บทที่ 1744 กลุ่มคนประมาณสามแสน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ใช่แล้ว! เป็นใครกันแน่? หลังจากติดต่อกับหยางชิ่งเสร็จ เหมียวอี้ก็ครุ่นคิดถึงคำถามนี้เช่นกัน คิดไปคิดมาก็หาสาเหตุไม่เจอ ก็เลยเลิกคิดแล้ว เพราะในมือยังมีงานมากมายที่ต้องจัดการ ตอนนี้ยังไม่มีเวลาใช้สมาธิกับเรื่องนี้

เขาต้องพยายามกับเรื่องเลื่อนยศหมู่ที่หลงซิ่นบอก เรื่องเลือกที่สร้างจวนหัวหน้าภาคก็ต้องแก้ปัญหา ต้องแก้ปัญหาเรื่องที่พักของกำลังพลหนึ่งแสนและการกระจายกำลังทหารด้วย ในเมื่อกลายเป็นแม่ทัพภาคแดนรัตติกาลแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหดหัวอยู่ที่เขาภูตพเนจรอีกต่อไป

นอกจวนแม่ทัพภาคมีคนคนหนึ่งที่รีบร้อนเดินทางมาถึง พอมาถึงประตูก็ดึงหน้ากากออก ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสวีถังหรานนั่นเอง

ทหารยามที่มาใหม่ไม่รู้จักเขา จึงขวางเขาไว้ สวีถังหรานที่ยื่นแผ่นหยกสถานะขุนนางให้ดูโมโหมาก กล่าวเน้นย้ำกับทหารยามด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าคือรองแม่ทัพภาคสวีถังหราน!”

ชื่อนี้ทหารยามเคยได้ยินมาก่อน รู้ว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของวหน้าภาค แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ไม่รู้จักเขา ถึงแม้จะนำแผ่นหยกขุนนางที่พิสูจน์ตัวตนของสวีถังหรานออกมา แต่ก็ยังไม่ปล่อยเขาเข้าไปง่ายๆ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าทหารยามไม่เห็นสวีถังหรานอยู่ในสายตา แต่แน่นอน ที่จริงแล้วก็ไม่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตานิดหน่อย

สำหรับทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผี พวกที่มาใหม่กลุ่มนี้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตานอกจากหนิวโหย่วเต๋อ ความหยิ่งยโสเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากฐานะตำแหน่ง แต่มาจากพลังและวรยุทธ์ของตัวเอง อีกทั้งสำหรับกำลังพลหนึ่งแสนในตอนนี้ ก็รับรู้ร่วมกันแล้วว่าความปลอดภัยของเหมียวอี้เป็นหลักประกันที่สำคัญอันดับหนึ่ง การทรยศสี่ทัพมาพึ่งพาฝั่งนี้ต้องใช้ความกล้าการและการตัดสินใจมากขนาดไหน ถ้าเหมียวอี้เป็นอะไรไป ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเบื้องบนจะส่งคนมาจัดระเบียบกำลังพลกลุ่มนี้ต่อ ใครจะไปรู้ว่าคนจากอำนาจฝ่ายไหนจะมา เกรงว่าปมที่กลัวว่าจะถูกล้างแค้นเพราะทรยศสี่ทัพคงกดดันให้พวกเขาหนักใจมาตลอด เป็นเพราะอำนาจอิทธิพลของสี่ทัพยิ่งใหญ่เกินไป ถ้าไม่ระวังก็สามารถทำให้พวกเขาต้องชดใช้สิ่งที่ทำอย่างสาหัสได้เลย ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว จะเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็เกิดเรื่องกับเหมียวอี้ไม่ได้เด็ดขาด ทุกคนยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคงเลย จึงปล่อยให้คนนอกเข้ามาปะปนใกล้ชิดหรือเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของเหมียวอี้ง่ายๆ ไม่ได้

โชคดีที่เสวี่ยหลิงหลงรู้ล่วงหน้าว่าสามีจะกลับมา นางกำลังเดินไปเดินมารอเขาอยู่ในลานบ้านแล้ว พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอกก็รีบยกกระโปรงวิ่งออกไปที่ประตู เห็นสถานการณ์คลี่คลายเร็วมาก ไม่ใช่ว่าทหารยามไม่เชื่อถือเสวี่ยหลิงหลง รอจนกระทั่งติดต่อยางเจาชิงจนได้คำตอบแล้ว ถึงได้ปล่อยสวีถังหรานเข้าไป

หลังจากสวีถังหรานที่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเข้ามาข้างในแล้ว ในใจก็เป็นกังวลมา เพิ่งจะออกไปได้สามปี แต่รองแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเขาก็เข้าไม่ได้แม้แต่ประตูจวนแม่ทัพภาคแล้ว และดูจากปฏิกิริยาของทหารยามก็เหมือนจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเท่าไร ในที่สุดเรื่องที่เขากังวลก็เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อเห็นเขามีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย เสวี่ยหลิงหลงที่เดินเป็นเพื่อนเขาก็บอกว่า “นายท่าน  ดูสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”

“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะไปพบแม่ทัพภาค…เอ่อ ไปพบหัวหน้าภาคก่อน ถ้าอาบน้ำสะอาดแล้วสภาพจะเหมือนคนเคยทำงานเสียที่ไหนล่ะ” สวีถังหรานพูดทิ้งท้ายแล้วรีบเดินออกไป ความคิดไม่ได้อยู่ที่ตัวเสวี่ยหลิงหลงเลย

ก็ช่วยไม่ได้ ในใจเขากระวนกระวาย เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ทางนี้ก็เป็นเหมือนดวงตาของเขา เรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้มีเสวี่ยหลิงหลงคอยรายงานเขาทุกเมื่อ พอรู้ว่ายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาขอพึ่งพานายท่านจนข่าวนี้สะเทือนใต้หล้า เขาก็เริ่มร้อนใจแล้ว ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนเชียวนะ แบบนี้เขาที่เป็นรองเพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือทุกคนในจวนแม่ทัพภาคจะไม่อยู่ในอันตรายหรอกหรือ? เขาอยากจะกลับมากอดต้นขาเหมียวอี้มาก แต่ยังจัดการงานในมือไม่เสร็จจึงกลับมาไม่ได้ ถ้ากลับมามือเปล่าโดยที่ทำงานไม่เสร็จสักอย่าง แล้วเขาจะรายงานผลการปฏิบัติงานได้อย่างไร? เขากลัวว่าภาพพจน์ตัวเองในสายตานายท่านจะแย่กว่าเดิม! ตอนหลังพอรู้ว่าทางนี้รับกำลังพลหนึ่งแสนใกล้ครบแล้ว เขาก็ยิ่งร้อนใจกว่าเดิม เพราะหลังจากเลื่อนจากจวนแม่ทัพภาคเป็นจวนหัวหน้าภาคแล้ว ตัวเองจะอยู่ในตำแหน่งอะไรล่ะ? นายท่านจะเตรียมตำแหน่งอะไรให้ตน? ตนใช้เวลาหลายปีกว่าจะไต่เต้ามาถึงทุกวันนี้ไม่ง่ายเลย ตามกอดขานายท่านเพื่อก้าวไปข้างหน้าตลอด จู่ๆ ก็กำลังจะข้อต่อหลุดแล้ว ข้างกายนายท่านมียอดฝีมือคนอื่นให้ใช้งานแล้ว ถ้าล้าหลังเพียงก้าวเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นจุดหักเหในชะตาชีวิตของเขาก็ได้ เป็นจุดหักเหที่ทำให้ต้องหยุดเดินหรือไม่ก็เดินลงเหว!

ดังนั้นเขาจึงยอมแลกทุกอย่างแล้ว เรียกได้ว่าทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ ใช้ทรัพยากรที่ตักตวงได้มาหลายปี เงินที่ใช้จ่ายออกไปมากมายราวกับน้ำไหล ทรัพย์สินที่ตักตวงได้ในหลายปีมานี้ถูกควักหมดกระเป๋าแล้ว ตราบใดที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้เขาก็ไม่แยแสเรื่องเงินทอง ความสำเร็จไม่ทรยศคนตั้งใจ ในที่สุดก็จัดการเรื่องรับคนเขาโถงชุมนุมอัจฉริยะสำเร็จแล้ว ในที่สุดก็ได้สร้างผลงานนิดหน่อย ถึงได้ปลีกตัวออกมาได้ชั่วคราว รีบเดินทางกลับมาที่นี่

แต่ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะได้ข่าวจากเสวี่ยหลิงหลง บอกว่ากองทัพองครักษ์ถอนกำลังออกไปแล้ว แดนรัตติกาลถูกแบ่งมาให้ตำหนักนารีสวรรค์แล้ว กลายเป็นอาณาเขตที่ขึ้นตรงต่อตำหนักนารีสวรรค์ ท่านแม่ทัพภาคกระโดดข้ามขั้น เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาค กลายเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอย่างชอบธรรม ทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเรียกได้ว่าพากันเฉลิมฉลอง

สวีถังหรานที่อยู่ระหว่างทางเกิดความรู้สึกหลายๆ อย่างปะปนกัน เขาสะท้อนใจไม่หยุด ตอนแรกมีคนตั้งมากมายเท่าไรที่มองข้ามนายท่าน เรียกได้ว่าทั้งใต้หล้าล้วนมองข้ามนายท่าน รู้สึกว่านายท่านหมดอนาคตและจะต้องตายในมือขุนนางแก่พวกนั้น แต่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเอง ไม่ใช่แค่หาทางออกได้ แต่ยังพลิกสถาการณ์ให้ตัวเองกลายเป็นเจ้าอาณาเขตได้อีก ความสามารถและฝีมือแบบนี้ใครจะเทียบได้ นายท่านเล่นละครสร้างการเดิมพันไปถึงราชสำนักแล้ว เป็นการใช้อุบายพลิกแพลงสถานการณ์ในเหมือนคว่ำเมฆเสกฝนจริงๆ อย่างน้อยตัวเขาเองก็ไม่มีความสามารถนี้ เจ๋งสุดๆ ไปเลย!

เมื่อผ่านเรื่องราวในครั้งนี้ เขานับว่ายอมนับถือเหมียวอี้แล้ว ชื่นชมจากใจ นับถือจนยอมกราบหน้าแนบพื้น ขนาดเรื่องแบบนี้ก็ยังทำสำเร็จ ยังจะมีเรื่องอะไรอีกที่นายท่านทำไม่ได้?

ด้วยสาเหตุนี้เอง เขากลับยิ่งกังวลกับตัวเองมากขึ้น ในมือนายท่านขาดคน จึงให้ตนไปรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะ รับไปรับมาก็ยังหาไม่ได้เลยสักคน ผลปรากฏว่าใช้เวลาตั้งนานกว่าจะได้ผลงานอันน้อยนิด แต่ก่อนหน้านี้เหมือนนายท่านจะรอไม่ไหวแล้ว จึงเดินเท้าเปล่าลงสนามด้วยตัวเอง ใช้เวลาสั้นนิดเดียว ไม่ใช่แค่รับทหารเกรียงไกรได้หนึ่งแสน ทั้งยังเลื่อนตำแหน่งได้อย่างราบรื่น แบบนี้ตนจะทนความรู้สึกได้อย่างไร

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนนี้ไม่มีแม้แต่แต่นักพรตที่วรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชรุ้งขั้นสามเลยสักคน สวีถังหรานหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด รอบนี้นายท่านมีลูกมือที่มีความสามารถไว้ใช้งานเยอะเกินไปจริงๆ เมื่อเทียบกันแล้วเขาก็เป็นแค่เศษสวะ ตำแหน่งดีๆ จะวนมาถึงเขาเหรอ?

เขารู้แจ่มแจ้งว่าจุดแข็งของตัวเองอยู่ตรงไหน อยู่ที่ยศสูงนั่นเอง เป็นคนที่ยศสูงสุดของฝั่งนี้ แล้วก็ติดตามรับใช้นายท่านมาหลายปี ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน บางทีนายท่านอาจจะเห็นแก่ไมตรีเก่าจึงไม่ปฏิบัติต่อตนอย่างขาดความยุติธรรม แต่เขาก็ออกห่างไปหลายปี ไม่ได้อยู่ข้างกายนายท่านมานานแล้ว เรื่องบางเรื่องใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน สถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้เสมอ ถ้ารอจนแต่ละตำแหน่งถูกกำหนดแล้ว เช่นนั้นตนก็จะหมดหวังแล้วจริงๆ จึงมีแต่ต้องทำให้นายท่านนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จัดเตรียมตำแหน่งที่เหมาะสมให้สวีถังหรานก่อนที่ตำแหน่งต่างๆ จะถูกกำหนดตายตัวเท่านั้น

หลังจากได้ข่าวจากเสวี่ยหลิงหลงแล้ว สวีถังหรานก็เร่งเดินทางกลับมาอย่างสุดชีวิต ร้อนใจดั่งถูกไฟเผา กลัวว่าจะพลาดช่วงเวลาสำคัญครั้งสุดท้ายไป กังวลว่าความผิดพลาดก้าวเดียวจะกลายเป็นเรื่องน่าแค้นไปทั้งชีวิต

ถามหน่อยว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขายังจะฟังเสวี่ยหลิงหลงแล้วกลับอาบน้ำอีกหรือ เขาก็ต้องไปพบท่านหัวหน้าภาคก่อนอยู่แล้ว

แต่จนใจที่พอเดินมาถึงประตูแล้วถูกทหารยามขวางไว้อีก โชคดีที่หยางเจาชิงโผล่หน้ามาพอดี

สวีถังหรานรีบโบกมือตะโกน “พี่หยาง นางท่านอยู่ที่ไหน?”

หยางเจาชิงเองก็ได้ยินสวีถังหรานกลับมาแล้วถึงได้ออกมา เขาโบกมือบอกใบ้ให้ทหารยามปล่อยผ่าน

“นายท่านกับฮูหยินกำลังปรึกษางานกันอยู่ ถ้าเจ้าไม่มีธุระสำคัญอะไร…กลับไปอาบน้ำก่อนแล้ค่อยมาก็ได้มั้ง” หยางเจาชิงมองเขาศีรษะจดเท้า

ในเวลานี้ยังจะปรึกษาอะไรกับฮูหยินอีก? คงไม่ได้ปรึกษาเรื่องจะเลือกใครรับตำแหน่งหรอกใช่มั้ย? ตอนนี้สวีถังหรานนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ตัวเองกังวลที่สุดได้ง่ายมาก ในใจกำลังร้อนรน จะรอไหวได้อย่างไร รีบกุมหมัดคารวะ “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงานต่อหน้านายท่าน ตอนนี้ทหารยามในจวนเหมือนจะเข้มงวดขึ้นเยอะ ไม่รู้จักข้ากันหมดแล้ว ต้องผ่านเข้ามาทีละด่าน พี่หยางได้โปรดนำทางหน่อย”

เรื่องสำคัญ? หยางเจาชิงทำหน้าจริงจัง ไม่สะดวกจะชักช้าจนเสียงาน จึงพยักหน้าแล้วนำทางเขาจนผ่านด่านไปตลอดทาง

เมื่อได้ยินว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับหัวหน้าภาค เสวี่ยหลิงหลงก็หยุดเดินตามอย่างรู้สำนึก ตัวเองไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งกับงาน แต่ตอนที่มองเงาหลังสามีเดินออกไป นางก็ทอดถอนใจเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ย่อมรู้ว่าตอนนี้สามีกำลังกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด

“นายท่าน นายท่านสวีกลับมาแล้ว รออยู่ข้างนอกค่ะ”

เชียนเอ๋อร์ที่อยู่นอกประตูเดินเข้ามารายงาน อวิ๋นจือชิวที่ยืนข้างโต๊ะยาวเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่หลังอยู่หลังโต๊ะ

“อ้อ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า “ให้เขาเข้ามาเถอะ”

หลังจากเชียนเอ๋อร์ออกไปแจ้งแล้ว หยางเจาชิงก็เข้ามาพร้อมสวีถังหราน พอเห็นเหมียวอี้ที่นั่งแต่งตัวเรียบร้อยอยู่หลังโต๊ะยาว สวีถังหรานก็ตาแดงก่ำทันที ในดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอ ก้าวมาตรงหน้าโต๊ะสองสามก้าว แล้วจู่ๆ ก้มตัวลงย่อเข่าข้างเดียว กล่าวเสียงสะอื้นว่า “นายท่าน ในที่สุดข้าน้อยก็รอดชีวิตกลับมาแล้ว ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอนายท่านแล้ว”

ความเหนื่อยล้าบนใบหน้านั้น ดวงตาสองข้างที่แดงก่ำน้ำตาเอ่อนั้น ทั้งยังคารวะยกใหญ่ แถมพูดด้วยน้ำเสียงอย่างนั้นอีก จะไม่ให้คนสะเทือนใจก็คงยาก

อวิ๋นจือชิวที่ยืนดูอยู่ข้างๆ งุนงงกับปฏิกิริยาที่เกินจริงนี้ หยางเจาชิงกับเชียนเอ๋อร์มองหน้ากันเลิกลั่ก

เหมียวอี้เองก็ลุกขึ้นยืนโดนจิตใตสำนัก ขณะมองเจ้าหมอนี่คุกเข่า เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะสะเทือนใจนิดหน่อย แต่พอลองคิดดูอีกที ทำไมฉากนี้มันคุ้นตานักล่ะ? เขาเบะปากโดยไม่รู้ตัว “ทำมไต้องทำความเคารพขนาดนี้ มีอะไรก็ลุกขึ้นพูดเถอะ”

สวีถังหรานค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองเหมียวอี้ด้วยน้ำตาคลอเบ้า พร้อมกล่าวเสียงสะอื้น “ข้าน้อยก็แค่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหวตอนที่เห็นนายท่าน หลังจากออกไปสองปีก็ผ่านทั้งศึกเล็กศึกใหญ่หลายสิบครั้ง หลายครั้งที่คิดว่าคงไม่รอดกลับมาอีกแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ตาย ในที่สุดก็ได้มาเจอนายท่านอีก เลยควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จริงๆ ขอรับ”

เพิ่งออกไปสองสามปีก็ผ่านทั้งศึกเล็กศึกใหญ่หลายสิบครั้งเหรอ จริงหรือล้อเล่น? รับสมัครคนได้หวาดเสียวขนาดนี้ ไม่เหมือนลักษณะของเจ้าเลยนะสวี! เหมียวอี้มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า

สวีถังหรานยกแขนเสื้อปาดน้ำตา แล้วกุมหมัดคารวะ “แต่ในที่สุดก็ไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง เรื่องรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะ ในที่สุดข้าน้อยก็ทำสำเร็จแล้ว ถึงได้กล้ามีหน้ากลับมาเจอนายท่าน”

เหมียวอี้ร้องอ้อ แล้วถามว่า “รับได้กี่คนล่ะ?”

สวีถังหรานตอบว่า “เป็นกลุ่มคนประมาณสามแสนขอรับ นี่คือรายชื่อสมาชิด” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือยื่นกองแผ่นหยกให้

“สามแสน?” เหมียวอี้ตกใจ อวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ ก็ตะลึงเช่นกัน นึกว่าตัวเองฟังผิดไป

…………………………