ตอนที่ 989 ต้นห้วงสมุทรวิญญาณ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

“เดี๋ยวก่อน นี่มัน…”

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสองข้างลงทันที!

จิตสัมผัสของเขาสำรวจพบลูกบอลหมอกสีดำขนาดหลายจั้งลูกหนึ่งที่แผ่ไอวิญญาณน่าขนลุกลอยอยู่กลางหนองน้ำ

ทันทีที่จิตสัมผัสของเขาแตะถูกลูกบอลหมอกก็ดีดกลับมาทันที ไม่อาจสำรวจสภาพด้านในได้แม้แต่น้อย

หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจยกมือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา ควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากร่างแล้วเหาะเร็วรี่ไปยังใจกลางเกาะ

ในเมื่อเขาเสียแรงคิดหาวิธีมาที่นี่แล้ว อีกทั้งพบความผิดปกติเข้าแล้วด้วย เขาย่อมไม่คิดจะกลับไปมือเปล่า

ทว่าหลังจากเขาเหาะไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วพักหนึ่ง ด้านหน้าก็มีเสียงหึ่งชวนขนหัวลุกลอยมา จากนั้นจู่ๆ เมฆดำผืนหนึ่งก็ปรากฏแล้วโถมเข้ามาเบื้องหน้าตน

“มีผึ้งพิษศพอยู่จริงๆ!”

หลิ่วหมิงเพ่งสายตากวาดมองเมฆดำที่โถมเข้ามา บนใบหน้าไม่มีสีหน้าประหลาดใจ

เมฆดำเกิดจากผึ้งประหลาดสีดำยาวครึ่งฉื่อตัวแล้วตัวเล่ารวมตัวกัน แต่ละตัวร่างกายเพรียวยาว ส่วนหางมีเหล็กในผึ้งสีดำสนิทเหมือนกริชแท่งหนึ่งซึ่งชวนให้คนที่เห็นตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาว

ผึ้งพิษศพคือปีศาจอสูรที่ใช้ชีวิตอยู่คู่กับมังกรหนวด

เล่ากันว่าโดยทั่วไปมังกรหนวดจะซุ่มอยู่ใต้ดิน ดังนั้นบางครั้งก็เล่นงานศัตรูที่บินอยู่บนท้องฟ้าไม่ถึง การมีอยู่ของผึ้งพิษศพเหล่านี้กลับเสริมในส่วนนี้ได้พอดี

ผึ้งพิษศพระดับพลังไม่สูง แต่เหล็กในมีพิษทำให้ชาอย่างรุนแรงกระทั่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ปวดหัวอย่างยิ่ง หากถูกต่อย ต่อให้เจ้าระดับพลังสูงเท่าใด ร่างกายก็จะเชื่องช้า เมื่อเผชิญหน้ากับมังกรหนวดจำนวนมากก็ยากยิ่งที่จะหนีรอด

หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งเครียด เขาเรียกมุกบรรพตธาราออกมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมฆสีเหลืองแถบหนึ่งล้อมเขาไว้ตรงกลาง มันสั่นวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นดาวตกเจิดจ้าพุ่งเข้าชนฝูงผึ้งที่จวนเจียนจะมาถึงอย่างดุดัน

เขาไม่มีวิธีดีๆ สำหรับการจัดการปีศาจอสูรฝูงผึ้งชนิดนี้ จึงได้แต่อาศัยพลังของมุกบรรพตธาราทะลวงผ่านไปดื้อๆ

เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นตามมาติดๆ เสียงฉีกขาดและเสียงหึ่งดังแทรกประสานกัน แต่หลังจากเสียง “บึ๊ม” ดังกึกก้องครั้งหนึ่ง ทุกสิ่งก็เงียบสงบอีกครั้ง

หลิ่วหมิงอาศัยพลังของมุกบรรพตธาราพุ่งทะลวงผ่านฝูงผึ้งพิษศพ ในเวลาเดียวกับที่ฝูงผึ้งพิษศพจำนวนมากถูกบดขยี้เป็นเศษซาก เมฆสีเหลืองที่ปกป้องอยู่รอบร่างก็ทะลุเป็นรูนับร้อยพัน

ครู่ต่อมาเมื่อสิบนิ้วที่สองมือของหลิ่วหมิงแปรเปลี่ยนดุจกงล้อ แสงสีเหลืองไหลวนอยู่ด้านในมุกบรรพตธาราพักหนึ่ง เมฆสีเหลืองที่เสียหายก็ฟื้นกลับคืนดังเดิมอย่างรวดเร็ว

ตลอดทางต่อจากนั้นเขาพบการโจมตีจากฝูงผึ้งพิษศพอีกสองฝูง แต่มีมุกบรรพตธาราปกป้อง เขาจึงรอดพ้นอันตรายมาได้อย่างปลอดภัยและราบรื่น

หลังจากชั่วเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ฝันฝ่าอุปสรรคมาถึงเขตใจกลางเกาะ

เวลานี้ลูกบอลหมอกสีดำที่มีไอวิญญาณน่าขนลุกแผ่ออกมาลูกนั้นลอยอยู่กลางอากาศไม่ห่างจากตัวเขา ส่วนข้างใต้ลูกบอลหมอกแนบสนิทกับโคลนเลน

“ของสิ่งนี้ หรือว่าจะเป็น…”

หลิ่วหมิงมองลูกบอลหมอกด้านหน้าพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทันใดนั้นเขาก็โบกมือข้างหนึ่ง แสงสีม่วงส่องสว่าง แสงกระบี่สีม่วงยาวหลายจั้งเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ทะยานเข้าใส่ลูกบอลหมอกสีดำด้านหน้า

พรึ่บ!

ตอนที่แสงกระบี่อยู่ห่างจากลูกบอลหมอกสีดำเพียงไม่กี่จั้งนั่นเอง เงาสีดำยาวเส้นหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากโคลนเลนเบื้องล่าง มันม้วนตัวฟาดขวางกระบี่ขู่หลุนไว้ ทั้งสองสิ่งเข้าโรมรันกัน

สายตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง เขาเห็นชัดเจนอย่างรวดเร็วว่าเงาดำนั้นก็คือหนวดเส้นยาวของอสูรมังกรหนวด แต่บนหนวดเส้นนี้มีเกล็ดละเอียดชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ มันจึงไม่หวาดกลัวประกายคมกริบของกระบี่ขู่หลุนแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยันจากนั้นสะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา กระบี่ขู่หลุนฉับพลันทอแสงสีม่วงสว่างจ้าแล้วกลายเป็นแสงกระบี่หน้าตาเหมือนกันทุกประการเก้าสาย ส่วนหนึ่งโรมรันกับหนวดต่อ อีกส่วนหนึ่งพุ่งลงไปหาลูกบอลหมอกสีดำอย่างรวดเร็ว

“โฮก!”

เสียงคำรามทุ้มต่ำเกรี้ยวกราดดังออกมาจากใต้หนองน้ำ โคลนเลนปั่นป่วน สิ่งมีชีวิตมโหฬารดั่งภูเขาลูกย่อมๆ โผล่ขึ้นมา ร่างกายภายนอกอ้วนฉุ รอบร่างมีหนวดสีดำที่เหมือนกับเมื่อครู่สิบกว่าเส้นสะบัดไปมาราวกับอสุรกายปลาหมึกยักษ์

เสียงแหวกอากาศดังฟึบขึ้นหลายครั้ง

หนวดสิบกว่าเส้นด้านหน้าอสูรตัวนี้พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกัน แล้วสร้างเงาดำนับไม่ถ้วนมากมายถี่ยิบหวดเข้าใส่แสงกระบี่ที่แยกออกมาจากกระบี่ขู่หลุน

อสูรตัวนี้ดูเป็นห่วงของในลูกบอลหมอกสีดำยิ่งนัก ขณะที่มันใช้หนวดขัดขวางเงาของกระบี่ขู่หลุน ร่างกายมหึมาก็โผล่ออกมาจากโคลนจนหมดแล้วขวางอยู่หน้าลูกบอลหมอกสีดำ มันอ้าปากกว้างพ่นของเหลวสีดำเหนียวหนืดสีดำเส้นหนึ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเรียวพร้อมกับขยับร่างหลบ อีกมือหนึ่งสะบัด มุกบรรพตธาราสีเหลืองขมุกขมัวปรากฏออกมา

เขาไม่คิดจะชักช้าเสียเวลาอันใดอีก แต่ตั้งใจรีบสู้รีบเผด็จศึกอสูรมังกรหนวดตัวนี้!

คลื่นพลังเวทจากการต่อสู้ดุเดือดที่นี่แผ่ออกไปแล้ว หากผึ้งพิษศพกับอสูรมังกรหนวดตัวอื่นสัมผัสได้แล้วเร่งรีบมา เรื่องคงลำบากขึ้นมาก

มุกบรรพตธาราส่องแสงจิตวิญญาณสว่างขึ้นวูบหนึ่งแล้วสร้างเงาแม่น้ำยาวสีดำเส้นหนึ่งม้วนโถมลงไป มันเลือนหายวูบหนึ่งก็รัดร่างของอสูรมังกรหนวดเอาไว้

หมอกสีเทาทะลักออกมาจากบนร่างอสูรมังกรหนวดแล้วพุ่งโจมตีเงาแม่น้ำสายยาวสีดำโดยฉับพลัน พริบตาเดียวก็ทลายแม่น้ำสีดำสายยาวไปได้ไม่น้อย

“สู้เป็นหมาจนตรอก!”

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงสะบัดมือทำท่าเคล็ดกระบี่เก็บกระบี่ขู่หลุนไป พร้อมกันนั้นก็ยิ้มหยันเริ่มควบคุมมุกบรรพตธาราอย่างเต็มกำลัง

แม่น้ำยาวสีดำฉับพลันเปล่งแสงสีดำสว่างจ้าแล้วทะยานวนรอบร่างอสูรมังกรหนวด มันพันทบอยู่หลายรอบ พริบตาเดียวก็กลายเป็นลูกบอลวารีสีดำขนาดมหึมาลูกหนึ่ง

อสูรมังกรหนวดกรีดร้องอยู่ในลูกบอลวารี หนวดนับไม่ถ้วนแทงแม่น้ำเป็นระยะ แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของลูกบอลวารีได้แม้แต่น้อย

จิตสังหารปรากฏในดวงตาของหลิ่วหมิง เขาพึมพำอย่างไม่ลังเลสักนิด “จงปรากฏ” !

หลังจากนั้นเสียงบึ๊มก็ดังสนั่น เงาภูเขาน้อยสีน้ำตาลอ่อนลูกหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าพาพลังยิ่งใหญ่ที่ชวนให้คนหวาดผวาทับลงมาเหนือลูกบอลน้ำในทันที

เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!

อสูรมังกรหนวดที่พลังไม่ต่ำต้อยตัวนี้ไม่แม้แต่จะได้กรีดร้อง พริบตาเดียวตัวมันที่ยังถูกปราณวารีสีดำล้อมอยู่ก็ถูกทับกลายเป็นเลือดเนื้อนับไม่ถ้วนกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ

หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็หายวับมาปรากฏตัวหน้าลูกบอลหมอกสีดำ แขนโบกครั้งหนึ่ง แสงสีดำเส้นหนึ่งพลันฟันลงบนลูกบอลหมอก

เสียงทุ้มลอยออกมาจากหมอกสีดำก่อนจะเผยสิ่งที่อยู่ด้านใน มันคือต้นไม้ประหลาดสีดำสนิททั้งต้นสูงราวหนึ่งจั้งกว่าต้นหนึ่ง

ต้นไม้ต้นนี้รากปักอยู่ในบึงโคลน ลำต้นสีดำขลับเป็นประกาย บนกิ่งก้านบิดงอกมีใบสีดำสนิทเช่นเดียวกันงอกกระจายอยู่หลายใบ และแผ่ไอวิญญาณเข้มข้นน่าขนลุก

“ต้นห้วงสมุทรวิญญาณจริงอย่างที่คิด!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เผยความยินดีเจียนคลั่งออกมาทันที

แม้ก่อนหน้านี้เขาคาดไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นต้นไม้ชนิดนี้จริง ในใจก็ยังตื่นเต้นยินดีอย่างห้ามไม่อยู่

บันทึกในหอเก็บคัมภีร์ของนิกายสายในกล่าวไว้ว่าต้นห้วงสมุทรวิญญาณเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยส่งเสริมการฝึกวิชาสายวิญญาณ บนแผ่นดินจงเทียนหามีไม่ มีแต่ในยมโลกเท่านั้นจึงจะหาพบ

พูดให้ชัดก็คือต้นไม้ต้นนี้ไม่มีประโยชน์อื่นใด ทำได้เพียงดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินแล้วแปรเปลี่ยนเป็นปราณหยินบริสุทธิ์อย่างช้าๆ เท่านั้น

ปราณหยินบริสุทธิ์มีคุณค่าต่อผู้ฝึกฝนสายวิญญาณมากมายเพียงไรคิดดูก็รู้

ดูจากขนาดของต้นไม้ต้นนี้ที่งอกสูงถึงหนึ่งจั้งกว่า อย่างน้อยก็คงมีอายุไม่ต่ำกว่าหลายหมื่นปี หากย้ายต้นไม้ต้นนี้ไปปลูกบนยอดเขาลั่วโยว ผ่านไปสักร้อยกว่าปีปราณหยินที่ยอดเขาลั่วโยวก็คงเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายส่วน มีประโยชน์กับการเลื่อนระดับพลังของศิษย์ยอดเขาลั่วโยวอย่างประมาณมิได้

หลิ่วหมิงครุ่นคิดเร็วจี๋แล้วโบกมือทันที ลูกแก้วผลึกที่ทอแสงสีเหลืองวิบวับลูกหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มันก็คือร่างตั้งต้นของมุกบรรพตธาราที่เขายังไม่มีเวลาหลอมนั่นเอง

แม้ของสิ่งนี้ยังไม่ได้หลอมแต่ก็มีประโยชน์บางอย่างอยู่

เขาอ้าปากพ่นพลังเวทบริสุทธิ์สายหนึ่งลงบนตัวลูกแก้วสีเหลือง เมฆสีเหลืองกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาล้อมต้นห้วงสมุทรวิญญาณรวมถึงบึงโคลนบริเวณหลายสิบจั้งรอบด้านเข้าไปด้านใน

“เก็บ!”

หลิ่วหมิงท่องมนตร์ เมฆสีเหลืองเริ่มหดตัว ครู่เดียวต้นห้วงสมุทรวิญญาณรวมถึงโคลนสีดำรอบตัวมันก็ถูกเก็บเข้าไปในลูกแก้วสีเหลืองอย่างช้าๆ

เมื่อทำทุกสิ่งนี้เสร็จหลิ่วหมิงจึงถอนหายใจแผ่วเบา

ร่างตั้งต้นของมุกบรรพตธาราสร้างขึ้นจากดินปราณทองคำบริสุทธิ์ ใช้เคลื่อนย้ายต้นห้วงสมุทรวิญญาณเหมาะสมที่สุดเพราะจะไม่ทำให้ต้นห้วงสมุทรวิญญาณเสียหาย

“โฮก…” เสียงคำรามทุ้มต่ำดังมาจากไกลๆ บึงโคลนสี่ด้านแปดทิศมีเนินหนาหลายลูกผุดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดและกำลังแหวกว่ายมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

บนท้องฟ้าก็มีเสียงหึ่งดังขึ้นตามมาติดๆ เมฆดำแถบแล้วแถบเล่าบินเร็วไวมายังจุดที่เขาอยู่

หลิ่วหมิงได้สมบัติล้ำค่ามาแล้วย่อมไม่คิดจะยุ่งกับอสูรมังกรหนวดและผึ้งพิษศพต่อ แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งยกร่างเขาเหาะออกจากเกาะอย่างรวดเร็ว

……

สองเดือนให้หลังเสียงรบราฆ่าฟันดังสนั่นแก้วหูแทบดับดังออกมาจากหุบเขาแคบมหึมาแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกฝนสองฝั่งกำลังต่อสู้กันสุดชีวิต

ชั่วขณะหนึ่งแสงของอาวุธจิตวิญญาณสว่างวูบวาบ แสงสว่างสารพัดสีเกี่ยวกระหวัดดุจเริงระบำ

ฝ่ายหนึ่งที่กำลังต่อสู้สุดชีวิตมีอยู่สี่คน พวกเขาล้วนสวมชุดสีฟ้าลายดวงดาว เห็นชัดว่าเป็นศิษย์ของหอเป๋ยโต่ว

ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่ง แต่บนใบหน้าซีกซ้ายมีรอยแผลเส้นหนึ่งพาดอยู่ตรงหางตาจึงแลดูเหี้ยมโหดอยู่บ้าง สามคนที่เคียงบ่าเคียงไหล่อยู่กับเขาก็คืออิ๋นเซ่อ หลี่ว์เหมิง กับชายหนุ่มหน้าตาหมดจดอายุสิบสามสิบสี่ปีอีกคนหนึ่ง

อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกฝนที่สวมชุดขาวกลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็คือผู้ฝึกฝนจากวังสวรรค์ซึ่งทำตัวลึกลับเสมอแห่งแผ่นดินจงเทียน พวกเขามีจำนวนคนมากกว่าเล็กน้อย มีกันหกคน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมีคนเพิ่มมากขึ้นจากตอนที่เข้ามาคราวแรกอีกหนึ่งคน

กลางกองหินระเกะระกะที่อยู่ไม่ไกลจากวงต่อสู้ ศิลาที่ทอแสงสีฟ้าระยิบระยับสูงเท่าตัวคนก้อนหนึ่งนอนนิ่งสงบอยู่ มันทอประกายดั่งดวงดารานับไม่ถ้วน ดูลึกลับยิ่งนัก

“พี่สวี ศิลาทรายดาราก้อนนี้พวกเราเป็นผู้หาพบก่อน ท่านคิดจะแย่งชิงหรือ?” ผู้ฝึกฝนจากวังสวรรค์ที่หน้าตาเหมือนบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งตวาดดุดัน

ผู้ที่กำลังประมือกับบุรุษวัยกลางคนก็คือชายหนุ่มแซ่สวีหัวหน้าของหอเป๋ยโต่ว เขาสะบัดตะขอแสงดาวในมืออย่างสบายๆ ส่งแสงดาวรูปกระสวยลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเร็วรี่ออกมา

บุรุษวัยกลางคนจากวังสวรรค์กับผู้ฝึกฝนจากวังสวรรค์อีกสองคนต้องร่วมมือกันสามคนจึงสู้เสมอกับชายหนุ่มแซ่สวีได้อย่างหวุดหวิด

“พี่เหยา การค้นหาสมบัติในเศษซากโลกบน เดิมทีก็เป็นการแย่งชิงด้วยกำลังของแต่ละฝ่ายอยู่แล้ว หากพวกเราพบศิลาทรายดารานี้ก่อน พวกท่านก็คงลงมือแย่งชิงเช่นเดียวกัน ทุกคนวัดกันที่ความสามารถจริงเถิด” ชายหนุ่มแซ่สวีกลับหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ

บุรุษวัยกลางคนจนคำพูด ใบหน้าแดงก่ำ เขาควบคุมขวานผ่าภูผาเล่มยักษ์เล่มหนึ่ง สร้างเงาขวานเงาแล้วเงาเล่าออกไปอย่างรวดเร็ว พลังยิ่งใหญ่นัก

แต่ไม่ว่าเขาจะโจมตีรุนแรงเพียงใดก็ถูกชายหนุ่มแซ่สวีจัดการอย่างง่ายดาย

ส่วนพวกอิ๋นเซ่อสามคนกำลังจับคู่ฆ่าฟันกับผู้ฝึกฝนจากวังสวรรค์อีกสามคนที่เหลือ พวกเขาต่อสู้กันโรมรันพันตู ชั่วขณะดูเหมือนจะตัดสินแพ้ชนะไม่ได้

ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่สังเกตเห็นเงาคนร่างหนึ่งที่ผลุบโผล่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังศิลาก้อนมหึมาซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง