บทที่ 998 ไม่กี่วันสุดท้าย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 998 ไม่กี่วันสุดท้าย

ตอนที่เขาเห็นซากศพของจินจงเจ๋อหัวหน้าเผ่ากิ้งก่าวายุถูกวางยาพิษเน่าตายอยู่ในห้องเก็บตัว หลินเป่ยเฉินก็คาดเดาว่าเผ่าคนแคระเขียวคงเป็นพวกเจ้าเล่ห์เพทุบายและมีความน่ากลัวเกินจินตนาการ…

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะประเมินพวกมันสูงเกินไป

ยังไม่ทันได้ออกแรงเต็มที่ด้วยซ้ำ พวกคนแคระเขียวก็ตายหมดเผ่าเสียแล้ว

อ่อนแอกันจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินอุตส่าห์ให้โอกาสพวกมันได้แสดงฝีมือแล้ว แต่พวกคนแคระเขียวพ่ายแพ้ง่ายดายมากเกินไป

หลินเป่ยเฉินเก็บกระบี่ด้วยความฉุนเฉียว

ก่อนจ้องมองคฑาเงินในมือของตนเองอีกครั้ง

ไม้คฑาด้ามนี้ดูดีมาก เขาไม่รู้ว่ามันทำมาจากวัสดุใด แต่เมื่อทนทานการโจมตีจากกระบี่วิญญาณมรกตได้ ก็ย่อมหมายความว่าเป็นอาวุธที่ไม่ธรรมดา

เด็กหนุ่มจึงเก็บมันเข้าไปในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์โดยไม่ลังเล

ขั้นตอนต่อไปก็คือการเก็บกวาดซากศพและตรวจค้นดูของมีค่า

เป็นอีกครั้งที่หลินเป่ยเฉินต้องพบกับความผิดหวัง

เพราะว่าเผ่าคนแคระเขียวยากไร้มากกว่าเผ่ากิ้งก่าวายุเสียอีก

ของที่พอจะมีประโยชน์บ้างก็เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ต่อสู้ เช่นอาวุธลับ กลไกปริศนา เครื่องมือสร้างกับดัก และขวดหยกบรรจุยาพิษชนิดต่าง ๆ ไปจนถึงคัมภีร์ฝึกวิชาประจำเผ่าคนแคระ

ชาวเผ่าจันทราขาวใช้เวลาถึงสองชั่วยามเต็ม ๆ ในการตรวจตราดูรอบเมืองทุกซอกทุกมุม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดรอดหูรอดตาแล้วจริง ๆ

“นี่คือคัมภีร์ ‘ปีศาจเขียว’ เป็นบันทึกวิธีการย่อยสลายซากศพ การลอบสังหาร การวางแผนต่าง ๆ เช่นเดียวกับวิธีการปรุงยาสลายเนื้อละลายกระดูก ไปจนถึงการสร้างลูกดอกอาบยาพิษ…”

หัวหน้าเผ่าจันทราขาวหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาอ่านดูคร่าว ๆ “คัมภีร์เล่มนี้มีค่ามากที่สุดสำหรับพวกคนแคระเขียวแล้ว ผู้อาวุโสจู ท่านรับไปเถอะ”

ไป๋ไห่เฉามีท่าทีนอบน้อมผิดปกติ

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการฆ่าฟันอย่างบ้าเลือดของหลินเป่ยเฉินเมื่อสักครู่นี้ ทำให้บรรดาผู้อาวุโสประจำเผ่ารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่น้อย

“อ่า คือว่า…”

หลินเป่ยเฉินมองคัมภีร์เล่มนั้น ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตวัดมือทิ้งรังสีกระบี่ในอากาศเป็นข้อความว่า ‘ความจริงข้าไม่สนใจสิ่งของเหล่านี้หรอก มันเอาไปขายเป็นเงินไม่ได้ ถือว่าเป็นของไร้ค่าสำหรับข้า…’

หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เขาก็เขียนข้อความต่อ ‘แต่ในเมื่อพวกคนแคระเขียวมีความชั่วช้าถึงเพียงนี้ พวกท่านคงลำบากใจที่จะนำของของพวกมันไปใช้งานต่อ ถือว่าข้าช่วยเหลือพวกท่านก็แล้วกันนะ’

ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสคนใดจะกล่าวอะไรออกมา เด็กหนุ่มก็เก็บกวาดข้าวของทุกอย่างที่ค้นหาได้จากเผ่าคนแคระเขียวเข้าสู่กระเป๋าเก็บของวิเศษของตนเอง

อิอิ

ต่อให้ของเหล่านี้เขาจะใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่หลินเป่ยเฉินสามารถนำไปขายเป็นของมือสองได้!

และสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือ ‘ยาพิษสลายเนื้อละลายกระดูก’ ที่สามารถฆ่าได้แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับ 5 นั่นเอง

บรรยากาศของการปกป้องกำแพงเมืองเป็นไปอย่างเคร่งเครียด

ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต

นายทหารจากกองทัพเป่ยไห่เฝ้ารอในความเงียบ สีหน้าแสดงออกถึงความตึงเครียดสุดขีด

แต่รอจนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนสีกลับไปเป็นสีเดิม ก็ยังคงไม่มีสัตว์อสูรบุกมาโจมตีกำแพงเมืองเลยสักตัว

“เป็นแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว?”

องค์จักรพรรดิทรงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

อัครเสนาบดีจั่วเซียงก็แสดงความปลอดโปร่งโล่งใจออกมาเช่นกัน “วันนี้นับได้ครั้งที่ห้าแล้วพะย่ะค่ะ”

“ครั้งที่ห้าแล้ว”

องค์จักรพรรดิ์ยิ้มเล็กน้อย “ท่านอัครเสนาบดีคิดว่าพอมีทางเป็นไปได้หรือไม่ ที่ครั้งต่อไปสัตว์อสูรก็จะไม่มาปรากฏตัวอีก?”

“บัดนี้ยังบอกได้ยากเกินไป”

จั่วเซียงยังคงเฝ้าดูสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

ตลอดสิบวันที่ผ่านมา กองทัพเป่ยไห่ประหลาดใจมากที่พบว่าการโจมตีจากฝูงสัตว์อสูรเริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ

ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ก็จะมีฝูงสัตว์อสูรบุกมาโจมตีกำแพงเมือง แต่บัดนี้ ต้องรอให้ฟ้าเปลี่ยนสีสามถึงสี่ครั้งก่อน ถึงจะมีสัตว์อสูรบุกมาโจมตีสักตัว

เหตุการณ์เหล่านี้แตกต่างจากสิ่งที่เคยถูกบันทึกอยู่ในการประเมินจักรวรรดิครั้งก่อน ๆ ทั้งสิ้น

หรือจะเป็นเพราะว่าการประเมินครั้งนี้มีระดับความยากมากกว่าปกติ?

ก็ไม่น่าเป็นไปได้

หากระดับการประเมินยากกว่าปกติ ก็สมควรต้องมีฝูงสัตว์ประหลาดบุกมาโจมตีกำแพงเมืองของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่หรือ?

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ แรงกดดันในจิตใจของทุกคนก็คลี่คลายลงไปหลายส่วนแล้ว

เพราะหากมีการบุกโจมตีกำแพงเมืองอย่างต่อเนื่องจริง ๆ เกรงว่าคงเกินกว่าความสามารถของกองทัพเป่ยไห่จะต้านทานได้

หลายวันที่ผ่านมานี้ ต้องขอบคุณหลินเป่ยเฉินที่ส่งผลไม้และโอสถชั้นยอดมาให้พวกเขาตลอด ยอดผู้เสียชีวิตของนายทหารเป่ยไห่จึงลดน้อยลงมากกว่าเดิมหลายเท่า

แต่ช้าก่อน แล้วผู้ใดเป็นคนนำผลไม้กับโอสถเหล่านั้นมาส่งพวกเขากันนะ?

ดูเหมือนทุกคนจะลืมบุคคลผู้นั้นไปเสียแล้ว

ทุกคนในกองทัพเป่ยไห่จำได้แต่เพียงว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นหลินเป่ยเฉินส่งมาให้ แต่พวกเขาจำไม่ได้อีกแล้วว่าใครเป็นคนนำมาส่ง

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจก็คือ นี่ก็ล่วงเข้าสู่วันที่ 23 ของการประเมินลำดับจักรวรรดิแล้ว แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังคงไม่กลับมา

ใกล้จะครบกำหนดเวลาการประเมินในอีกไม่กี่วัน

บัดนี้ หนทางที่พวกเขาจะได้กลับออกไปจากอาณาเขตสนธยาช่างดูยาวไกลเหลือเกิน

หัวใจของทุกคนร้อนรนดั่งไฟเผา

นายทหารของกองทัพเป่ยไห่ต่างก็คิดเป็นอย่างเดียวกันว่า การที่พวกเขาจะทำภารกิจได้เสร็จทันกำหนดเวลานั้น คงเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินไป

เป้าหมายเดียวที่พวกเขามีอยู่ในขณะนี้ คือการรอดชีวิตกลับออกไปจากที่นี่

แม้ว่าจะต้องออกไปอย่างผู้แพ้ก็ตาม

เพียงแค่คิด ทุกคนก็รู้สึกเจ็บปวดเกินรับไหว

แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ยังมีชีวิต

ตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็ยังมีความหวัง

หากมีถนน ย่อมมีหนทาง

“ถ่ายทอดคำสั่ง บอกให้ทุกคนเตรียมตัวต่อสู้ตลอดเวลา ห้ามทิ้งกระบี่อยู่ห่างกายเด็ดขาด พวกเราจะประมาทไม่ได้อีกแล้ว”

องค์จักรพรรดิออกคำสั่ง

บัดนี้ บรรยากาศบนกำแพงเมืองเปลี่ยนไปมาก

แม่ทัพใหญ่และนายทหารชั้นนำอาศัยเวลาเหล่านี้พักผ่อนและฝึกวิชา

ช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ กองทัพเป่ยไห่ต้องสูญเสียกำลังพลระหว่างการต่อสู้ไปเพียง 10 จาก 100 ส่วนเท่านั้น

ถือเป็นจำนวนที่น้อยมากจนไม่น่าเชื่อ

เนื่องจากสัตว์อสูรที่พวกเขาพบเจอแต่ละชนิดก่อนหน้า ล้วนแต่เป็นฝันร้ายที่มีชีวิตทั้งสิ้น

แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยการรับประทานผลไม้วิเศษที่หลินเป่ยเฉินส่งมาให้ ระดับพลังของนายทหารจึงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า และพวกเขาต่างก็มีประสบการณ์ในสนามรบโชกโชน ดังนั้น การสู้รบในระยะหลังจึงไม่ได้มีผู้คนล้มตายเหมือนในช่วงแรกอีกแล้ว

กล่าวได้ว่าผลไม้ที่หลินเป่ยเฉินส่งมาให้ มีอานุภาพวิเศษยิ่งกว่าการดูดซับพลังจากศิลาบูชาโดยตรงเสียอีก

เพราะนอกจากรับประทานแล้วระดับพลังจะเพิ่มขึ้น แม้แต่ร่างกายของพวกเขาก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า… คล้ายกับได้เกิดใหม่อีกครั้งก็ไม่ปาน

“หากพวกเราสามารถกลับออกไปจากที่นี่ได้อย่างมีชีวิต กองทัพของพวกเราก็คงสามารถรักษาชายแดนเหนือไปได้อีกหลายร้อยปี”

องค์จักรพรรดิคิดในความเงียบ

บางทีนี่อาจเป็นประโยชน์สูงสุดจากการประเมินครั้งนี้ก็เป็นได้

พลันได้กลิ่นเนื้อย่างลอยมาในอากาศ

องค์จักรพรรดิหันไปมองและเห็นว่าเซียวปิงผู้ตั้งเตาย่างเนื้ออยู่บนกำแพงเมือง กำลังรับประทานอาหารอยู่กับอากวง หวังจง กลุ่มนักรบเกราะเงิน และสองสาวรับใช้อย่างเอร็ดอร่อย

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิโดยไม่รู้ตัว

กลุ่มคนที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์เหล่านี้ก็คือผู้มีพระคุณของพวกเขาเช่นกัน

ยามสถานการณ์คับขันหมดหวัง หรือเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งมากเกินไป กลุ่มผู้ติดตามของหลินเป่ยเฉินก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ลังเล

ในหัวใจขององค์จักรพรรดิอดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้

หากกลุ่มคนเหล่านี้เป็นคนของพระองค์เอง จักรวรรดิเป่ยไห่ก็คงไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่จักรวรรดิจี้กวงเด็ดขาด

แต่คนกลุ่มนี้เป็นคนของหลินเป่ยเฉิน

องค์จักรพรรดิทราบดีว่าเด็กหนุ่มเป็นบุคคลที่ใครก็ควบคุมไม่ได้ แม้พระองค์จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ตาม แต่ท่านก็ทำได้เพียงพยายามหาทางเอาชนะใจเด็กหนุ่มเท่านั้น

“ศัตรูโจมตี ศัตรูโจมตี!”

“พวกอสูรมากันแล้ว พวกเราเตรียมตัวต่อสู้”

พลัน นายทหารบนกำแพงเมืองร้องตะโกน

หลังจากนั้น กระบี่ถูกชักออกจากฝัก เสียงชุดเกราะกระทบกันดังโกร่งกร่าง

แม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าบนกำแพงเมืองเข้าประจำที่ของตนเอง

องค์จักรพรรดิและผู้ใต้บังคับบัญชาจ้องมองกลุ่มผู้มาเยือน

พวกเขามองเห็นเพียงไกลตาว่าเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์จำนวนหลายร้อยคน และมนุษย์เหล่านั้นก็กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้กำแพงเมืองด้วยความเร็วน่าตกตะลึง

แย่แล้ว

ฝูงอสูรกำลังจะบุกโจมตีอีกครั้ง

จั่วเซียงเงยหน้ามองบนท้องฟ้า

แต่ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีแดง

น่าประหลาด

แต่ชายชราก็เป็นเช่นเดียวกับเกาเฉิงฮั่นที่ยืนอยู่ข้างกาย พวกเขาไม่มีทางประมาทเด็ดขาด ทั้งสองคนโคจรพลังลมปราณเต็มอัตรา เตรียมพร้อมต่อสู้ได้ทุกเมื่อ

แต่สัตว์อสูรที่มาบุกโจมตีในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง

พวกมันมีลักษณะเป็นมนุษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า

และ…

มีระดับพลังสูงส่ง

กว่าจะค้นพบเรื่องนี้ กลุ่มผู้มาเยือนก็เคลื่อนขบวนหลายลี้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว มาปรากฏตัวอยู่หน้ากำแพงเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กองทัพเป่ยไห่กำลังจะต้องเจอกับปัญหาครั้งใหญ่

หัวใจของทุกคนรู้สึกหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินใหญ่ยักษ์ทับถมจนหายใจไม่ออก