดินขึ้นบันไดมาบนภูเขา หวงซือก็ลองโบกชายแขนเสื้อดู และเสื้อผ้าที่อยู่บนโครงกระดูกก็ยังคงอยู่ดังเดิม นักพรตซุนจึงรีบวิ่งไปดึงเอาชุดออกมา

ช่างหัวมาดยอดฝีมือเรือนเทพสายฟ้าอะไรนั่นเถอะ!

ข้าผู้อาวุโสคือผู้ฝึกตนอิสระที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยได้สัมผัสกับเงินฝนธัญพืชแม้แต่ครึ่งเหรียญ!

เพียงแต่ว่าพอดึงมาได้สำเร็จ นักพรตซุนก็ยังคงตัดใจมอบมันให้หวงซือ

นี่ก็คือกฎของผู้ฝึกตนบนภูเขา

แน่นอนว่ายังมีกฎที่ใหญ่ยิ่งกว่ารอคนทั้งสี่อยู่ภายหลัง แต่หากดูจากตอนนี้ ต้องเท่ากับว่ารอสหายเฉินผู้นั้นคนเดียวถึงจะถูก

นักพรตซุนเริ่มรู้สึกเวทนาอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้

หรือว่าตนควรจะทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มีจิตใจดี เกลี้ยกล่อมตี๋หยวนเฟิงและหวงซือดูสักครั้ง?

หากขนสมบัติในคลังของที่แห่งนี้ไปไม่หมด ทุกคนได้ผลเก็บเกี่ยวกลับไปเต็มไม้เต็มมือจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าคนชิงทรัพย์กระมัง?

เพียงแต่ว่านักพรตซุนยังคงลังเลตัดสินใจไม่ได้ เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอให้ได้ผลเก็บเกี่ยวก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ไม่อย่างนั้นหากสุดท้ายแล้วแม้แต่ห่อสัมภาระใบสองใบก็ยังบรรจุได้ไม่เต็ม แล้วตนยังใจอ่อน มีเมตตากรุณาดุจสตรีเช่นนี้ มีแต่จะทำให้สองคนนั้นเกิดความชิงชัง ไม่แน่ว่าอาจถือโอกาสสังหารตนไปพร้อมกันด้วย

——