ตอนที่ 912 คัมภีร์เป็นตาย (1)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

สิ่งที่เรียกว่าผู้มีพลังพิเศษ ก็คือผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ อย่างเช่นการส่งกระแสจิต อานุภาพทรงพลัง มองทะลุ หยั่งรู้อนาคต อำพรางตัว มีคุณสมบัติทางร่างกายพิเศษไม่เหมือนใครเป็นต้น และทั้งหมดนี้ ไม่สามารถอยู่ห่างจากการควบคุมและใช้พลังงาน

ดังนั้นมนุษย์ประเภทนี้ จึงมีความรู้สึกไวมากกว่าปกติยามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลังจากฟ้าดิน หลังจากสถานที่พักที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่เกิดคลื่นระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่น บางทีสำหรับคนธรรมดาทั่วไปอาจจะงงไม่รู้เรื่อง แต่สำหรับผู้ที่มีพลังพิเศษที่มารวมตัวกันในซูริกนั้น กลับเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

พลังงานกลุ่มนี้มีศูนย์กลางตรงที่พักของเยี่ยเทียน แล้วพุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศ คลื่นสะเทือนเกิดเป็นระลอกคลื่นอยู่ในอากาศ พลังกดดันและบีบบังคับที่ไร้รูปแบบนี้แผ่ปกคุลมหัวใจของสิ่งมีชีวิตที่สามารถสัมผัสถึงพลังงานแบบนี้ได้

เพียงชั่วพริบตาเดียวทั่วเมืองซูริกดูเหมือนจะเงียบสงบขึ้นมา สัตว์ทั้งหมดต่างเงียบกริบ ถ้าหากรู้จักสังเกต ก็จะพบว่าสุนัขลากลื่อนที่ดุและชอบต่อสู้ต่างก็หางจุกตูดตัวสั่นงันงก มุดเข้าไปอยู่ในรังสุนัขไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

“นี่คือพลังอะไร? ทำไมถึงทำให้จิตวิญญาณของฉันสั่นสะท้าน?”

ผู้มีพลังพิเศษแข็งแกร่งสองสามคนต่างจ้องมองไปยังทิศทางที่มีคลื่นส่งออกมา พร้อมกับหัวใจที่สั่นสะท้านอย่างกะทันหัน ภายใต้ความกดดันและบีบรัด ทำให้พวกเขาไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากไม่ใช่เพราะระ ยะที่ไกลมาก เกรงว่าคงจะมีบางคนคุกเข่ากราบไว้แล้ว

“อาจารย์ ผม…ผมต้านไม่ไหวแล้ว!”

คนที่อยู่ห่างจากที่พักของเยี่ยเทียนไปไกลสิบกิโลเมตร ต่างก็ได้รับแรงกดดันที่ใหญ่มากขนาดนี้ และพวกเยี่ยเทียนสองคนที่กำลังอยู่ในห้องในตอนนี้ จึงก้าวขาออกด้วยความยากลำบากเป็นอย่างมาก โจวเซี่ยวเทียนได้ถูกพลังงานนั่นเบียดจนติดกำแพงอย่างแรง รูขุมขนทั่วร่างล้วนมีเลือดออกมา ราวกับมนุษย์เลือดก็ไม่ปาน

“บ้าเอ้ย ไม่แปลกใจเลยที่หลี่ฉุนเฟิงกับหยวนเทียนกังต้องแยกคัมภีร์เล่มนี้ออกจากกัน เพราะมันอยู่รวมกันแล้วคือการฆ่าชีวิตนั่นเอง!”

วรยุทธของเยี่ยเทียนสูงกว่าโจวเซี่ยวเทียนมาก ถึงแม้จะมีพลังงานมหาศาลนั่น ก็ไม่สามารถโจมตีเขาได้ ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนจึงพอต้านทานกำลังได้ หลังจากถอยหลังไปสองสามก้าวแล้ว ขาทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนจึงเหมือนกับตะปูติดแน่นอยู่กับพื้น แม้จะมีพลังงานแบบนั้นโจมตี ก็ไม่ทำให้เขาถอยหลังไปได้อีก

แต่เมื่อเห็นความน่าอนาถของลูกศิษย์แล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่มีความคิดที่จะต้านทานพลังกลุ่มนั้นอีก ร่างเงาของเขาปรากฏตัวอยู่ข้างโจวเซี่ยวเทียนราวกับสายฟ้าแลบ ยื่นมือไปจับไหล่ของโจวเซี่ยวเทียน พอจับแล้วก็เหวี่ยงทันที ทำให้ร่างกายที่สูงประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตรกว่าๆ ของโจวเซี่ยวเทียนถูกเยี่ยเทียนโยนทิ้งออกไปทางหน้าต่าง

“คุณเยี่ย เกิดอะไรขึ้นครับ?”

เสียงของกู้ต้าจวินดังมาจากข้างนอกตึกเล็ก และดูเหมือนว่าพลังงานกลุ่มนี้จะไม่มีผลกระทบกับเขาเท่าไร นอกจากจะรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย เขาก็ไม่มีความรู้สึกกดดันแบบนั้น

เสียงคำรามของเยี่ยเทียนดังขึ้น

“ไม่มีอะไร คุณช่วยพาเซี่ยวเทียนลงไป และห้ามให้ใครอยู่ภายในระยะหนึ่งร้อยเมตร!”

ตอนนี้ความรู้สึกกดดันแบบนี้ยังคงอยู่ในของเขตที่เขาต้านทานได้ เยี่ยเทียนอยากจะรอดูว่า ทุยเป้ยถูที่รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว สุดท้ายมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรกันแน่ เพียงแต่เพิ่งจะสิ้นเสียงของเยี่ยเทียน แรงกดดันเมื่อครู่ก็พลันหายไป แล้วแรงดึงดูดมหาศาลก็กระจายแสงสีขาวออกมาจากคัมภีร์

เมื่อนับตึกเล็กเป็นจุดศูนย์กลาง ปราณวิเศษแห่งฟ้าดินที่อยู่ภายในระยะหนึ่งร้อยกิโลเมตรก็กรูกันเข้ามาเหมือนฝูงแมลงเม่า เอ่อล่นเข้าไปในตึกเล็กไม่ขาดสาย แม้แต่เทือกเขาแอลป์ที่อยู่ไกลๆ ก็ยังได้รับผลกระทบนี้ ปราณวิเศษบริสุทธิ์ที่สะสมอยู่ในภูเขาหลายปี ก็ถูกดูดเข้ามาอยู่ในหนังสือที่เหมือนกับหลุมดำก็ไม่ปาน

เดิมทีเยี่ยเทียนก็พยายามปล่อยพลังปราณมาต้านทานกับแรงกดดันและคลื่นสะเทือนกลุ่มนั้น ทว่าจู่ๆ แรงกด ดันก็พลันหายไป ความแตกต่างที่พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้เยี่ยเทียนเหมือนกับถูกค้อนหนักทุบไปที่หน้าอกอย่างแรง โชคดีที่เขาอยู่ได้เข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว จึงแค่รู้สึกอึดอัดตรงหน้าอก แล้วเลือดก็พุ่งออกมาจากปากเพราะทนไม่ไหว

เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนนานแล้ว เลือดลมของเขาจึงแฝงไปด้วยปราณวิเศษที่แข็งแกร่ง ก็เหมือนกับพระถังซัมจั๋งที่อยู่ในนิยาย “ไซอิ๋ว” ถึงแม้ดื่มเลือดของเยี่ยเทียนจะไม่สามารถเป็นอมตะได้ แต่ก็สามารถยืดอายุขัยให้นานได้

ดังนั้นเลือดของเยี่ยเทียนที่พุ่งออกมานี้ จึงเหมือนกับปราณวิเศษที่พลุ่งพล่านอยู่รวมกัน แล้วถูกแสงสีขาวนั่นดูดเข้าไป ตอนที่เลือดสาดเข้าไปอยู่ในวัตถุชิ้นนั้น ก็ทำให้แสงสีขาวยิ่งสว่างมากขึ้น กระจายออกมาข้างนอก จากนั้นก็ห่อหุ้ม เยี่ยเทียนเข้าไปอยู่ในนั้นเช่นกัน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

หลังจากแสงสีขาวห่อหุ้มร่างกายตัวเองแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงพลังปราณชีวิตของสิ่งมีชีวิตวนเวียนอยู่ภายในร่างกาย แต่พลังชีวิตที่อยู่ภายใน ดูเหมือนจะมีพลังมรณะแฝงอยู่ด้วย ระหว่างที่พลังสองชนิดนี้กำลังวนเวียนอยู่นั้น เยี่ยเทียนจึงเหมือน กับเดินอยู่บนเส้นลวดก็ไม่ปาน หากไม่ระวังก็จะตกลงมาร่างกายแหลกสลายได้

“ความตายแฝงไปด้วยชีวิต การเวียนว่ายตายเกิด เกิดขึ้นไม่สิ้นสุด เมื่อเข้าใจความเป็นและความตาย ก็จะเข้าใจมหามรรคแห่งเต๋า!”

ในใจของเยี่ยเทียนเกิดการตระหนักรู้ขึ้นมากระทันหัน และดูเหมือนว่าเขาจะมีการเชื่อมโยงกับสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะอยู่บ้าง เพราะกฎความเป็นและความตายก็ถ่ายทอดออกมาจากในนั้น

“น่าเสียดาย ทำไมถึงหมดเร็วขนาดนี้?”

ตอนที่เยี่ยเทียนเตรียมจะทำความเข้าใจอย่างละเอียด พลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินปริมาณมหาศาล ก็ถูกแสงสีขาวดูดเข้าไปจนหมดสิ้น เยี่ยเทียนยังไม่ทันทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่ในนั้น ก็ถูกตัดขาดการเชื่อมโยงเสียแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนหงุดหงิดใจไม่หยุด เพราะว่าความน่ากลัวระหว่างความเป็นกับความตาย มีโชคขนาดใหญ่แอบซ่อนอยู่

ขณะเดียวกันพลังดึงดูดของปราณวิเศษจากภายนอกอย่างบ้าคลั่งก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ หลังจากสามนาทีผ่านไป พลังปราณชีวิตที่ยุ่งเหยิงรอบบริเวณระยะหนึ่งร้อยเมตรก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับสู่ความปกติ แต่ปราณวิเศษที่อยู่ในนั้นกลับน้อยนิดจนน่าสงสาร เพราะถูกกลุ่มแสงสีขาวดูดกลืนเข้าไปเสียส่วนใหญ่

“นั่นคือคนแบบไหนกัน ทำไมถึงมีพลังแข็งแกร่งระเบิดออกมาเช่นนี้?!”

ผู้มีพลังพิเศษของแต่ละประเทศที่อยู่ในซูริกนั้น ต่างก็มองไปยังทิศทางที่อยู่อาศัยของเยี่ยเทียนด้วยสายตาที่ซับ ซ้อน เนื่องจากภายใต้แรงกดดันแบบนั้น พวกเขาจึงรู้สึกถึงความเล็กกระจิดริดของตัวเอง จึงไม่มีความคิดที่จะต่อต้านใดๆ

ดังนั้นถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปสืบสักคน พวกเขากลัวว่าจะเป็นการทำผิดต่อผู้แข็งแกร่งคนนั้นแล้วนำภัยมาสู่ตัวเอง เพราะในโลกของพวกเขานั้น ไม่มีกฎหมายอะไรมาใช้พูดได้

“ที่แท้ทุยเป้ยถูก็เป็นเพียงหน้ากาก!”

เวลานี้ตึกเล็กที่อยู่ในสถานทูตประเทศจีน ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น เยี่ยเทียนกำลังมองคัมภีร์ที่ไร้แสงสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาที่ซับซ้อน

คัมภีร์รวมเป็นหนึ่งเดียวมีเพียงสี่หน้า แบ่งเป็นสองสี สองหน้าแรกเป็นสีขาว สองหน้าหลังเป็นสีดำ และเดิมทีหน้าปกที่เขียนตัวหนังสือสามคำว่า “ทุยเป้ยถู” ตอนนี้ได้กลายเป็นคำว่า “เป็น” คำหนึ่ง ไม่ว่าจะมองจากตรงไหน ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “ทุยเป้ยถู” เลยสักนิด

“ถ้าหากอาจารย์รู้ว่านี่ถึงจะเป็น ‘ทุยเป้ยถู’ ที่แท้จริง ไม่รู้ว่าท่านจะรู้สึกยังไงกันแน่?”

เยี่ยเทียนมองคัมภีร์เล่มนั้นอย่างพูดไม่ออก พร้อมกับในทรวงอกที่ยากจะสงบใจลงได้อยู่นาน

หลี่ซั่นหยวนเคยตามหาที่อยู่ของ “ทุยเป้ยถู” มาตลอดชีวิต เพื่ออยากได้รับแรงบันดาลใจจากในนั้น มาเติมเต็มวิชาของสำนักเสื้อป่าน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าภาพที่แปลกประหลาดนับพันปี จะสร้างขึ้นมาเพื่อตบตาคนเท่านั้น

“หนึ่งเป็นกับหนึ่งตาย นี่มันคืออะไรกันแน่?”

เมื่อนึกถึงประสบการณ์การเดินทางระหว่างความเป็นและความตาย ทำให้ในใจของเยี่ยเทียนเกิดสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ ตอนที่เขากำลังทำความเข้าใจหลักความเป็นและความตายด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด แต่หลังจากที่สติกลับมาดังเดิมแล้ว จึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวต่อเจ้าสิ่งนี้

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเยี่ยเทียนจึงปล่อยพลังจิตออกมาเล็กน้อยใส่เข้าไปยังคัมภีร์เล่มนี้ และสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ พลังจิตสามารถเข้าไปในนั้นได้อย่างสบาย แล้วพลังดูดกลืนที่เกิดจากคำว่า “ตาย” จากการตรวจสอบก่อนหน้าก็ไม่มีอีกแล้ว

เมื่อสัมผัสได้ว่าตัวเองไม่ได้รับการข่มขู่คุกคามจากคัมภีร์เล่มนั้น เยี่ยเทียนจึงเดินไปข้างหน้าหยิบมันขึ้นมา ตอนที่มือของเขาสัมผัสกับคัมภีร์เล่มนั้น ในหัวของเขาจู่ๆ ก็มีตัวหนังสือปรากฏขึ้นมา แต่มันเลือนลางมาก ทำให้เยี่ยเทียนไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

“ดูเหมือนจะเป็นวิธีการใช้คัมภีร์เล่มนี้? ให้ตายเถอะ ทำไมถึงเลือนรางขนาดนี้?”

เยี่ยเทียนพยายามที่จะดูสิ่งที่ปรากฏในหัวเป็นอย่างมาก แต่ก็เหมือนกับมีหมอกกั้นอีกหนึ่งชั้น ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางตรวจดูได้ ทำให้เยี่ยเทียนอดพูดคำหยาบออกมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่เกิดการเชื่อมโยงกับตัวเองแล้วแท้ๆ แต่กลับหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ

เยี่ยเทียนพยายามส่ายศีรษะอย่างแรง แต่ตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่ในหัวก็ยังมองไม่ชัดเจนอยู่ดี เขาจึงได้แต่ย้ายสายตามองไปที่คัมภีร์ที่อยู่ในมือ

ถึงจะพูดว่าเป็นคัมภีร์ แต่ความจริงรวมปกหน้ากับปกหลังแล้ว มีกระดาษเพียงสี่หน้าเท่านั้น แบ่งเป็นสองสีคือสีดำกับสีขาว และไม่รู้ว่ากระดาษทั้งสี่หน้านี้ทำมาจากวัสดุอะไร สองมือของเยี่ยเทียนใช้แรงเพียงเล็กน้อย อย่าว่าจะฉีกให้ขาดเลย แม้แต่รอยนิ้วมือก็ไม่มีหลงเหลืออยู่บนกระดาษ

“บ้าเอ้ย หรือนี่คือคัมภีร์สวรรค์ไร้ตัวอักษร?”

บนกระดาษทั้งสี่หน้า นอกจากหน้าปกคำว่า “เป็น” กับปกหลังคำว่า “ตาย” แล้ว ก็ไม่มีตัวหนังสืออื่นอีกเลย แม้ ว่าเยี่ยเทียนจะพยายามปล่อยพลังจิตเข้าไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ อยู่บนนั้น

“คุณเยี่ยครับ คุณเยี่ยอยู่ไหมครับ?”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะทำความเข้าใจคัมภีร์เล่มนี้อย่างละเอียด จู่ๆ เสียงตะโกนของกู้ต้าจวินก็ดังเข้ามา

“คุณเยี่ย ดูเหมือนโจวเซี่ยวเทียนจะบาดเจ็บหนัก กำลังสลบอยู่ แบบนี้…ต้องไปส่งโรงพยาบาลก่อนดีไหมครับ?”

“อะไรนะ? เซี่ยวเทียนบาดเจ็บหนัก?”

หลังจากได้ยินคำพูดของกู้ต้าจวินแล้ว เยี่ยเทียนจึงตื่นขึ้นทันที มือหนึ่งจับคัมภีร์ จากนั้นก็ลดตัวต่ำลง แล้วจึงกระโดดพรวดออกมาจากหน้าต่างที่แหลกละเอียด กู้ต้าจวินยังไม่ทันกระพริบตา เยี่ยเทียนก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาราวกับภูติผี

“อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บหมดแล้ว ผมสะเพร่าเอง ตอนนั้นไม่ควรให้เซี่ยวเทียนอยู่ในห้อง!”

เยี่ยเทียนยื่นนิ้วมือขวาสองนิ้วออกมาแล้วตรวจไปยังชีพจรที่ข้อมือของโจวเซี่ยวเทียน หลังจากไม่กี่นาทีผ่านไป เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมา ตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ตัวเขาเองจึงทุ่มไปที่การต้านทานแรงกดดันทั้งหมด โดยไม่ได้ตรวจดูสถานการณ์ของโจวเซี่ยวเทียนให้ละเอียด จึงคาดไม่ถึงว่าเขาจะบาดเจ็บหนักขนาดนี้

สถานการณ์ของร่างกายโจวเซี่ยวเทียนในเวลานี้ เหมือนกับถูกรถไฟชนอย่างรุนแรง อวัยวะภายในทั้งหมดล้วนได้ รับความเสียหาย และมีบางส่วนที่ทะลุ ถ้าหากร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนไม่มีวรยุทธในระดับโฮ่วเทียนขึ้นสูงสุด กับพลังชีวิตและพลังฟื้นฟูที่แข็งแกร่งล่ะก็ เกรงว่าเขาน่าจะเสียชีวิตแล้ว

“ชีวิตไม่เป็นไร แต่บาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าจะมีความยากลำบากต่อการเลื่อนขั้นสู่ระดับเซียนเทียนในภายหลัง!”

จากนั้นเขาจึงนำยาวิเศษยัดเข้าไปในปากของโจวเซี่ยวเทียน แล้วเยี่ยเทียนก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น

………………………….