อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1173 แพ้
ไม่มีอาวุธลับแล้ว แต่ค่ายกลธงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง พายุลมในค่ายกลธงร้องคำราม ส่งเสียงร้องดังไม่หยุด แย่งกันเปล่งเสียงคำรามออกมาเป็นคนแรก
เสียงคำรามเหล่านี้เหมือนดั่งซาตานชั่วร้ายในขุมนรกที่เสาะหาช่องโหว่เพื่อหลบหนี พรั่งพรูออกมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างบ้าคลั่ง
ลมโหมกระหน่ำกลายเป็นผีร้าย
หมอกหนาทึบกลายเป็นโครงกระดูก
ผีร้ายปะทะพบกับโครงกระดูก ความชั่วร้ายปะทะกัน ในค่ายกลธงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กได้เกิดฉากคาวเลือดสังหารกันอย่างน่าอนาถขึ้น
ไป๋หลี่หมิงเยียนกล่าว “ช่างเป็นค่ายกลธงที่ชั่วร้ายจริงๆ นังหนู ที่แท้เจ้าก็ฝึกฝนพลังชั่วร้ายเหมือนกัน ถึงได้พุ่งขึ้นมาถึงระดับสี่ได้ในเวลาอันสั้นขนาดนี้”
กู้ชูหน่วนพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าคิดว่าทุกคนจะน่ารังเกียจเหมือนเจ้ารึไง ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าเพื่อพัฒนาศักยภาพ”
“เจ้าไม่ได้ฝึกพลังชั่วร้าย แล้วรู้วิธีการควบคุมค่ายกลธงได้อย่างไร”
“…”
เพื่อที่จะทำลายล้างตระกูลไป๋หลี่ ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นางได้ศึกษาแหวนมิติและขลุ่ยหยกมรกตมาไม่น้อย ค่ายกลธงนี้ไม่ได้สมบูรณ์ครบถ้วน หากว่าไม่ศึกษาให้ถี่ถ้วน ก็สังเกตไม่เห็นโดยสิ้นเชิง
นางใช้เวลาต่อเติมส่วนที่ค่ายกลธงขาดหายไปใหม่อีกครั้ง แต่น่าเสียดายเวลาสั้นเกินไป นางไม่มีปัญญาซ่อมแซมค่ายกลธงทั้งหมดให้สำเร็จได้
แต่ แม้จะเป็นเช่นนี้ พลานุภาพของค่ายกลธงก็ยิ่งใหญ่มาก
ผีร้ายและโครงกระดูกสูสีกัน ในเวลาอันสั้นจึงไม่สามารถแยกแพ้ชนะได้
ซือโม่เฟยตกใจจนหลบไปอยู่ในมุม สั่นเทาอยู่ไม่หยุด
เขาไม่กล้าเปิดตา และไม่สามารถเปิดตาได้ เพราะในค่ายกลธงมีเงาพิฆาตอันหนักหน่วง สามลมอันชั่วร้ายเปล่งเสียงดังโหยหวนอยู่อย่างท่วมท้น
เวลาผ่านไปทุกนาทีทุกวินาที
สงครามใหญ่ของตระกูลไป๋หลี่ยังคงดำเนินต่อไป ทั่วทุกสารทิศเป็นเสียงร้องไห้โอดครวญด้วยความเจ็บปวดและเสียงอาวุธที่ปะทะกัน
ทั้งยังมีเสียงดังสนั่นอยู่ในที่ที่ไม่ไกลอีกด้วย
พื้นดินสั่นไหวไม่หยุด ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขึ้น เวลากลางในเดิมทีก็มืดมิดราวกับน้ำหมึก
น่าจะผลงานชิ้นยอดที่หลงเหลือในการทำสงครามของพวกเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และคนอื่นๆ
เจ้าบ้านไป๋หลี่ถล่มเข้าไปด้วยฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่า ก็ยังคงถล่มเกราะปราณพลังที่ครอบคลุมเขาไว้ไม่ได้ โมโหเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ
กู้ชูหน่วนจำเป็นต้องควบคุมค่ายกลธงด้วยแรงทั้งหมด หากว่าเวลานี้มีคนซัดมาที่นางฝ่ามือหนึ่ง หรือเบี่ยงเบนความสนใจของเขา นางก็จะต้องแพ้อย่างไร้ข้อสงสัย
แต่บังเอิญในเวลานี้ก็ไม่มีลูกศิษย์คนใดของตระกูลไป๋หลี่เข้ามาในเขตต้องห้ามอีก
บนตัวไป๋หลี่หมิงเยียนแผ่กระจายโครงกระดูกหมอกหนาทึบออกมารวมเป็นร่างเดียวกับเขา
แม้ว่าเขาจะสูญเสียพลังยุทธไปชั่วคราว ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการควบคุมหมอกหนาของเขา
เกรงเพียงแค่เสียงถล่มเพียงเสียงเดียว ไป๋หลี่หมิงเยียนใช้โครงกระดูกหมอกหนาทึบโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมด ธงใหญ่แปดอันสั่นคลอนไม่หยุดจนแทบจะล้ม กู้ชูหน่วนสีหน้าซีดขาวลงไปอีกเล็กน้อย
ผีร้ายและโครงกระดูกพ่ายแพ้ยับเยินไปทั้งสองฝ่าย ทยอยระเบิดไปตามๆกัน กลายเป็นความว่างเปล่า
ทันทีที่ค่ายกลเปลี่ยนไป ทั่วทั้งท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยธงเล็กๆไขว้ไปมา แน่นขนัด ปัดขวางไป๋หลี่หมิงเยียน
ขณะเดียวกันที่ไป๋หลี่หมิงเยียนต้านทาน ก็ถูกธงเล็กๆอันหนึ่งทำร้ายเข้าโดยไม่ทันระวัง บนแขนเน่าเปื่อยเป็นวงใหญ่ทันที
ความเดือดดาลของเขาพรั่งพรูขึ้นมา
ตัวเองเป็นถึงผู้สูงส่งถึงขั้นสูงสุดระดับหก แต่กลับถูกเด็กไม่ประสีประสาระดับสี่ผู้หนึ่งบีบคั้นจนถึงขั้นนี้ เผยแพร่ออกไปจะไม่น่าขำจนฟันหลุดเหรอ
ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งขึ้นสูงสุดระดับหกบันดาลโทสะ บนร่างก็ระเบิดพละกำลังอันทรงพลังอย่างหนึ่งออกมา
เหล่าธงเล็กๆมากมายถูกสะเทือนจนแหลก แม้แต่ธงใหญ่ทั้งแปดก็ถูกสะเทือนจนหักเป็นสี่ซะห้าเสี่ยง
“ฟู่ว…”
กู้ชูหน่วนกระเด็นกลับหลังไป กระอักเลือดออกมา ผ่านไปนานกว่าจะรู้สึกดีขึ้นมาได้
“ตูม….”
ไป๋หลี่หมิงเยียนตีเข้าไปอีกฝ่ามือหนึ่ง กู้ชูหน่วนตกใจ รีบกระตุ้นพลังยุทธมาต้านทาน แต่ทว่าก็ไร้ผลเหมือนตั๊กแตนห้ามรถ ไม่มีประโยชน์ใดๆ
นางรู้สึกว่าเหมือนว่าร่างกายทั้งร่างไม่ใช่ของนางอีกต่อไป กระดูกบนร่างก็หักดังกึกกึกกึกหลายท่อน
“พี่สาว….”
จอมมารคิดจะพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกไป๋หลี่หมิงเยียนจี้จุดไว้
ไป๋หลี่หมิงเยียนมองลงมาที่กู้ชูหน่วน
กล่าวอย่างเย็นชาว่า “นังหนู หลายปีมานี้ เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถทำร้ายข้าได้ ค่ายกลธงของเจ้าไม่เลว น่าเสียดายที่เป็นค่ายกลไม่สมบูรณ์แบบ หากว่าเป็นค่ายกลที่สมบูรณ์ เกรงว่าวันนี้ข้าก็คงจะตายด้วยน้ำมือของเจ้าแล้ว”