บทที่ 963 ค้นพบอาณาจักรผู้กล้า

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ภายในพริบตาเวลาผ่านไปอีก 500 ปี

500 ปีที่ผ่านมา กองทัพพันธมิตรซึ่งถูกนำโดยหลิงยี่เทียนก็ยังคงปิดล้อมสันเขาหมื่นอสูรอยู่เช่นเดิม ป้องกันไม่ให้เหล่าอสูรออกมาอาละวาดได้ตามใจนึก

และด้วยการย้ำเตือนอยู่ตลอดของหลิงยี่เทียน กองกำลังต่าง ๆ ก็ไม่ได้ย่างกรายเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูรเช่นกัน

แต่ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ มันก็ใช่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่ปะทะกันเลย มีอยู่หลายครั้งที่บรรดาอสูรทนไม่ไหวยกทัพใหญ่ออกมารบกับกองทัพพันธมิตร ซึ่งทุกครั้งพวกมันก็ถูกผลักดันให้กลับเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูรเหมือนเดิม

แต่ที่บ่อยมากไปกว่านั้นก็คือแทบทุกวันมันจะต้องมีอสูรบางตัวที่ทนเสียงตะโกนดูถูกของพวกมนุษย์ไม่ไหวออกมาสู้กับผู้เชี่ยวชาญฝั่งมนุษย์แบบ 1-1 บ้าง หรือไม่ก็จัดกลุ่มเล็ก ๆ สู้กันบ้าง การสู้เช่นนี้เกิดขึ้นแทบทุกวันและมันก็เป็นไปแบบสลับกันแพ้ชนะ ส่งผลให้ทั้งสองฝ่าบาดเจ็บล้มตายกันไม่น้อยจากการปะทะประปรายเช่นนี้

อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่ผ่านมา สัญญาณการปรากฏกายของผู้สำเร็จเต๋าก็เกิดขึ้นถึง 7 ครั้งด้วยกัน ผู้สำเร็จเต๋า 3 คนเป็นของเผ่ามนุษย์ อีก 2 เป็นของเผ่าอสูรในสันเขาหมื่นอสูร และผู้สำเร็จเต๋า 2 คนที่เหลือคือเผ่าปีศาจที่อยู่ในเขตอุดรทมิฬ

แต่แล้วในทันทีที่ผู้สำเร็จเต๋าของเผ่าปีศาจ 2 ตนเดินทางมาถึงสนามรบระหว่างมนุษย์และอสูร เผ่าอสูรกลับสามารถโน้มน้าวปีศาจทั้งสองให้เข้าร่วมได้ ซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ในสนามรบต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก ซึ่งการย้ายฝั่งของผู้สำเร็จเต๋าเผ่าปีศาจทำให้ความแข็งแกร่งของเผ่าอสูรเพิ่มขึ้นในทันที แต่ยังโชคดีที่ฝั่งมนุษย์ยังมีกวนหลิงอู่ที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้สำเร็จเต๋าทั่วไปหลายเท่า ดังนั้นฝั่งมนุษย์จึงไม่นับว่าเสียเปรียบเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าและยังไม่มีคำสั่งจากหลิงยี่เทียนให้บุกโจมตีสักที บรรดากองกำลังของมนุษย์ทั่งหลายก็เริ่มระส่ำระส่าย พวกเขาแต่ละฝ่ายล้วนมีเรื่องที่ต้องไปจัดการของตัวเองเหมือนกัน และการรออยู่ที่นี่นานเข้ามันก็เริ่มทำให้พวกเขารู้สึกเสียเวลา

“ฝ่าบาท เมื่อไหร่ท่านจะออกคำสั่งให้พวกเราเข้าโจมตีสันเขาหมื่นอสูรงั้นหรือ?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดของสำนักยอดเขาอัสนีสวรรค์เอ่ยถามขึ้น

ในตอนก่อนที่จะมาถึงสนามรบ ผู้คนของสำนักยอดเขาอัสนีสวรรค์ต่างก็คิดว่าภารกิจสังหารอสุร 1 ล้านตัวนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยถ้าวัดจากความแข็งแกร่งของพวกเขา

แต่แล้วเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงและพบว่าบรรดาอสูรได้เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในสันเขาหมื่นอสูรหมดแล้ว ความฝันของพวกเขาก็พังทลายลงทันที ตอนนี้อย่าว่าแต่ 1 ล้านตัวเลย แค่สังหารอสูรได้ถึง 100 ตัวยังเป็นเรื่องยาก

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงขอร้องหลิงยี่เทียนหลายต่อหลายครั้งให้บุกโจมตีสักที

หลิงยี่เทียนยิ้มและตอบกลับ “ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อถึงเวลามันจะมีอสูรให้พวกเจ้าได้สังหารจนพอใจพอแน่นอน”

500 ปีที่ผ่านมานี้ด้วยพลังแห่งศรัทธาจำนวนมหาศาล หลิงยี่เทียนจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิไปเรียบร้อย และเมื่อเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเรียกพวกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิว่าผู้อาวุโสอีกต่อไป

ทางด้านของคนอื่น ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นกันที่ในเวลาเพียง 500 ปี หลิงยี่เทียนกลับทะลวงขอบเขตขึ้นมาอยู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหลิงยี่เทียนอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วหลิงยี่เทียนนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

พวกเขาเคยเห็นหลิงยี่เทียนสู้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นกับอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิตนหนึ่งที่ออกมาท้าทาย ซึ่งหลิงยี่เทียนใช้กระบวนท่าปริศนาบางอย่างสังหารอสูรตนนั้นภายในพริบตา

จวบจนวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่ากระบวนท่าที่หลิงยี่เทียนใช้มันคืออะไรกันแน่ สิ่งที่พวกเขารู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิทั่วไปนั้นไม่สามารถต่อกรกับหลิงยี่เทียนได้แน่นอน

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ของหลิงยี่เทียน ผู้เชี่ยวชาญของสำนักยอดเขาอัสนีสวรรค์ก็จากไปด้วยสีหน้าขมขื่น

นี่มันกี่ปีผ่านมาแล้ว? ทุกครั้งที่ข้าถามเจ้าก็ตอบแบบนี้เหมือนเดิม เจ้าช่วยคิดคำตอบแบบอื่นบ้างได้ไหม?

หลังจากผู้เชี่ยวชาญของสำนักยอดเขาอัสนีสวรรค์จากไป หลิงว่านถิงถอนหายใจและพูดว่า “อันที่จริงข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ท่านพ่อจะกลับมา ข้าอยากจะรีบกลับไปที่สำนักของข้าเร็ว ๆ เพื่อสำเร็จเต๋าของข้าสักที!”

“พี่สองท่านไม่ต้องกังวล พวกเราทั้งหมดจะได้ขึ้นไปโลกเบื้องบนพร้อมกันแน่นอน” หลิงยี่เทียนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเชื่อมั่น “ข้ามีความรู้สึกว่าอีกไม่นานท่านพ่อก็จะกลับมาแล้ว”

ก่อนหน้านี้ที่หลิงตู้ฉิงให้ลูก ๆ ของเขาทั้งหมดได้เห็นอนาคตเส้นทางการบ่มเพาะของตนเอง ลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงทุกคนจึงบ่มเพาะกันได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก หลิงว่านถิงและหลิงไช่หยุนตอนนี้ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว หลิงยู่ชานและหลิงฟ่างหัวอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นสูงสุด ส่วนคนที่เหลือต่างก็อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ

แน่นอนว่าด้วยพรสวรรค์อันสูงส่งของพวกเขาแต่ละคน พวกเขาจึงมีความแข็งแกร่งกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิธรรมดาทั่วไปหลายเท่าตัว

อันที่จริงความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้นั้นไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น ๆ สักเท่าไหร่ พวกเขารู้สึกว่ามันสมควรแก่เวลาที่จะต้องโจมตีแล้วเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเป็นเพราะหลิงตู้ฉิงได้สั่งย้ำเอาไว้อย่างหนักแน่น พวกเขาจึงยังไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

“ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าหลายปีที่ผ่านมาท่านพ่อสังหารพวกผู้ส่งสาสน์ไปแล้วกี่คน?” หลิงฟ่างหัวเอ่ยขึ้น “หวังว่าท่านพ่อคงจะสังหารผู้ส่งสาสน์ที่มีเต๋ามิติได้บ้างสักคน ไม่เช่นนั้นข้าคงสำเร็จเต๋าได้ลำบากแน่นอน”

ในโลกเบื้องล่างนี้มีผู้เชี่ยวชาญที่บ่มเพาะเต๋ามิติอยู่น้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงสำนักที่บ่มเพาะเต๋ามิติซึ่งไม่มีเลย ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องหาอำนาจเต๋ามิติจากแหล่งอื่นมาเกื้อหนุนตัวนางเองให้กลายเป็นผู้สำเร็จเต๋า

“ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าเชื่อว่าท่านพ่อจะต้องเตรียมการเอาไว้ให้กับเจ้าแน่นอน” หลิงยู่ชานเอ่ยขึ้น “ว่าแต่นี่มันก็ 500 ปีมาแล้ว ทำไมจิ๋นชานยังไม่ตื่นขึ้นอีก?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของทุกคนก็หันไปสนใจที่จิ๋นชาน

ที่ผ่านมา 500 ปี จิ๋นชานนั้นหลับอยู่ตลอดไม่ตื่นขึ้นมาสักครั้ง

ถึงแม้ว่าทุกคนจะเข้าใจว่าจิ๋นชานกำลังใช้ทักษะห้วงนิทราแห่งราชันย์เพื่อสืบข้อมูลของสันเขาหมื่นอยู่ และจิ๋นชานก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง

นี่มันก็นานแล้วทำไมยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก?

หลังจากรอต่อไปอีก 3 ปี ในที่สุดจิ๋นชานที่กำลังนอนหลับอยู่ก็กระอักเลือดออกมาคำโตพร้อมกับตื่นขึ้น

“ฝ่าบาท สิ่งที่เกิดขึ้นข้างในนั้นมันแย่เป็นอย่างมาก!” จิ๋นชานเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้าหม่นหมอง “พวกเราควรรีบโจมตีโจมตีทันทีและส่งทหารเข้าไปช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ที่อยู่ในอาณาจักรผู้กล้าออกมาให้หมด ชะตาชีวิตที่พวกเขามีกันอยู่ในตอนนี้มันช่างน่าเวทนาเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้!”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาณาจักรผู้กล้า’ สีหน้าของหลิงยี่เทียนกลายเป็นตึงเครียดทันทีและรีบถามกลับ “นี่เจ้าเห็นอาณาจักรผู้กล้า? ไหนรีบบอกข้ามาเจ้ารู้อะไรมาบ้าง? แล้วมันตั้งอยู่ข้างในสันเขาหมื่นอสูรงั้นเหรอ?”

อาณาจักรผู้กล้านี้ หลิงยี่เทียนสืบหาข่าวของมันมาตลอด แต่เขาก็ไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลยจนบางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าสถานที่นี้มันอยู่ในสันเขาหมื่นอสูรหรือเปล่า เพราะมันมีความเกี่ยวข้องกับพวกอสูรและเขาก็หามันไม่เจอ

ตอนนี้เมื่อได้ยินชื่อของอาณาจักรผู้กล้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็เริ่มแน่ใจมากขึ้นไปอีกว่าอาณาจักรผู้กล้าและสภาอสูรสวรรค์จะต้องอยู่ในสันเขาหมื่นอสูรอย่างแน่นอน

จิ๋นชานยันตัวขึ้นนั่ง จากนั้นเขาทำสมาธิอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะค่อย ๆ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “ฝ่าบาทหลังจากที่ข้าได้ใช้ห้วงนิทราแห่งราชันย์ ในแดนความฝันข้าได้ลอบเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูร แต่เมื่อข้าเข้าไปด้านในมันดูเหมือนว่ามีอสูรระดับสูงบางตนที่มีความสามารถคล้ายคลึงกับข้าที่สามารถท่องไปในแดนความฝันได้ ซึ่งพวกมันก็พบข้าในทันที ข้าเองจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหนีพวกมันเท่านั้นเพราะพวกมันมีจำนวนมากกว่า แต่ในระหว่างที่ข้าหนีไปเรื่อย ๆ นั้นข้าก็ได้พบอาณาจักรของมนุษย์ที่ตั้งอยู่ในสันเขาหมื่นอสูร”

“หลังจากที่ข้าตรวจสอบอย่างละเอียด ข้าก็ได้พบว่าอาณาจักรของมนุษย์นั้นมีชื่อว่าอาณาจักรผู้กล้า อาณาจักรผู้กล้านี้มีประชากรอยู่เป็นจำนวนหลายพันล้านและผู้คนที่อยู่ในอาณาจักรต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันคือต้านทานการรุกรานของเหล่าอสูร แต่น่าเศร้าที่พวกเขามักจะพ่ายแพ้ซะเป็นส่วนใหญ่ และทุกครั้งที่พวกเขาแพ้พวกอสูรจะพากันจับตัวเหล่ามนุษย์จำนวนมากออกไป”

“จากนั้นเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ข้าจึงได้ลองเข้าฝันอสูรตนหนึ่งที่เป็นสมาชิกของสภาอสูรสวรรค์ ซึ่งมันกลับทำให้ข้าได้พบว่าแท้จริงแล้วเรื่องของอาณาจักรผู้กล้าและสภาอสูรสวรรค์นั้นมันคือโศกนาฏกรรมของมนุษย์จำนวนหลายพันล้าน!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้สีหน้าของจิ๋นชานก็เปลี่ยนเป็นสลดยิ่งกว่าเดิม