บทที่ 543.3 บนทางไส้แกะสายเล็ก ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตอนที่คนทั้งสองเดินข้ามธรณีประตูออกไปจากตำหนักน้ำ หวงซือก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “อีกฝั่งหนึ่งของขั้นบันไดมีความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้เกิดขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครไปเจอเข้ากับใคร”

ตอนนี้บนภูเขามีคนสามกลุ่มอยู่ปะปนกัน

พวกเขาสี่คนน่าจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้ามาในพื้นที่ลับตระกูลเซียนแห่งนี้

หวงซือไม่รู้ว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มที่สองซึ่งเป็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาวคือเทพเซียนจากฝ่ายไหน โอกาสที่จะเป็นผู้ฝึกตนของนครเหนือเมฆค่อนข้างสูง เพราะถึงอย่างไรจวนไช่เฉวี่ยก็มีแค่ผู้ฝึกตนหญิง

กลุ่มที่สามนั้นรับมือได้ยากที่สุด

ดังนั้นสถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือ เซียนซือหนุ่มสาวสองคนนั้นเกิดความขัดแย้งกับฝ่ายของท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิง

หากเป็นตี๋หยวนเฟิงที่ไปประมือกับคนอื่นก่อน นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร

ด้วยสันดานเช่นนั้นของตี๋หยวนเฟิง หากเจอกับอันตรายเข้าจริงๆ จะต้องลากหายนะมาถึงตัวเขาหวงซือด้วยอย่างแน่นอน หากตกอยู่ในสถานการณ์อับจน ความคิดแรกของตี๋หยวนเฟิงจะต้องเป็นลากพวกเขาสามคนไปตายเป็นเพื่อน เพื่อที่จะได้มีคนเดินเคียงข้างบนเส้นทางไปสู่น้ำพุเหลือง

หวงซือพลันกระโดดขึ้นไปบนหลังคา เห็นเพียงว่าตรงแผ่นฝ้าเพดานทรงกลมมีคนร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องเหมือนเกี้ยวที่ถูกโยนลงหม้อ ไม่ต่ำกว่าสี่สิบคน ดูจากท่าทางแล้ว ต่อจากนี้จะต้องมีคนเข้ามาถึงที่นี่อย่างแน่นอน

ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงยิ่งกว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตรงอีกฝั่งหนึ่งของบันไดเสียอีก

หวงซือเริ่มไม่เข้าใจแล้ว สถานการณ์ที่ปลาและมังกรปะปนกันเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นผลดีมากกว่าผลร้าย

ขอแค่หาทางถอยได้เจอ จากนั้นก็ฉกชิงตำราลัทธิเต๋าบนร่างของนักพรตซุนไป เขาหวงซือก็สะบัดมือจากไปได้แล้ว

เขาคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว จึงไม่มีความละโมบในปราณวิญญาณของที่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย

ทุกคนที่เหลืออยู่ฆ่าแกงกันไปมา ดั่งสัตว์ที่ถูกจับขังให้ต้องต่อสู้กัน เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย

หวงซือเอ่ย “พวกเราไม่ผ่านบันไดเดินขึ้นเขา แต่อ้อมไปทางด้านหลังภูเขา”

เฉินผิงอันถาม “ไม่รอคุณชายฉินสักหน่อยหรือ?”

นักพรตซุนถอนหายใจอยู่ในใจ ช่างเป็นลูกนกหัดบินในยุทธภพที่ไม่รู้ความอันตรายของใจคนจริงๆ

ดูจากการค้าขายระหว่างสองฝ่ายในตำหนักน้ำ อันที่จริงนักพรตซุนก็พอจะมองออกถึงความระมัดระวังของสหายนักพรตคนนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นช่างเหลาะแหละพึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย

หวงซือยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่เฉินสามารถไปเรียกคุณชายฉินมาได้ ข้ากับนักพรตซุนจะรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

นักพรตซุนเห็นว่าสหายนักพรตผู้นี้มีสีหน้ากระอักกระอ่วน แล้วก็ไม่พูดจาไร้สาระอะไรเพิ่มอีก

นักพรตซุนจึงใช้เสียงในใจบอกคนผู้นี้ว่า “สหายเฉิน จำเอาไว้ว่าพูดมากไปจะนำมาซึ่งความผิดพลาด เข้ามาในภูเขาเงินภูเขาทอง ต่างคนต่างอาศัยโชควาสนาช่วงชิงสมบัติมาครอง เจ้าก็อย่าได้วาดงูเติมขาอีกเลย ไม่แน่ว่าคุณชายฉินอาจจะได้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เขาจะยินดีพบหน้าเจ้าหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก เจ้าไปหาเขาแบบนี้จะไม่ทำให้คุณชายฉินลำบากใจหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรตซุน สุขุมหนักแน่น ทำอะไรมั่นคงเชื่อถือได้”

ตอนนี้แผนการที่ดีที่สุดของเฉินผิงอันก็คือไปหาคนนอกคนหนึ่งก่อน เพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ พอมั่นใจว่าจะไม่ถ่วงเวลาการท่องลำน้ำใหญ่ของเขาแล้ว ถึงจะสามารถหยุดอยู่ที่นี่ต่อได้อีกสามสี่วัน พยายามอยู่ร่วมกับเซียนซือของแต่ละฝ่ายอย่างปรองดองให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ฝึกตนอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบ สั่งสมปราณวิญญาณให้เต็มสองช่องโพรงลมปราณอย่างจวนน้ำและศาลภูเขา

พยายามช่วงชิงแก่นชะตาน้ำที่ซุกซ่อนอยู่ในอิฐเขียวของอารามเต๋าพวกนั้นมาให้ได้มากที่สุด

จวนน้ำและศาลภูเขาขอบเขตสามมีขีดจำกัดในการ ‘กักเก็บน้ำ’ ส่วนช่องโพรงลมปราณแห่งอื่นๆ เนื่องจากมีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นดำรงอยู่ จึงไม่อาจรั้งปราณวิญญาณไว้ได้มากนัก เกรงว่าเมื่อเอามารวมกันแล้วยังสู้การรวบรวมปราณวิญญาณบนชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาตัวนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าจวนน้ำและศาลภูเขาสองแห่งนั้น ต่อให้จะมีปราณวิญญาณเอ่อล้นออกมา อันที่จริงก็ไม่เป็นไร และเฉินผิงอันก็ยังสามารถมาวาดยันต์อยู่ที่นี่ได้

ใช้ชาดตระกูลเซียนที่ดีที่สุดของสวนน้ำค้างวสันต์ไหนั้นวาดยันต์ลงบนกระดาษสีทอง ยิ่งเผาผลาญปราณวิญญาณมากเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะระดับขั้นของยันต์ก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น

หล่อหลอมลมปราณ ศึกษาวิชาการเขียนยันต์ หาเงินเทพเซียนเข้ากระเป๋า ยิงธนูนัดเดียวได้นกสามตัว

เฉินผิงอันยังถึงขั้นคิดจะอาศัยปราณวิญญาณของที่แห่งนี้มาทดลองบุกเบิกช่องโพรงที่สำคัญแห่งที่สาม เพื่อหาตำแหน่งที่ว่างไว้ให้สำหรับวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุชิ้นที่สามในอนาคต

เพราะเฉินผิงอันมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุไม้หนึ่งในห้าธาตุควรจะเป็นสิ่งใด

อันที่จริงหากลองคิดในมุมมองใหม่ มาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ สำหรับเฉินผิงอันที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายทั้งหมด

เพราะนี่จะช่วยสะบั้นความเชื่อมโยงระหว่างเขากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียงให้สิ้นซากได้

ตอนนั้นนางติดตามตนเข้าไปในหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก ไปจับตามองตนอยู่ในระยะประชิดที่นครจิงกวาน รวมไปถึงหลังจากที่ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยเพราะตนแบกรับทัณฑ์สายฟ้า นางก็จำต้องเป็นฝ่ายตัดขาดความเชื่อมโยงในโลกมืดที่มองไม่เห็นนั้นทิ้งไป ตอนนี้คงจะหลบเข้าไปในอยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ หากถูกเฉินผิงอันเล่นงานอีกครั้ง ก็จะเป็นหลักการเดียวกันนี้

ดังนั้นผลได้และผลเสียทั้งหมดจากการที่เข้ามาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ก็ล้วนเป็นเรื่องของเฉินผิงอันเพียงลำพังแล้ว

อันที่จริงนี่คือเรื่องดี

ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่เฉินผิงอันคิดเอาไว้ นั่นคือเฉินผิงอันต้องใช้กระบี่ผ่าตราผนึกฟ้าดิน เผ่นหนีออกไปเพื่อความปลอดภัยของตน

ต่อให้ไม่พูดถึงกระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียวบนพื้น ลำพังเพียงแค่ข้องปลาไผ่สานขนาดจิ๋วสองใบนั้นก็ทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงได้มากแล้ว

เพราะพวกมันมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นข้องราชามังกร!

ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกจะถูกทำลายให้เสียหายอย่างหนัก ทว่าข้องไม้ไผ่ใบเล็กสองใบที่ระดับขั้นต่ำที่สุดก็ยังเป็นข้องราชามังกรที่ควรค่าแก่การทุ่มเงินซ่อมแซมให้เหมือนใหม่ จากนั้นก็เอาไปใช้จับเจียวหลง

ถ้าอย่างนั้น

เขาควรจะคอยช่วยดูแลไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันต่อนักพรตซุนต่อไปหรือไม่?

รังแกคนอื่นไม่ยาก รังแกตัวเองก็ยิ่งง่าย เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตน ขอแค่ยังมีจิตแห่งการพิสูจน์มรรคา มีความหวังต่อการเดินขึ้นสู่ยอดเขาสูง เดิมทีการรังแกตัวเองก็เป็นปมของโรคร้ายที่ใหญ่ที่สุด

มองดูเหมือนว่าเรียบง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นด่านในอนาคตถึงได้ใหญ่ที่สุด

ยกตัวอย่างเช่นหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เกือบจะต้องกายดับมรรคาสลายเพราะสาเหตุนี้

เมื่อมอบยันต์กระดาษสีทองสองแผ่นให้กับนักพรตซุนแล้ว ตัวเองก็จะสบายใจ ถามใจตัวเองแล้วไม่รู้สึกผิดจริงๆ หรือ?

หรือจะบอกว่า เพื่อประหยัดแรงกายแรงใจก็ควรถือโอกาสกำจัดต้นกำเนิดของเรื่องไม่คาดฝันอย่างหวงซือที่เป็นผู้ฝึกยุทธนี่ไปเสียเลย?

สนแต่สาเหตุไม่สนความรู้สึก? หรือว่าจะสนความรู้สึก ไม่สนสาเหตุ? หรือต้องสนทั้งสองอย่าง?

หากเป็นกู้ช่านก็คงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

หม่าขู่เสวียนเองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาทั้งหมดบนโลกก็อาจไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ส่วนชุยตงซาน ลู่ไถ จงขุย ฉีจิ่งหลง ก็อาจจะมีทางเลือกเป็นของพวกเขาเอง ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกจะเหมือนเฉินผิงอันหรือไม่ แต่ก็คงไม่รู้สึกลำบากใจอย่างที่เฉินผิงอันเป็นอยู่ในตอนนี้

เมื่อเฉินผิงอันขึ้นมาเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนที่แท้จริง หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนได้ครึ่งตัวแล้ว เขาก็ค้นพบว่าหลักการเหตุผลทั้งหมดที่ประคับประคองให้เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้

ทำให้เขารู้สึกว่าพวกมันกลายเป็นภาระจริงๆ

ก็เหมือนตอนเด็กที่เดินขึ้นเขา แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขนาดนั้น ด้านในยังบรรจุยาสมุนไพร นั่นก็ทำให้คนรู้สึกหนักอึ้งได้มากแล้ว

ทว่าจุดที่ชวนให้ลำบากใจกลับกลายเป็นว่า ก็เพราะภาระในอดีตเหล่านี้ ถึงพาเขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้

ลำบากใจกับตัวเอง คือความยากที่ซ้ำเติมลงบนความยากของการเดินขึ้นเขาฝึกตน

และในเวลานี้เอง นักพรตซุนก็ได้ใช้เสียงในใจบอกแก่เฉินผิงอันว่า “สหายเฉิน ระวังตัวไว้สักหน่อย หวงซือผู้นี้อำพรางตนอย่างลึกล้ำ ไม่นึกว่าเขาจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ยันต์โจมตีของสหายเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตถือว่าพอจะเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ประชิดตัวอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นเจ้าก็ถอยห่างไปให้ไกลสักหน่อย แต่อย่าลืมช่วยคุมหลังให้ข้าผู้เป็นนักพรตด้วย อย่าได้ประหยัดยันต์มากเกินไป ยันต์อะไรก็โยนๆ ใส่หวงซือไปเถอะ แต่ก็อย่าโยนพลาดทำร้ายข้าผู้เป็นนักพรตเข้าล่ะ”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าต่อมาสภาพจิตใจของเขาก็พลันเปิดโล่ง ยิ้มบางๆ ตอบกลับไปว่า “นักพรตซุนวางใจได้เลย บอกตามตรงว่า นอกจากวิชายันต์แล้ว ข้าเองก็พอจะมีฝีมือในการจับคู่ต่อสู้กับคนอื่นอยู่เหมือนกัน”

นักพรตซุนกล่าวอย่างระอาใจ “สหายเฉิน อย่าเป็นแบบนี้ ได้ยินคำพูดวางโตนี้ของเจ้าแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีทางวางใจได้เลย มีแต่จะยิ่งกลุ้มเข้าไปใหญ่”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะ “นักพรตซุนมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนที่สูงส่ง มรรคกถาก็ยอดเยี่ยม ไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องการให้ข้าลงมือช่วยเหลือก็เป็นได้”

นักพรตซุนจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ในใจคิดว่าคำประจบสอพลอของคนตาไร้แววอย่างเจ้า ข้าผู้เป็นนักพรตไม่รู้สึกประสบความสำเร็จสักนิดเลยจริงๆ

หวงซือมีสัมผัสที่เฉียบไว พอจะเดาออกได้คร่าวๆ ว่าคนทั้งสองกำลังแอบสนทนากันอย่างลับๆ

เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าเศษสวะของลัทธิเต๋าสองคนนี้คุยกันแล้วจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา คุยกันว่าจะตายอย่างไรงั้นหรือ? หรือว่าตอนไปเดินอยู่หน้าประตูผีจะหาเรื่องอะไรมาคุยกันให้อารมณ์ดีหรือไร?

เฉินผิงอันคิดเรื่องบางอย่างจนเข้าใจกระจ่างแล้วก็พลันรู้สึกว่าฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล ภูเขาเขียวน้ำใส  ทัศนียภาพของทุกหนทุกแห่งล้วนน่ามองชวนให้ใกล้ชิดสนิทสนม

เพียงแต่ว่าพอมองไปอีกครั้ง เฉินผิงอันกลับขมวดคิ้วมุ่น

เขาส่ายหน้า ไม่มีภาพเหตุการณ์ประหลาดใดๆ เกิดขึ้นอีก

เฉินผิงอันอดเปิดปากเอ่ยเตือนนักพรตซุนไม่ได้ “นักพรตซุน ระวังตัวหน่อย”

นักพรตซุนยิ้มกล่าว “สหายอย่าได้พูดจาวางโต แล้วก็อย่าได้พูดจาไร้แก่นสารอีกเลย”

……

อีกฝั่งหนึ่งของบันได

เป็นตี๋หยวนเฟิงที่ปะทะกับเซียนซือสองคนของนครเหนือเมฆจริงๆ

ชายหนุ่มหญิงสาวของนครเหนือเมฆสองคนนั้นมาเจอพื้นที่ฝึกตนของเซียนยุคบรรพกาลแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ จากนั้นภายใต้โชควาสนานำพา พวกเขาก็สามารถเปิดกลไกจากเทียบตัวอักษรแผ่นหนึ่งได้ แล้วก็ได้ไปเจอกับโครงกระดูกขาวลอกคราบของ ‘กิ่งทองใบหยก รัศมีแสงเรืองรอง’ โครงหนึ่ง

อยู่ในสภาพเช่นนี้ ขนาดผ่านมาหลายร้อยปีหรืออาจถึงขั้นเป็นพันปี ประกายแสงก็ยังไม่หม่นหมองลง ต้องเป็นเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งอย่างแน่นอน หรือไม่ก็เป็นคราบของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบในตำนานที่ได้ครอบครองโชควาสนาอันน่าตะลึงลานอย่างหนึ่ง

ส่วนคราบร่างของขอบเขตเซียนเหรินที่ยิ่งชวนให้คนเหลือเชื่อนั้น เลือดเนื้อจะไม่สูญสลาย จะไม่กลายเป็นกระดูกแห้งเหี่ยว

และชุดคลุมอาคมบนคราบร่างนั้นก็แทบจะสมบูรณ์ไร้ตำหนิ ภายนอกไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย

เดิมทีตี๋หยวนเฟิงที่แอบสะกดรอยตามผู้ฝึกตนซึ่งมองก็รู้ว่าเป็นลูกนกหัดบินที่มีประสบการณ์ไม่มากพอคู่นั้นมา เขาไม่ได้มีความหวังมากนัก คิดไม่ถึงว่าพอตามมาแล้วจะได้เห็นประตูใหญ่บานนั้น คราบร่างนั้นล้ำค่าหรือไม่ล้ำค่า ดูจากชุดคลุมอาคมก็พอจะมองเบาะแสได้ออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งในนั้นยังเก็บคราบร่างและชุดคลุมอาคมใส่ไว้ในกระบอกเก็บพู่กันหยกขาวที่มีไอหมอกสีขาวนวลลอยล้อมวน เห็นได้ชัดว่าเป็นวัตถุฟางชุ่นของตระกูลเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย

ตี๋หยวนเฟิงลองคำนวณตบะของอีกฝ่ายดูก็รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย จึงแอบซ่อนตัวอยู่ตรงทางออก คิดจะหาโอกาสโจมตีอีกฝ่ายให้ตาย เมื่อแย่งสมบัติมาได้แล้วก็จะรีบเผ่นหนีไปให้ไกล วัตถุฟางชุ่นที่เป็นกระบอกเก็บพู่กันชิ้นหนึ่ง บวกกับคราบร่างเซียนและชุดคลุมอาคมตัวนั้น นี่ถือเป็นสมบัติหนักสามชิ้นเลยทีเดียว

คิดไม่ถึงว่าภายใต้คมดาบที่คมกริบของเขา บุรุษหนุ่มคนนั้นจะเพียงแค่บาดเจ็บสาหัส ชุดคลุมอาคมได้รับความเสียหายเท่านั้น เขายังคงปกป้องกระบอกเก็บพู่กันชิ้นนั้นไว้ได้

ตี๋หยวนเฟิงจึงฉวยโอกาสนี้ออกดาบซ้ำอีกครั้ง หมายจะสังหารผู้ฝึกตนหญิงฝีมือไม่ได้ความที่มัวแต่ตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก

เพียงแต่ว่ามีผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า ไม่เพียงแต่โจมตีให้ตี๋หยวนเฟิงถอยร่น ยังเกือบจะกักตัวตี๋หยวนเฟิงไว้ในกระท่อมที่เซียนผู้นั้นนั่งค้างตายอยู่ในท่านั้นได้

ตี๋หยวนเฟิงอาศัยดาบอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษผ่ากรงขังอาคมแห่งนั้นออกมา แล้วเผ่นหนีไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บ

ในใจสบถด่าเสียงดังไม่หยุด เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลชาติสุนัข บนร่างกลับสวมชุดคลุมอาคมตั้งสองชิ้น!

บุรุษหนุ่มผู้ฝึกตนหน้าซีดขาว ยื่นมือออกมาปาดใบหน้าก็เห็นว่ามีแต่เลือดสดเต็มฝ่ามือ หากไม่เป็นเพราะเพื่อความปลอดภัย จึงสวมชุดคลุมอาคมสองตัวไว้บนร่าง ไม่อย่างนั้นหากต้องรับดาบที่ฟันลงมาเต็มๆ เช่นนี้ ตนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้ฝึกตนหญิงมองเขาด้วยความสงสารสุดหัวใจ สำหรับคนถ่อยที่ต่ำช้าผู้นั้นก็ยิ่งเคียดแค้น นางไม่คิดจะสนใจความปลอดภัยของตัวเอง เตรียมจะบังคับลมไล่ตามไปสังหาร อีกฝ่ายบาดเจ็บไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจเป็นสุนัขที่ถูกทุบตีซ้ำก็เป็นได้

ทว่าผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรกลับเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “อย่าไล่ตามโจรที่ยากจน (เปรียบเปรยถึงศัตรูที่จนตรอก) นอกจากนี้ ได้โชควาสนาใหญ่ขนาดนี้มา พวกเจ้าก็ควรจะหยุดเมื่อพอสมควร ต่อจากนี้พวกเจ้าควรคิดว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้อย่างไร ท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นจัดวางปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งไว้บนยอดเขากับตรงตีนเขา รับผิดชอบคอยเฝ้าหน้าด่าน พวกเจ้าก็ลองปรึกษากันดูว่าจะทำอย่างไร”

จากนั้นร่างของผู้ถวายงานเฒ่าก็หายวับไป

ชายหญิงแห่งนครเหนือเมฆที่เพิ่งจะรอดพ้นจากหายนะมาได้ สภาพจิตใจจึงไม่มั่นคงนัก ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นแววตาดิ้นรนสับสนของผู้ถวายงานเฒ่า

หากไม่เป็นเพราะยังมีผู้ปกป้องมรรคาอย่างหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เกรงว่าผู้ฝึกตนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครเหนือเมฆมาเกือบร้อยปีผู้นี้ก็คงจะทำให้เด็กรุ่นหลังสองคนที่มีสมบัติหนักติดตัวได้รู้แล้วว่าอะไรคือบนท้องฟ้ามีลมและเมฆที่ไม่อาจคาดการณ์ มนุษย์มีโชคดีก็ย่อมมีโชคร้าย

และห่างไปไม่ไกล เจินเหรินผู้เฒ่าคนหนึ่งใช้ยันต์ชั้นยอดอำพรางเรือนกายและริ้วคลื่นลมปราณเอาไว้ สำหรับการอดทนข่มกลั้นไม่ยอมลงมือของผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกร ทำให้เขาหวนอวิ๋นมีสีหน้าที่ซับซ้อน ดูคล้ายจะรู้สึกยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความผิดหวังที่ยากจะสังเกตเห็นอยู่เสี้ยวหนึ่ง

หวนอวิ๋นพึมพำว่า “การฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย การฝึกจิตใจก็ยิ่งยาก”

หลังจากทอดถอนใจอยู่ในทะเลสาบหัวใจไปแล้ว ร่างของเจินเหรินผู้เฒ่าก็หายไปอีกครั้ง

สมบัติที่ก่อนหน้านี้เขามองเห็นก่อนใคร ทว่ากลับปฏิบัติตามกฎไม่แย่งชิงไขว่คว้ามา ตอนนี้เขาหวนอวิ๋นก็สามารถยื่นมือไปแย่งมาได้แล้ว

เพราะลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อย่อมไม่มีความคิดจะไปสืบเสาะหาสมบัติอีกแล้ว แต่กำลังคิดว่าควรจะพาตัวหลุดพ้นไปจากสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้อย่างไรดี

ส่วนผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรคนนั้น ก็น่าจะมีความคิดและแผนการพอๆ กันนี้

นอกจากภาชนะตระกูลเซียนในตำหนักและหอเรือนแห่งต่างๆ หวนอวิ๋นอยากจะขึ้นไปดูที่อารามเต๋าบนยอดเขามากที่สุด เพราะกระเบื้องแก้วมรกตที่เห็นไกลๆ ตอนทะยานลมก่อนหน้านี้มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

เพียงแต่ว่าการช่วงชิงวัตถุชิ้นนี้เขาจะรีบร้อนไม่ได้ มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของแคว้นเป่ยถิงเฝ้าอยู่บนยอดเขา หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เจินเหรินผู้เฒ่าจะไม่ฝืนไปแย่งชิงมาเด็ดขาด

ตี๋หยวนเฟิงที่สะพายห่อสัมภาระใบหนึ่งหลบอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง หลังจากกลืนยาไปหนึ่งเม็ด เขาก็หอบหายใจหนักๆ มุมปากมีเลือดซึมลงมา ในใจสถบด่ามารดาอีกฝ่ายไม่หยุด

ในเมื่อยังมีอารมณ์มาด่าคนก็หมายความว่ายังไม่บาดเจ็บไปถึงรากฐาน

ตี๋หยวนเฟิงไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ลงมือหมายแย่งชิงสมบัติ

แต่ในเมื่อโจมตีครั้งเดียวไม่ได้ผล ก็ไม่มีอารมณ์จะตามตอแยอีกฝ่ายต่อแล้ว

……

บนขั้นบันไดกึ่งกลางภูเขา

จานชิงท่านโหวน้อยถือพัดพับไว้ในมือ โบกเอาลมเย็นเข้าหาตัวเบาๆ ป๋ายปี้ผู้ฝึกตนหญิงเซียนดินโอสถทองแห่งสำนักมังกรน้ำยืนอยู่ด้านข้าง

เกาหลิงผู้ฝึกยุทธแคว้นฝูฉวียืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพานโค้งหยกขาวตรงตีนเขา

ส่วนผู้ฝึกยุทธผู้ถวายงานในจวนโหวของจานชิงนั้นไปอยู่บนยอดเขาแล้ว

ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นฝูฉวีอีกคนหนึ่งที่ติดตามป๋ายปี้มาไปค้นหาสมบัติหลังจากได้รับคำอนุญาตจากป๋ายปี้

จานชิงเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดในจุดที่ห่างไปไกลแล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คนมากมายขนาดนี้ เข้ากันมาได้อย่างไร? หรือว่ามีใครทำลายตราผนึกของโพรงถ้ำแห่งนั้นออกโดยตรง?”

ป๋ายปี้ถอนหายใจ “เดิมทีที่แห่งนี้ต่างหากที่ถึงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ข้าจะออกไปเดินรอบๆ ด้านนอกภูเขาดูสักหน่อย ดูสิว่าจะสามารถส่งกระบี่บินไปยังสำนักได้หรือไม่”

จานชิงลุกขึ้นยืน “ข้าไปกับเจ้าด้วย”

ป๋ายปี้ส่ายหน้า “เจ้าไปที่ตีนเขา เกาหลิงผู้นี้รู้จักหนักเบามากที่สุด จะต้องปกป้องเจ้าได้แน่นอน ยังไม่ต้องรีบขึ้นไปบนยอดเขา ตัวแปรของที่นั่นมีมาก จะทำให้ข้าออกไปสำรวจอาณาเขตรอบนอกของที่แห่งนี้อย่างไม่วางใจ”

ป๋ายปี้ทะยานลมขึ้นสูง แล้วกลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไป

จานชิงมองด้วยความเลื่อมใส

นี่ก็คือมาดของเซียนดินโอสถทอง

——