ฉีเจิ้นนั้นมองดูเย่หยวนพร้อมกล่าวคำทั้งหลายนั้นออกมาด้วยสีหน้าดูถูก
การประลองโอสถที่เกิดขึ้นนั้นมันทำให้ตัวเขาตื่นตกใจอย่างมาก และยังทำให้ตัวเขารู้สึกถึงความด้อยค่าของตนเองขึ้นมาจับใจ
แต่แล้วมันทำไม?
มีหรือที่เผ่ากิเลนของเขานั้นจะส่งมอบสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ขั้นสุดออกมาง่าย ๆ?
ถามว่าสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ขั้นสุดนั้นมันคือสิ่งของระดับใด?
มันย่อมจะเป็นยอดสมบัติในระดับเดียวกับศิลาจารึกบัลลังก์พิภพหรือไข่มุกสยบวิญญาณ!
สมบัติเช่นนี้มันเหนือล้ำฟ้าดินช่วยให้ผู้ถือครองได้พบเจอโชคลาภนับไม่ถ้วน
ที่เย่หยวนเป็นเย่หยวนได้ในทุกวันนี้เองมันก็เป็นเพราะว่าตัวเขานั้นมีสองสมบัตินั้นอยู่ในมือด้วย
สมบัติเช่นนั้นต่อให้จะเป็นกับเผ่ากิเลนแล้ว พวกเขาก็คงไม่อาจจะเอามันออกมาปล่อยทิ้งได้ง่าย ๆ
หากมิใช่เพราะว่ากระดูกจักรพรรดิกิเลนมันทรงค่าเหนือล้ำแล้วตัวฉีเฉินเองก็คงไม่กล่าวพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้รู้ว่าไร้โอกาสชนะ พวกเขากลับเลือกที่จะใช้วิธีการหน้าไม่อายเช่นนี้มาบอกล้างการเดิมพัน
ฉีเจิ้นนั้นย่อมไม่คิดจะสนใจคิดเย่หยวนเป็นจริงเป็นจัง เพราะต่อให้จะเป็นรองมหาปราชญ์แต่ตัวเขาก็ย่อมจะไม่อาจอยู่สูงล้ำหัวเผ่ากิเลนไปได้
“เช่นนั้นหรือ? หากข้ารั้งเจ้าไว้ไม่ได้ แต่สิ่งนี้เล่า?”
เย่หยวนยิ้มเย้ยขึ้นพร้อมหยิบเอากระดูกจักรพรรดิกิเลนออกมา
เมื่อกระดูกจักรพรรดินี้ปรากฏมันย่อมปล่อยคลื่นพลังรุนแรงมหาศาลลงมาปกคลุมฟ้าดินจนทำให้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายแทบจะหน้ามืดดับลง มันเป็นคลื่นพลังที่กดหัวใจผู้คนลงสู่พื้นดิน
เหล่าผู้คนทั้งหลายในที่นี้ต่างหน้าซีดเผือดลง!
ในวันนั้นที่เย่หยวนได้นำเอากระดูกจักรพรรดิออกมานั้น เขาไม่ได้เปิดใช้พลังของมันแม้สักเศษเสี้ยว
คลื่นพลังที่พวกเขาทั้งหลายสัมผัสได้ในวันนั้นมันย่อมจะเป็นพลังตามธรรมชาติปกติของกระดูกจักรพรรดิเท่านั้น
แต่ในวันนี้คลื่นพลังจากกระดูกจักรพรรดิกิเลนนี้มันถูกปล่อยออกมาเต็มที่จนทำให้แม้แต่เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายก็ยังต้องหน้าซีด
แน่นอนว่าสุดท้ายมันก็ทำได้แค่นั้น มันไม่ได้ทำให้เย่หยวนมีพลังจะต่อสู้กับเทพสวรรค์ใด ๆ ได้
เพียงแค่ว่ามันมีคนหนึ่งที่แตกต่างออกไป!
คนผู้นั้นย่อมจะเป็นฉีเจิ้น
เพราะกระดูกจักรพรรดินี้มันเป็นสิ่งของจากยุคโบราณเป็นตัวตนระดับบรรพบุรุษรุ่นเก่าก่อนของเผ่ากิเลน พลังของสายเลือดในกระดูกนี้มันจะรุนแรงหนักหน่วงปานใดต่อหน้าเผ่ากิเลนทั้งหลาย?
คลื่นพลังกดดันระดับนั้นมันเกิดขึ้นในส่วนลึกของสายเลือดและจิตวิญญาณ
“คุกเข่าลง!”
เย่หยวนร้องบอกด้วยเสียงดังสนั่นฟ้าดิน ด้วยพลังของกระดูกจักรพรรดิแล้วมันจึงยิ่งทำให้เสียงนี้สั่นสะท้านทำให้โถงใหญ่ถึงกับสั่นคลอน
สมองของฉีเจิ้นนั้นห้ามไม่ได้คุกเข่าลง
แต่ทว่าร่างกายและจิตวิญญาณของเขานั้นมันกลับไม่ฟัง
มันราวกับว่าในร่างกายนี้มีมารร้ายเข้าควบคุม ค่อย ๆ สั่งการให้เขาคุกเข่าลง ๆ
ฉีเจิ้นจึงได้คุกเข่าลงในที่สุดด้วยร่างกายที่สั่นกลัว
แค่มองจากสภาพในตอนนี้คนทั้งหลายก็รู้ได้ทันทีว่าเขาพยายามจะห้ามตัวเองไว้หนักหนาปานใด
เพียงแค่ว่ามันไม่มีผล!
พลังที่รุนแรงกดดันในสายเลือดเช่นนี้ ร่างกายเขาย่อมไม่อาจจะฟังคำสั่งจากตัวเขาได้อีก!
เมื่อฉีเจิ้นคุกเข่าลงนั้นคลื่นความอัปยศก็ได้พุ่งทะยานขึ้นในใจเขาทันที
เขาหันไปมองที่เย่หยวนอย่างเย็นเยือกก่อนจะร้องกล่าวตะโกน “เย่หยวน เจ้ากล้าฉีกหน้าข้าหรือ? ฉีกหน้าเผ่ากิเลนนี้เจ้าจะได้ตายอย่างไร้ที่กลบฝัง!”
ทุกผู้คนต่างเปิดปากกว้างขึ้นมองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่คิดอยากเชื่อสายตา
ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์อย่างกงหยางเลี่ยเองก็ยังต้องเบิกตากว้างมองดูเรื่องราวนี้ด้วยตาไม่กะพริบ
ตัวตนในตำนานอย่างเผ่ากิเลนนั้นมันมิใช่แค่ตัวตนของพวกเขาที่แข็งแกร่งเหนือใคร อำนาจของเผ่านี้มันก็สูงล้ำกว่าเผ่าใด ๆ จะเทียบเคียง
แม้ว่าตัวเขาจะเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์แต่เมื่อได้เห็นยอดอัจฉริยะเผ่ากิเลนอย่างฉีเจิ้นนี้ตัวเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะยอมถอย
แต่เย่หยวนกลับใช้วิธีเช่นนี้บังคับให้อีกฝ่ายคุกเข่า?
“ท่านรองมหาปราชญ์ เรื่องนี้…มันจะไม่เหมาะสมหรือไม่?” กงหยางเลี่ยพยายามพูดเตือน
แต่เย่หยวนนั้นไม่ได้คิดสนใจและหันไปมองหน้าฉีเจิ้นอย่างดุดัน “สายเลือดเจ้าสูงส่งมาก? เจ้าองอาจเหนือใคร? เจ้าคิดใช้พลังอำนาจนั้นรังแกผู้คน? หน้าไม่อายขนาดนี้? ข้าจะบอกเจ้าให้ ต่อหน้าข้าแล้วความองอาจใด ๆ ของเจ้ามันก็ไร้ค่า!”
“ข้าไม่ต้องการขวดหยกสุทธิเพลิงแท้นั้นมากมาย การเดิมพันใด ๆ จะลบล้างเสียก็มิใช่ปัญหา ข้าเย่หยวนนี้มิใช่คนไร้เหตุผล! แต่เผ่ากิเลนเจ้ากลับมาใช้ความสูงส่งของสายเลือดดูถูกผู้คนทั่วฟ้าดิน คิดลบล้างการเดิมพันด้วยวิธีการหน้าไม่อาย ที่แท้เทพสวรรค์ของพวกเจ้านี้มันก็มีคำพูดไม่ต่างจากผายลม!”
“หากเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่วันนี้เจ้ากลับเดินเข้ามาหาข้าพร้อมหาเรื่องข่มขู่ คิดจะให้ข้าส่งมอบกระดูกจักรพรรดิกิเลนให้! หากมันสักครั้งหรือสองครั้งข้ายังจะพอทน แต่พวกเจ้านี้กลับคิดว่าเย่หยวนผู้นี้เป็นแค่คนอ่อนแอจะยอมถูกรังแกโดยไอ้ใครหน้าไหนอย่างไรก็ได้? หา?”
เย่หยวนร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดันราวกับว่าตัวเขานั้นได้ถูกเทพแห่งสงครามเข้าสิง
เมื่อเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายได้ยินคำกล่าวของเย่หยวน พวกเขาทั้งหลายเองก็ต่างได้แต่ถอนหายใจ
แน่นอนว่าแม้เย่หยวนจะยังเป็นแค่เด็กหนุ่มหากเทียบกับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล แต่เขานั้นกลับไม่มีความเคียดแค้นไม่ยอมคนใด ๆ อย่างที่เด็กหนุ่มควรมี
ต่อให้จะเป็นตอนที่ฉือเซียวไปทำตัวโอหังต่อหน้าเขา เย่หยวนก็ยังแค่บอกปัดมันไปด้วยรอยยิ้มง่าย ๆ
แต่เผ่ากิเลนนี้มันทำเกินไป
เรื่องราวในวันนั้นผู้คนในที่นี้ต่างได้รับรู้มาสิ้น
เมื่อฉีหยุนเห็นเย่หยวนก็คิดจะสั่งให้เย่หยวนส่งมอบกระดูกจักรพรรดิกิเลนให้ด้วยท่าทางสุดเย่อหยิ่ง
จากนั้นก็เป็นฉีโหยวที่กระโดดเข้ามาร่วม
จากนั้นไปอีกก็เป็นฉีเฉิน เทพสวรรค์ขั้นปลายนั้นที่เข้ามาทำตามลูกหลาน
แม้จะได้ยินถึงชื่อเสียงของเย่หยวนว่าเป็นใครจนได้เข้าใจว่าคงใช้กำลังด้วยไม่ได้ อีกฝ่ายนั้นก็ยังคิดจะใช้แผนการเพื่อแย่งชิงของไป
แต่หลังจากได้เห็นความเก่งกาจของเย่หยวน เผ่ากิเลนนี้กลับกลืนน้ำลายตัวเองลงไปง่าย ๆ!
หากแค่อยากจะกลืนน้ำลายกลับคำพูดก็ยังพอว่า แค่เข้ามาว่ากล่าวกันดี ๆ เป็นอันพอ
เดินก้มหัวเข้ามายอมรับผิด เย่หยวนเองก็คงไม่คิดจะสานต่อเรื่องราวให้ยาวยืด
แต่ทั้ง ๆ อย่างนั้นฉีเจิ้นก็กลับยังเดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยท่าทางราวกับตนเป็นหนึ่งในหล้า คิดล้มเลิกการเดิมพันด้วยวิธีแสนไร้ยางอาย ทั้งยังข่มขู่จะให้เย่หยวนส่งกระดูกจักรพรรดิออกมาอีก
ต่อให้จะพระโพธิสัตว์ก็ยังโกรธเป็น ไม่ต้องพูดถึงเย่หยวนคนนี้เลย ยอดอัจฉริยะหนุ่มที่ได้รับตำแหน่งสูงเทียบเท่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลตั้งแต่อายุยังน้อยคนนี้
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ปานใดมันก็ต้องมีขอบเขตบ้าง
เพียงแค่ว่าพวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่คิดว่ากระดูกจักรพรรดิของเย่หยวนนี้จะมีพลังรุนแรงถึงขั้นสามารถทำให้ฉีเจิ้นที่เป็นเทพสวรรค์คุกเข่าลงด้วยคำพูดเดียว
“เจ้าองอาจมาก? สายเลือดเจ้าสูงส่งมาก? เช่นนั้นข้าจะเหยียบย้ำมันลงใต้เท้าให้ดู!”
พูดจบเย่หยวนก็ยกเท้ากระทืบลงบนใบหน้าของฉีเจิ้นลงหัวเขาตกลงไปแนบติดพื้น
คลื่นพลังของการกระทืบนี้มันทำให้พื้นดินแตกกระจาย
แต่แน่นอนว่ากำลังนี้ของเย่หยวนมันย่อมไม่ได้ทำร้ายฉีเจิ้นมากมาย แค่ทำให้รู้สึกเจ็บน้อย ๆ เท่านั้น
แต่ความอับอายที่เขาต้องเผชิญนี้มันเหนือล้ำกว่าครั้งไหน ๆ
เขานั้นได้แต่กัดฟันพูดออกมา “เย่หยวน หากเจ้ากล้าจริงก็สังหารข้า! ตราบเท่าที่เจ้าไม่สังหารข้าลง ข้าย่อมจะกลับมาขูดเลือดหักกระดูกเข้าให้เป็นฝุ่นผง!”
เผ่ากิเลนนั้นสูงส่งปานใด? เรื่องราวในวันนี้มันจึงจะกลายเป็นความอับอายชั่วชีวิตของเขา มีหรือที่ตัวเขาจะไม่โกรธแค้น?
แต่คำขู่ที่พูดแก่เย่หยวนนี้ เขาไม่ได้เกรงกลัวว่าเย่หยวนจะคิดสังหารเขาลงจริง ๆ
เพราะแค่การฉีกหน้าเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้มันก็คงแทบจะเกินกว่าที่เย่หยวนจะทำได้แล้ว
เย่หยวนจะกล้าสังหารฉีเจิ้นจริง ๆ?
ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นมันย่อมจะมิใช่สิ่งที่เย่หยวนแบกรับได้!
เว้นเสียแต่ว่าตัวฉีเจิ้นนั้นจะประเมินเย่หยวนต่ำไป
เขานั้นเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้จะเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์มาเองมันก็คงไม่อาจทำให้เย่หยวนก้มหัวลงได้ ไม่ต้องพูดถึงคนอย่างฉีเจิ้นนี้เลย
เวลานี้ในแววตาของเย่หยวนมันจึงได้ปรากฏจิตสังหารรุนแรงขึ้นพร้อมด้วยดาบกระดูกที่ปรากฏขึ้นในมือ
“หึ ๆ เจ้าคิดว่าตนเองที่เผ่ากิเลนเป็นเบื้องหลังแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า? ในเมื่อเจ้าขอมาข้าก็จะส่งเจ้าไปให้เอง! ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าพวกเผ่ากิเลนมันจะทำอะไรข้าได้!”
……………..