ตอนที่ 991 กลับสู่นิกายยอดบริสุทธิ์

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

“น่าจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้เหลือเวลาก่อนค่ายกลเคลื่อนย้ายจะเปิดอีกไม่ถึงครึ่งวัน หากไม่มีคนกำลังเร่งเดินทางมาก็คง…” ฉิวหลงจื่อโบกมือเอ่ยอย่างไร้ชีวิตชีวา

“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดศิษย์พี่จินจึงไม่อยู่ หรือว่าเขา?” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เขาเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง

“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวครั้งหนึ่ง ศิษย์พี่จินจึงถูกพลังชั้นจำกัดของที่แห่งนี้เคลื่อนย้ายออกไปแล้ว” ฉิวหลงจื่อส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเล่าเรื่องที่พวกจินเทียนชื่อถูกเผ่าเกล็ดผลึกหนึ่งในสุดยอดเผ่าทั้งสามซุ่มโจมตีให้ฟังสั้นๆ

หลิ่วหมิงฟังจบแรกสุดตกตะลึงแต่จากนั้นก็เข้าใจ

หลังจากนั้นเขาก็สนทนากับพี่น้องโอวหยางสองสามประโยค

พูดไปแล้วในใจเขาก็ละอายอยู่บ้าง การปกป้องพี่น้องโอวหยางเป็นสิ่งที่ตนเองสัญญาไว้ แต่หนึ่งปีนี้ตนอยู่กับสตรีทั้งสองนางเพียงแค่เดือนกว่าๆ ในช่วงแรกเท่านั้น

แต่สตรีทั้งสองไม่ใส่ใจสักนิด ตรงกันข้ามถ้อยคำที่เอ่ยยังเผยความเป็นห่วงที่มีต่อเขา เรื่องนี้ทำให้หลิ่วหมิงซึ้งใจอยู่บ้างอย่างห้ามไม่ได้

หลังจากเขากับหลงเหยียนเฟยสนทนากันเรื่อยเปื่อยสองสามประโยค เขาก็เดินไปด้านข้าง เอาแต่นั่งทำสมาธิรอคอยอย่างสงบ

ระหว่างทางที่กลับมาเขาพบเรื่องยุ่งยากบางอย่างจึงเสียเวลาไปไม่น้อย เพื่อไม่ให้พลาดเวลาเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นเขาจึงเดินทางเต็มกำลัง เสียพลังเวทไปมากมายนัก เวลานี้ต้องฉวยโอกาสสุดท้ายฟื้นพลังสักหน่อย

เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย สุดท้ายก็ไม่มีใครโผล่มาอีก

หนึ่งชั่วยามให้หลัง ในห้องโถงใหญ่ใต้วิหารหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์บนโลกมนุษย์ เทียนเกอเจินเหรินผู้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาศิลามังกรขดสีน้ำเงินต้นหนึ่งขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม

“เทียนเกอ แม้เลี่ยหยางจะถูกเคลื่อนย้ายออกมา แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องว้าวุ่นใจเช่นนี้ ครั้งนี้พวกเราได้อันดับหนึ่งมาจากงานประตูสวรรค์ โชคชะตาหลายร้อยปีต่อจากนี้จะรุ่งเรืองเฟื่องฟู เชื่อว่าศิษย์เหล่านั้นที่เหลือน่าจะมีโชค ไม่น่าเวทนาอย่างพวกเราเมื่อตอนนั้น” ผู้เฒ่าใบหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งบนเสาศิลามังกรขดอีกต้นเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”

เทียนเกอเจินเหรินฟังแล้วก็พยักหน้าให้ผู้เฒ่าผู้นั้น

“ตอนนั้นพวกเราสองคนโชคดีรอดออกมาจากเศษซากโลกบนแห่งนี้แต่ก็บาดเจ็บสาหัส สุดท้ายแม้จะผ่านมาถึงระดับดาราพยากรณ์ได้ แต่เส้นทางการฝึกฝนก็หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เฮ้อ…” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวอีกคนหนึ่งฉับพลันถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา

“ศิษย์น้อง เรื่องตอนนั้นอย่าเอ่ยถึงอีกเลย นับดูพวกเขาก็เข้าไปในเศษซากโลกบนเกือบจะครบหนึ่งปีแล้ว อาศัยยามที่พลังของเขตแดนระหว่างโลกอ่อนแอ ไม่สู้พวกเราเปิดทางเชื่อมเร็วขึ้นหน่อยให้พวกเขากลับมาเร็วขึ้นอีกนิด อย่าให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรที่เศษซากโลกบนอีก” ผู้เฒ่าใบหน้าอ่อนโยนเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ก็ดี อย่างไรก็เหลือเวลาไม่ถึงสองสามชั่วยาม คนที่ควรมาถึงก็น่าจะมาถึงแล้ว เทียนเกอ พวกเราลงมือกันตอนนี้เลยเถิด” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวเปลี่ยนสีหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

ผู้อาวุโสแซ่หานกับเทียนเกอเจินเหรินมองหน้ากันครั้งหนึ่งก็พยักหน้า สองมือทำท่าเคล็ดวิชาอย่างต่อเนื่อง ปากเริ่มท่องมนตร์งึมงำฟังยาก

“พรึ่บ” เสียงดังขึ้นหลายครั้ง เสาศิลามังกรขดสี่ต้นใต้เข่าของพวกเขาฉับพลันเปล่งแสงสีน้ำเงิน แสงเรืองรองส่องสว่างตกต้องค่ายกลบนพื้น

ค่ายกลยักษ์บนพื้นเปิดทางเชื่อมเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ เสียงครวญครางทุ้มต่ำดังขึ้น จากนั้นเสาศิลาสีน้ำเงินสี่ต้นก็มียันต์ลอยออกมาอย่างช้าๆ

ผ่านไปไม่นาน สีของเสาศิลาสีน้ำเงินก็เปลี่ยนเป็นสีเลือดอย่างน่าประหลาด เสาศิลาทั้งต้นถูกแสงสีแดงหุ้มไว้ในพริบตา ห้องโถงเต็มไปด้วยแสงสีแดงส่องสว่าง

ในตอนนี้เองท่าเคล็ดวิชาที่มือทั้งสี่คนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ทะยานร่างขึ้นมาลอยอยู่กลางอากาศ ยอดเสาศิลายิงแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งลงมาเบื้องล่าง

เสาศิลาสี่ต้นสั่นไหวไม่หยุด แสงสีแดงบนเสาศิลากลายเป็นเหมือนสายน้ำไหลทยอยเคลื่อนเข้าไปในค่ายกลบนพื้น

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นทั้งค่ายกลก็กลายเป็นน้ำพุสีแดง แต่สิ่งที่ผุดออกมาจากใจกลางค่ายกลกลับไม่ใช่น้ำพุไหลริน แต่เป็นหมอกจิตวิญญาณที่เหมือนสายน้ำไหล

“ค่ายกลเคลื่อนย้ายหวนกลับเปิดออกแล้ว หากพวกเขาอยู่ที่จุดตั้งต้นก็น่าจะสัมผัสได้” เทียนเกอเจินเหรินมองน้ำพุสีแดงบนพื้นแล้วเอ่ยขึ้นเช่นนี้

……

ในเวลาเดียวกัน ณ ขอบทะเลทรายอันรกร้างว่างเปล่า หลิ่วหมิงกำลังหลับตานั่งขัดสมาธิ

เพราะจะออกจากเศษซากโลกบนอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว เขาจึงกำลังวางแผนในใจว่าสมบัติกับวัตถุดิบชิ้นไหนจะส่งมอบให้นิกาย ส่วนชิ้นไหนจำต้องเก็บเอาไว้ให้ตนเอง

ตัวอย่างเช่นร่างตั้งต้นของมุกบรรพตธาราทั้งสิบสองลูก สมุนไพรยืดอายุขัยรวมทั้งสมุนไพรที่ช่วยทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นแท้เหล่านั้นเขาไม่มีทางส่งมอบให้นิกายเด็ดขาด แต่ดูจากกฎที่นิกายตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ต้องมอบของที่ได้มาจากเศษซากโลกบนสองในสามส่วนให้ หากตนต้องการเก็บสมบัติล้ำค่าไม่กี่ชิ้นนี้ไว้ ดูท่าหญ้าจิตวิญญาณกับสมุนไพรจิตวิญญาณที่ได้มาเหล่านี้จะยังไม่พอ

ขณะที่หลิ่วหมิงใคร่ครวญอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นเสียงครวญครางพลันดังขึ้นมาจากทะเลทรายเวิ้งว้าง แผ่นดินสั่นสะเทือนตามมา

ทันใดนั้นเสียงอสนีบาตก็ดังขึ้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางผืนฟ้า สะเทือนแก้วหูแทบดับ!

จากนั้นคลื่นสั่นสะเทือนระลอกแล้วระลอกเล่าก็ส่งมาจากลึกลงไปใต้ดินเบื้องหน้าทุกคน ราวกับว่ามิติกำลังฉีกออกจากกัน

พวกหลิ่วหมิงแปดคนเห็นเช่นนี้ก็พากันเปลี่ยนสีหน้าลุกขึ้นยืน

ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นเสาแสงสีแดงแสบตาต้นหนึ่งปรากฏขึ้นก่อนจะพังทลายกลายเป็นหมอกควันสีแดงหนาทึบครอบคลุมพื้นที่หลายสิบจั้ง ค่ายกลเคลื่อนย้ายมหึมาอันหนึ่งก่อตัวกลางหมอกสีแดง แลดูทรงพลังน่าตะลึง

“ดูท่าท่านประมุขกับผู้อาวุโสทั้งหลายจะเปิดค่ายกลก่อนเวลา พวกเราออกเดินทางตอนนี้เลยเถอะ” ฉิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับทุกคน

“ศิษย์พี่ฉิว ศิษย์พี่เวินจนวันนี้ก็ยังหายตัวไป พวกเราจะไม่รอแล้วหรือ” ศิษย์หนุ่มผมหยิกคนหนึ่งด้านหลังฉิวหลงจื่อเอ่ยปากถามขึ้นมา

“หลายวันก่อนข้าใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงหมื่นลี้ของนิกายสายในพยายามติดต่อศิษย์น้องเวิน แต่ไม่มีข้อความตอบ ครึ่งวันนี้ข้าใช้มุกสนองตอบสัมผัสดูอีกครั้งก็สัมผัสร่องรอยของศิษย์น้องเวินไม่ได้แม้แต่น้อย หากคาดไม่ผิด ศิษย์น้องเวินคงตายอยู่ในเศษซากโลกบนไปแล้ว แม้จะยังรอด แต่ก็อยู่ห่างเกินล้านลี้ ต่อให้ใช้ความเร็วสูงสุดเร่งเดินทางมาก็สายไปแล้ว” ฉิวหลงจื่อถอนหายใจ

ชายหนุ่มผมหยิกอับจนคำพูด

ระหว่างที่สนทนา ค่ายกลกลางทะเลหมอกก็ก่อตัวเป็นรูปร่าง ขอบเขตหดเล็กลงมาเหลือไม่กี่จั้ง ในค่ายกลแสงสีทองทอประกายระยิบระยับไม่หยุด ทั้งยังแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณอันอ่อนโยนบางอย่างออกมา

“ผู้อาวุโสทั้งหลายต้องเปลืองพลังเวทและทรัพยากรไม่น้อยเพื่อคงทางเชื่อมของค่ายกลนี้ น่าจะคงไว้ได้เป็นเวลาครึ่งก้านธูปเท่านั้น พวกเจ้าเข้าไปก่อนเถิด ข้าจะเป็นคนสุดท้ายรออีกสักหน่อย” ฉิวหลงจื่อหันกลับมาสั่งทุกคน

ชายหนุ่มผมหยิกกับศิษย์นิกายอยดบริสุทธิ์อีกคนได้ยินก็ทะยานร่างขยับเข้าไปในค่ายกลเบื้องหน้าทันที แสงสีแดงสว่างวูบหนึ่ง พวกเขาสองคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ต่อจากนั้นหลงเหยียนเฟย พี่น้องโอวหยางกับหลัวเทียนเฉิงก็พากันเหยียบเข้าไปในค่ายกลถูกเคลื่อนย้ายจากไปด้วย

หลังจากหลิ่วหมิงเข้าไปในค่ายกล เบื้องหน้าก็ล้วนเห็นแต่สีแดงฉาน ทั้งร่างถูกบีบแน่นแล้วถูกกลืนหายเข้าไปในแสงสีแดงในฉับพลัน แสงส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่งเขาก็หายไปจากที่เดิม

เมื่อดวงตาทั้งสองของเขาลืมขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยืนอยู่ตรงสถานที่ซึ่งหนึ่งปีก่อนเดินทางจากไป หรือก็คือในห้องโถงใหญ่ใต้ดินของยอดเขาหลักนั่นเอง

พี่น้องโอวหยางกับพวกหลัวเทียนเฉิงยืนโงนเงนอยู่ด้านข้างคล้ายกำลังวิงเวียนจากการเคลื่อนย้าย

พวกเทียนเกอเจินเหรินกับผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ทั้งหลายยืนอยู่รอบด้าน

“หลิ่วหมิง ทำไมมีแค่พวกเจ้า? ฉิวหลงจื่อไม่ได้กลับมาด้วยหรือ?” เทียนเกอจินเหรินเห็นหลิ่วหมิงเหมือนจะยังมีสติแจ่มชัดอยู่จึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงทันที

“ตอบท่านประมุข ศิษย์พี่ฉิวยังเฝ้าอยู่ที่เศษซากโลกบน บอกว่าจะรอจนถึงนาทีสุดท้าย ว่าจะมีศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นกลับมาหรือไม่” หลิ่วหมิงรีบลุกขึ้นประสานมือเอ่ยตอบ

เทียนเกอเจินเหรินฟังแล้วก็ส่ายหน้าอย่างอดไม่ไหว สองมือขยับทำท่าเคล็ดวิชาอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลใจกลางห้องโถงมีน้ำพุสีแดงทะลักออกมาไม่หยุด แสงสีแดงส่องสว่าง

ราวครึ่งก้านธูปให้หลัง ลำแสงสีแดงหนาหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่งก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าเหนือวิหารหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์

“เปรี้ยง” เสียงดังสนั่น ลำแสงสีแดงทะลุผ่านวิหารหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ร่วงลงบนน้ำพุหมอกสีแดง ภายในนั้นชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งปรากฏตัว ฉิวหลงจื่อนั่นเอง

เทียนเกอเจินเหรินกับผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามคนหยุดท่าเคล็ดวิชาแล้วยิงเคล็ดวิชาหลายสายไปยังเสาศิลาสีน้ำเงินสี่ต้นอย่างพร้อมเพรียง

แสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นวูบหนึ่ง

เสาศิลาสี่ต้นก็ฟื้นกลับมาเป็นสภาพเดิมในพริบตา ค่ายกลกลางห้องโถงและน้ำพุหมอกสีแดงฉับพลันมลายหายไป

“ฉิวหลงจื่อคารวะท่านประมุขและผู้อาวุโสทุกท่าน”

ฉิวหลงจื่อสะบัดศีรษะเล็กน้อย เมื่อสติแจ่มชัดขึ้นจึงประสานมือเอ่ยกับทุกคน

“เจ้ากลับมาเพียงลำพังก็หมายความว่าคนอื่นจบชีวิตกันหมดแล้วจริงๆ” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยอย่างผิดหวังเล็กน้อย

“เรียนท่านประมุข เกรงว่าคงเป็นเช่นนั้น ครั้งนี้ผู้แซ่ฉิวนำคณะเดินทางไม่ราบรื่นจึงเสียศิษย์ไปมากมายเช่นนี้” ฉิวหลงจื่อเอ่ยอย่างละอายใจ

“เลี่ยหยางเล่าเรื่องที่พวกเจ้าพบส่วนใหญ่ให้พวกเราฟังแล้ว ครั้งนี้เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตนเอง กลับมาได้ก็ดีแล้ว” ผู้อาวุโสหน้าตาอ่อนโยนกระโดดลงมาจากบนเสาศิลาแล้วตบหัวไหล่ฉิวลงจื่อจากนั้นยิ้มให้น้อยๆ

ยามนี้พี่น้องโอวหยางกับพวกหลัวเทียนเฉิงเพิ่งทยอยได้สติกลับมา พวกเขาทยอยคารวะเทียนเกอเจินเหรินรวมถึงผู้อาวุโสทั้งสามคนอย่างหวั่นเกรง

“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าล้วนตื่นแล้วก็มาตรวจดูสิ่งที่พวกเจ้าได้มาจากครั้งนี้สักหน่อยเถิด ฉิวหลงจื่อเจ้าก่อนแล้วกัน” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยเสียงดังขึ้นกับทุกคน

แม้การเดินทางครั้งนี้มีเพียงคนเท่านี้ที่ออกมาได้ แต่ตามปกติแล้วทุกคนที่ออกมาได้ล้วนต้องมีสมบัติติดตัวมาไม่น้อย ผู้เฒ่าทั้งสองที่เวลานี้สีหน้าซีดเผือดอยู่บ้างก็เผยสีหน้าคาดหวังออกมาเล็กน้อยเช่นกัน

“ทราบแล้ว ท่านประมุข” ฉิวหลงจื่อขานตอบแล้วก้าวยาวมากลางห้องโถง เขายกมือขึ้น ยันต์เก็บของสี่ห้าแผ่นลอยออกมา

ห้านิ้วของเขากางออกจิ้มไปยังยันต์เก็บของ แสงเรืองรองห้าสีสายแล้วสายเล่ายื่นออกมาจากปลายนิ้วของเขาในพริบตา

“ฟู่” เสียงดังขึ้นหลายครั้ง ยันต์เก็บของระเบิดพร้อมกัน

ปราณจิตวิญญาณเปี่ยมล้นท่วมท้นเต็มห้องโถงใหญ่ หญ้าจิตวิญญาณและหินแร่ขนาดใหญ่น้อยไม่เท่ากันกองโตร่วงกระจายบนพื้นในทันใด แล้วยังมีกล่องหยกอีกหลายกล่อง ดูท่าแล้วน่าจะใส่อาวุธจิตวิญญาณกับอาวุธเวทไว้

แต่ว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุดในนั้นกลับเป็นนกยูงจิ๋วที่ทอแสงจิตวิญญาณสีเขียวอ่อนตัวหนึ่งที่ยืนอยู่บนกองหินแร่