โก่วหานสือยิ้มและกล่าว “ย้อนไปตอนนั้น ตอนที่พวกศิษย์พี่ของเจ้าเข้าจิงตูเป็นครั้งแรก พวกเขาก็คิดเช่นเดียวกัน ศิษย์พี่สี่ของเจ้าไม่ชอบเขาตั้งแต่แรกเห็น ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าชักกระบี่ออกมาสับเขาให้ตาย หลังจากนั้นก็เข้าใจว่าแม้ปากเขาจะน่ารำคาญแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนเลว ไม่เช่นนั้นทำไมศิษย์พี่สี่ของเจ้าถึงได้ไปเวิ่นสุ่ยเพื่อช่วยเขาเมื่อหลายวันก่อน”
“ข้าย่อมไม่ยอมรับความรู้สึกของเขา ครั้งหน้าหากเขาต้องการจะสับข้า เราก็สามารถลงมือได้” ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
โก่วหานสือพลันนึกถึงเรื่องบางอย่างและกล่าว “แล้วเจ้าหมอนั่นล่ะ”
ถังซานสือลิ่วรู้ว่าเขาพูดถึงเจ๋อซิ่วจึงตอบไป “เขาไปหลีซาน”
โก่วหานสือตกใจ แต่ตระหนักว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็รู้ว่าถังซานสือลิ่วแค่หลอกเขา ในเหตุการณ์ใหญ่อย่างการปิดอารามของสถานศึกษาหนานซี เจ๋อซิ่วย่อมอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิง คาดว่าซ่อนอยู่ในเงาเพื่อป้องกันหากเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เขาไม่มีทางไปหลีซานอย่างฉับพลันเป็นแน่
“ผ่านไปหลายปีแล้ว เจ้าจะโตขึ้นสักหน่อยไม่ได้หรือ” เขาถามถังซานสือลิ่วอย่างหมดแรง
ถังซานสือลิ่วล้อ “เจ้าคิดว่ามันเด็กมากนักหรือไง แล้วทำไมเมื่อครู่เจ้าถึงตกใจนัก บางทีเจ้าเองก็รู้ว่าฝ่ายเจ้าเป็นผู้ผิดในเรื่องนี้”
โก่วหานสือนึกถึงว่าศิษย์น้องของเขาค่อยๆ เงียบขรึมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แล้วก็ถอนหายใจ ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของอาจารย์ปู่ที่สั่งไว้ก่อนจากไป ดังนั้นพวกเขาจะรับมือเรื่องนี้อย่างไรดี
……
……
ไหวเหรินพูดอย่างใจเย็นมาก ใช้เสียงอ่อนโยนและอบอุ่นบรรยายประวัติของ ‘การปิดอาราม’ แม้ว่านางไม่ได้บอกเหตผลของการปิดอารามในวันนี้ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเป็นการหลีกเลี่ยงสงครามระหว่างนิกายหลวงกับราชสำนัก ในเวลาเดียวกันนางก็แสดงเป็นนัยว่านางกับศิษย์น้องทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสำนัก เมื่อมีการปิดอารามอย่างเป็นทางการ พวกนางก็จะเข้าสู่การกักตนและไม่แสดงความเห็นใดกับเรื่องของสำนักอีก ยิ่งไปกว่านั้นหากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกจากการกักตนก่อนกำหนด นางก็สามารถเปิดอารามใหม่เมื่อใดก็ได้ตามใจ
ชุดสีขาวของนางและแสงที่หม่นมัวอยู่บ้างจากท้องฟ้าเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี เมื่อรวมกับสีหน้าอ่อนโยนและไอปราณอันเมตตาของนางทำให้นางดูน่าเชื่อถืออย่างมาก
ในตอนแรก มีผู้บำเพ็ญเพียรบางคนที่ตกใจและสับสนในการปิดอารามและต้องการที่จะคัดค้าน ฝ่ายค้านที่ดุดันที่สุดก็คือสำนักใต้บังคับบัญชาที่ใกล้ชิดกับสถานศึกษาหนานซี อย่างไรก็ตาม พวกเขาค่อยๆ รู้สึกว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาและสถานศึกษาหนานซี
หลังจากนั้นนักพรตหญิงไหวเหรินก็เริ่มวางแผนเรื่องที่ต้องทำหลังการปิดอาราม
ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นบรรพบุรุษของผู้ศรัทธาเต๋าในแดนใต้ ไม่ใช่แค่ภูเขาลูกหนึ่ง สำนักแห่งหนึ่ง ไม่ใช่แค่ศิษย์หลายร้อยคนไม่ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกแล้วก็จบ สถานศึกษาหนานซีดูแลสำนักใต้บังคับบัญชานับไม่ถ้วนและมีธุรกิจและที่ดินทำการเกษตรมากมาย จึงต้องมีแผนสำหรับเรื่องต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความปั่นป่วนครั้งใหญ่
นางพูดกับคณะทูตจากราชสำนักก่อน โดยรวมแล้วก็คือราชสำนักควรให้ความสำคัญกับประชาชนและอย่าได้สิ่งที่สถานศึกษาหนานซีเคยทำมาก่อนที่จะปิดอารามนั้นเสียเปล่า เซียงอ๋องลุกขึ้นและเป็นตัวแทนของจักรพรรดิและราชสำนักให้คำมั่นอย่างจริงจัง พูดว่าพวกเขาจะทำอย่างนั้นอย่างนี้
นางหันไปหาสหายเต๋าในแดนใต้ ประกาศว่าสำนักใต้บังคับบัญชาของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ธุรกิจ ที่ดินการเกษตรและสวนจะอยู่ใต้การจัดการของสำนักกระบี่หลีซาน โก่วหานสือตกตะลึงกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังลุกขึ้นและพยักหน้า เขาไม่ได้ทำอะไรอีกเพราะเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่
“สำหรับการจัดการนี้ มีใครคัดค้านหรือไม่”
ไหวเหรินถามคำถามนี้กับผู้อาวุโสจากพรรคฉางเซิง พรรคฉางเซิงเสื่อมถอยมานานหลายปีและผู้อาวุโสรุ่นสองก็มีระดับผู้อาวุโสต่ำกว่าผู้อาวุโสไหวเหรินขั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตามพรรคฉางเซิงกับยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นบรรพบุรุษของผู้ศรัทธาเต๋าฝ่ายใต้ ดังนั้นพวกนางจึงต้องถามความคิดเห็นแม้ว่าจะแค่พอเป็นพิธีก็ตาม
แน่นอน ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ผู้อาวุโสรุ่นสองของพรรคฉางเซิงให้การยอมรับในทันทีถึงกับไม่ลืมกล่าวคำชื่นชมสักเล็กน้อย
โก่วหานสือไม่พูดอะไร ด้วยฐานะที่น่ายกย่องของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และพรรคฉางเซิงในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรแดนใต้ ต่อให้สำนักกระบี่หลีซานก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไร
ในที่สุดไหวเหรินก็มองไปที่เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราช ย่อมเป็นตัวแทนของนิกายหลวง ผู้ศรัทธาในเต๋าทั้งมวล การปิดอารามของสถานศึกษาหนานซีต้องให้เขาแสดงการยอมรับเป็นธรรมดา
แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็แค่พอเป็นพิธีเท่านั้น
ผู้คนนับไม่ถ้วนมองไปที่เฉินฉางเซิงเช่นกัน
เขาเป็นสังฆราชและนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด
เขาดูอยู่เหนือฝูงชนและในความเป็นจริงก็ค่อนข้างโดดเดี่ยวทีเดียว เขาดูเหมือนจะมีอำนาจมากมายแต่ก็ยากที่จะหยุดกระบวนการนี้ได้
ใช่แล้ว เว้นแต่ว่านิกายหลวงต้องการจะสู้กับสถานศึกษาหนานซีก่อนจะเริ่มการต่อสู้กับราชสำนัก
“ข้าสงสัยว่าเฉินฉาง… ไม่สิ องค์สังฆราชจะกล่าวอะไร” ไป๋ไช่กล่าวขณะที่มองดูอย่างใจจดใจจ่อ
โก่วหานสือกล่าว “ในสถานการณ์ทั่วไปเขาจะไม่พูด เขาไม่เคยพูดต่อหน้าผู้คนมากนัก และเมื่อมีถังถังอยู่ที่นี่ ถังถังก็ย่อมเป็นคนพูด”
ดังที่คาด ถังซานสือลิ่วยืนและเดินออกพื้นที่ของสำนักกระบี่หลีซานและหันไปหาฝูงชน
สายตานับไม่ถ้วนเคลื่อนจากเฉินฉางเซิงไปที่เขา แต่เขาดูเหมือนไม่สน เขาถามไหวเหริน “แซ่สูงส่งของท่านคือ”
ไหวเหรินตอบอย่างใจเย็น “นามทางเต๋าของข้าคือไหวเหริน”
หากถังซานสือลิ่วต้องการจะหาจุดอ่อนโดยทำให้นางโมโห นางก็ไม่ปล่อยให้เจ้าเด็กตระกูลถังนี้มีโอกาสแม้แต่น้อย
นางได้บำเพ็ญเพียรในสถานศึกษาหนานซีมาร้อยกว่าปี เดินทางท่องโลกเป็นเวลานานยิ่งกว่า แม้ว่านางจะยังไม่อาจทะลวงผ่านด่าน เส้นทางแห่งจิตของนางก็สว่างเจิดจ้ามานานแล้ว
นางไม่คาดคิดว่าถังซานสือลิ่วจะไม่ได้วางแผนให้นางโมโห แค่ต้องการใช้เวลานี้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ดังนั้นท่านไม่ได้แซ่สวี ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไม่ใช่น้าของสวีโหย่วหรงทางสายเลือด”
ถังซานสือลิ่วมองไปที่นางและกล่าว “แน่นอน ต่อให้ท่านเป็นน้าของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทางสายเลือด ทุกอย่างที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ก็ยังไร้ประโยชน์ ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล”
ที่ราบสูงมีเสียงพูดคุยดังอื้ออึงขึ้นมาเพราะคำพูดนี้
คำพูดที่ซาบซึ้ง มีเหตุผลและถึงกับกินใจของไหวเหรินล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลในสายตาเขาเช่นนั้นหรือ
นักพรตหญิงทั้งสามเป็นอาจารย์ย่าผู้มีอาวุโสสูงสุดของสถานศึกษาหนานซี แม้แต่เซียงอ๋องกับผู้นำตระกูลทั้งสองยังให้ความเคารพอย่างล้ำลึก
ไม่มีใครคาดคิดว่าถังซานสือลิ่วจะพูดกับพวกนางอย่างหยาบคายเช่นนี้
“ไม่ว่าท่านจะมีอาวุโสแค่ไหน แต่มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินอนาคตของสถานศึกษาหนานซี”
ถังซานสือลิ่วยิ้มเยาะนาง “ที่แห่งนี้คือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ยอดเขาไหวเหริน ท่านจะจัดงานเหลวไหลนี้อีกก็ได้หากท่านกลายเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
นี่เป็นคำพูดที่รุนแรงมาก ยากที่ทนฟังได้ ไหวเหรินมองไปที่เขาอย่างใจเย็นไม่พูดอะไร
ถังซานสือลิ่วมองไปที่พรรคฉางเซิงและกล่าว “ท่านเห็นด้วยกับการปิดอารามหรือไม่ พรรคฉางเซิงในตอนนี้มีสิทธิ์พูดด้วยหรือ ท่านคิดว่าคำพูดของท่านมีอำนาจอย่างนั้นหรือ”
ผู้อาวุโสคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ “ถูกแล้ว คำพูดของข้าไม่มีอำนาจจริงๆ คิดเสียว่าคำพูดที่ข้าเคยพูดไปนั้นไม่เคยพูดก็แล้วกัน”
คำตอบนี้ทำให้สายตาของไหวเหรินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ไหวซู่กับไหวปี้ก็หน้าเปลี่ยนไป
พรรคฉางเซิงเสียกำลังไปมาก แต่เมื่อมันเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของนิกายฝ่ายใต้แบบเดียวกับยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ มันนับว่ามีรากฐานลึกล้ำ
แม้ว่าถังซานสือลิ่วเป็นหลานชายคนโตของตระกูลถัง ผู้อาวุโสคนนี้จะขลาดเขลาขึ้นมาเพราะคำพูดไม่กี่คำของเขาได้อย่างไร