เซียงอ๋องมองไปบนแท่นยกที่ห่างไป ประกายเย็นเยียบฉายขึ้นในดวงตา
ผู้นำตระกูลอู๋กับหญิงชราตระกูลมู่ท่ายังคงนิ่งเงียบประหนึ่งว่าไม่ได้ยินอะไร
โก่วหานสือส่ายหน้าเล็กน้อยให้ไป๋ไช่ บอกให้เขาใจเย็นไว้
รองเจ้าสำนักต้นไหวขมวดคิ้ว สีหน้าประหลาดใจผุดขึ้นบนใบหน้า
คนอย่างพวกเขาคาดคิดไว้นานแล้วว่าพระราชวังหลีจะคัดค้านการปิดอารามของสถานศึกษาหนานซี แล้วเฉินฉางเซิงก็ลุกขึ้นพูด
อาจารย์ย่าของสถานศึกษาหนานซีสองคนใจร้อนอย่างมากและไม่เข้าใจเฉินฉางเซิงมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
แต่เมื่อสถานศึกษาหนานซีมีเจตนาเป็นหนึ่งเดียว แล้วเขาจะทำอะไรได้
วิธีของเฉินฉางเซิงนั้นง่ายมาก
เมื่อไม่มีใครถามเขา เขาจึงถามตัวเองและตอบออกไป
คำตอบของเขามีคำเดียว
“ไม่”
ภาพนี้ทำให้ถังซานสือลิ่วนึกถึงไพ่นกกระจอกที่เขาเล่นในจวนเก่า ก็อดรู้สึกเศร้าอยู่บ้างไม่ได้
ในตอนนั้นประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังบอกว่าสามารถฆ่าถังซานสือลิ่ว และเฉินฉางเซิงก็พูดคำเดียวกันนี้
“ไม่”
แล้วในตอนนี้ เสียงเฉินฉางเซิงเบามากแต่ก็ดังกว่าเสียงร้องตะโกนของฝูงชนนับพัน ดังเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากสวรรค์เบื้องบน
เพราะเขาเป็นสังฆราช คำพูดทุกคนเป็นโองการศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้ศรัทธาหลายล้านคนทำตาม
“พวกเขาจะไม่ไปที่สำนักฝึกหลวงหรือพระราชวังหลี”
เฉินฉางเซิงชี้ไปที่ศิษย์ซึ่งคุกเข่าและกล่าว “เพราะสถานศึกษาหนานซีจะไม่ปิดอารามและที่นี่จะเป็นที่ที่พวกนางใช้ชีวิตและบำเพ็ญเพียร”
ไหวปี้โต้กลับคำพูดที่ดื้อดึงนี้อย่างโมโห “นี่เป็นเรื่องของสถานศึกษาหนานซี ข้าขอให้องค์สังฆราชอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยว”
ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ไหวเหรินก็มีสีหน้าสงบอบอุ่นอยู่เสมอ ต่อให้ยามที่มันดูเหมือนการปิดอารามจะถูกกำหนดไว้แล้ว นางก็คาดว่าเฉินฉางเซิงจะลุกขึ้นค้านแต่นางไม่คาดคิดว่าท่าทีของเฉินฉางเซิงจะตรงไปตรงมาจนถึงกับทื่อด้านเช่นนี้
“องค์สังฆราช คำพูดของข้าที่กล่าวต่อพระองค์เมื่อคืนนั้นขาดความเคารพ แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของสถานศึกษาหนานซีได้”
สีหน้าของไหวเหรินเคร่งเครียดขึ้นยามที่นางกล่าว น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนแต่ท่าทีกลับไม่อ่อนตาม
ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีต้นกำเนิดมาจากความแตกแยกในนิกายหลวง
นับตั้งแต่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนแรกก่อตั้งสถานศึกษาหนานซีขึ้น พระราชวังหลีก็สูญเสียอำนาจทั้งหมดเหนือศรัทธาเต๋าในฝ่ายใต้ไป อย่าว่าแต่เรื่องภายในของสถานศึกษาหนานซีเลย
แม้แต่สังราชก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นมือเข้ามาในเรื่องของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
นี่คือประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ที่ทุกคนให้ความเคารพ
มีผู้บำเพ็ญเพียรแดนใต้มากมายที่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของไหวเหริน แม้แต่โก่วหานสือก็พบว่ามันเป็นปัญหายากลำบากที่เขาก็สงสัยว่าเฉินฉางเซิงจะแก้ไขได้อย่างไร
ในตอนนั้นเอง อีกคนหนึ่งก็ยืนขึ้น คนที่ไม่มีใครคาดคิด
รองเจ้าสำนักต้นไหวยิ้มและกล่าว “คำพูดของผู้อาวุโสไม่ถูกต้อง ผู้อาวุโสได้เดินทางท่องโลกมาหลายปี ไม่สนใจเรื่องราวทางโลก คาดว่าคงไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างองค์สังฆราชกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่มีใครในต้าลู่ที่ไม่รู้เรื่องนี้ ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เรียกได้ว่าเป็นของพระองค์ครึ่งหนึ่ง แล้วพระองค์จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของสำนักได้อย่างไร”
คำพูดนี้ทำให้เซียงอ๋องขมวดคิ้ว หญิงชราตระกูลมู่ท่ายิ้มและผู้นำตระกูลอู๋ก็พยักหน้าหงึกๆ ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นกลับมีสีหน้าประหลาดอย่างมาก
ไม่นับเรื่องสัญญาหมั้นที่สะเทือนไปทั้งต้าลู่ การต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอก็เพียงพอที่จะสร้างข่าวลือว่าความรักของเฉินฉางเซิงต่อสวีโหย่วหรงนั้นลุกโชนขึ้นมา จนเขาอยากจะรื้อฟื้นการหมั้นหมายอีกครั้ง คนทั่วไปอาจคิดว่านี่เป็นความคิดข้างเดียวของเฉินฉางเซิง ทว่าในงานประชุมใหญ่จู่สือที่หานซาน มีหลายคนได้เห็นสวีโหย่วหรงช่วยเฉินฉางเซิงจากกระบี่ของกวนไป๋ และการร่วมเดินทางจากหานซานถึงจิงตูก็เป็นที่รู้กันไปทั่วแล้วในตอนนี้ หากไม่ใช่เพราะการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูที่เกิดขึ้นตามมา ทั่วทั้งต้าลู่คงได้แต่พูดเรื่องเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไปสองปีเต็ม ในตอนนี้ใครไม่รู้บ้างว่าสังฆราชเฉินฉางเซิงกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สวีโหย่วหรงมีความรักซึ่งกันและกัน เป็นคู่สวรรค์สร้าง
คำพูดไม่จริงจังของรองเจ้าสำนักต้นไหวนี้ทำให้ไหวปี้โมโหจนหน้าแดงก่ำ คิ้วชี้ขึ้นยามที่นางตะโกน “บังอาจ! ใครกล้าลบหลู่ชื่อเสียงของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องถามกระบี่ของข้าก่อน!”
เสียงพูดคุยบนที่ราบสูงค่อยๆ เงียบลง
ไหวปี้คว้ากระบี่ของนางและกล่าวกับเฉินฉางเซิงอย่างรุนแรง “องค์สังฆราชต้องการจะบีบให้ผู้เฒ่าคนนี้ใช้เลือดอาบที่แห่งนี้จริงหรือ”
เฉินฉางเซิงถามกลับ “ท่านกำลังขู่ข้าอยู่หรือ”
แม้แต่เซียงอ๋องที่เป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นคนที่ทรงอำนาจที่สุดในราชสำนักก็ยังต้องพูดกับเขาด้วยความเคารพ ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่เคารพออกมาแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ข่มขู่เขา แม้ว่านางจะเป็นอาจารย์ย่าที่มีอาวุโสสูงมากของสถานศึกษาหนานซีแต่นางกล้าทำหรือ
ไหวปี้ไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ลงมือ กระบี่ของนางส่งเสียงหึ่งๆ อย่างไม่พอใจ เจตจำนงกระบี่พุ่งออกจากฝักสร้างรอยขีดข่วนนับพันบนก้อนหินรอบกาย
ด้วยความเศร้าและโกรธเกรี้ยวนางแทบจะได้รับบาดเจ็บภายใน ไหวซู่รีบรุดมาพยุงนาง ส่งปราณแท้เข้าสู่ร่างไหวปี้เพื่อปกป้องเส้นทางแห่งจิตของนางเอาไว้
ไหวเหรินมองไปยังดวงตาเฉินฉางเซิงและกล่าว “เผ่ามารถอยทัพไปแล้วในตอนนี้ สถานศึกษาหนานซีต้องการที่จะปิดอาราม เราเพียงแค่ไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวและไม่อยากถูกคนทะเยอทะยานใช้เท่านั้น เมื่อเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกจากการกักตน นางสามารถเปิดอารามได้ทุกเมื่อ มีอะไรไม่เหมาะสมในการกระทำของผู้เฒ่าคนนี้หรือ”
“ข้าไม่มีเวลาที่จะตอบคำพูดของท่านเมื่อคืน คำตอบของข้าก็คือ ‘ไม่’ ”
เฉินฉางเซิงมองไปที่นางและกล่าว “ต่อให้ท่านเห็นด้วยกับการปิดอาราม คำตอบของข้าก็ยังคงเป็น ‘ไม่’ เรื่องในสำนักกับการปิดสำนักเป็นเรื่องที่ต่างกัน โหย่วหรงมอบเรื่องในสำนักให้ท่านดูแลเป็นการชั่วคราว แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกท่านคนใดจะมีสิทธิ์ตัดสินใจทำเรื่องที่สำคัญอย่างการปิดสำนักได้ ไม่มีศิษย์คนใดของสถานศึกษาหนานซีมีสิทธิ์”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ไหวเหรินและเผิงเซียนและกล่าว “นั่นรวมถึงพวกเจ้าด้วย”
ไหวปี้เย้ย “แล้วใครกันที่มีสิทธิ์ หรือว่าจะเป็นองค์สังฆราช”
เฉินฉางเซิงตอบ “ไม่ ข้าไม่มีสิทธิ์ คนเดียวที่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะปิดอารามหรือไม่ก็คือโหย่วหรง”
เซียงอ๋องผู้ไม่พูดอะไรออกมาตลอดเวลาพลันกล่าวขึ้น “พระองค์พูดมีเหตุผล เหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เราควรเชิญเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกจากการกักตนมาตัดสินใจ”
เฉินฉางเซิงพลันรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
เมื่อวานตรงหน้าผนังหินบนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เขาก็สัมผัสได้ถึงปัญหาอย่างเลือนราง ตอนนี้มันดูเหมือนปัญหาจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
หรือว่าราชสำนักและอาจารย์ของเขาต้องการที่จะใช้เรื่องนี้บีบสวีโหย่วหรงออกจากการกักตน
ทุกคนรู้ว่าการบีบให้ออกจากการกักตนนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ยิ่งเมื่อรวมกับการที่นางพยายามทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วยแล้ว
“ไม่จำเป็น ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
เฉินฉางเซิงไม่เปิดโอกาสให้เซียงอ๋องสร้างความปั่นป่วนในเรื่องนี้ได้ เขามองไปที่ไหวเหรินและกล่าว “ข้าเข้าใจดีว่ายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สำคัญกับนางเพียงใด ตอนนี้นางกำลังกักตนอยู่ ไม่อาจดูแลยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับเหล่าศิษย์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้อย่างที่นางรับปากอาจารย์ของนางไว้ ดังนั้นเรื่องนี้ย่อมต้องให้ข้าเป็นคนดูแล”
สาเหตุส่วนใหญ่ที่สวีโหย่วหรงกักตนก็มาจากเขา ดังนั้นย่อมเป็นเขาที่จะแบกรับความรับผิดชอบ อย่างเช่นการปกป้องยอดเขานี้
ไหวเหรินถามอย่างรุนแรง “หรือว่ากฎของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ข้าก็ต้องให้พระองค์ตัดสินใจด้วย”
เฉินฉางเซิงตอบ “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ สังฆราชทำความเข้าใจกฎ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานับปีไม่ถ้วนแล้ว หรือว่าท่านเชื่อว่ายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนิกายหลวง”
ก่อนหน้านี้ไหวเหรินพยายามใช้ประวัติศาสตร์และกฎเพื่อทำให้เขายอมรับ ตอนนี้เขาก็ใช้ประวัติศาสตร์และกฏบ้าง นางไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับเหตุผลของเขา
แม้ว่ายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะเป็นของนิกายฝ่ายใต้ สำหรับผู้ศรัทธาหลายล้านคนและเหล่าศิษย์ ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของนิกายหลวงอยู่
อย่าว่าแต่อาจารย์ย่าทั้งสาม แม้แต่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในประวัติศาสตร์ฟื้นคืนชีพขึ้นมา พวกนางก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
ไหวเหรินนิ่งเงียบไปไม่พูดอะไรอีก
เห็นศิษย์พี่อยู่ในสภาพนี้ ไหวปี้ก็ยิ่งโมโหมากขึ้น จึงตะโกนขึ้น “อย่างน้อยเราก็ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพระราชวังหลี แล้วเหตุใดเราต้องยอมรับกฎของเจ้าด้วย”
เมื่อคิดถึงคำสัญญาของปรมาจารย์เต๋าจะทำให้นางหงุดหงิดมาก นางถึงกับลืมที่จะเรียกเฉินฉางเซิงอย่างเหมาะสม
เฉินฉางเซิงมองไปที่นางและกล่าว “ข้าคือสังฆราช ข้าคือผู้เข้าใจในกฎของนิกาย หรือว่ายอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของนิกายหลวง”
นี่เป็นคำถามเดิม แต่เมื่อกล่าวซ้ำ มันก็ดูแข็งขืนยิ่งขึ้นไปอีก
แรงกดดันของสถานการณ์ทำให้เส้นทางแห่งจิตของไหวปี้ไม่มั่นคง นางโมโหถึงขีดสุดตะโกนออกไป “ต่อให้ไม่ใช่แล้วจะทำไม”
เฉินฉางเซิงจ้องตานางและกล่าว “หากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของนิกายหลวง แล้วมีสิทธิ์อะไรศึกษาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ พรุ่งนี้ข้าจะประกาศเรื่องนี้ต่อโลก แล้วส่งทหารม้านิกายหลวงมาล้อมยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ถอนศิลาจารึกที่คัดลอกแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไป ตัดขาดการสืบทอดของสถานศึกษาหนานซีและปล่อยให้ท่านปิดอารามได้ตามใจ”
ไหวเหรินนึกถึงบทสนทนาเมื่อคืน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในทันที
นางกล่าวกับเฉินฉางเซิงว่าการ ‘ปิดอาราม’ ของสถานศึกษาหนานซีมีสามแบบด้วยกัน
การปิดอารามที่เฉินฉางเซิงพูดถึงย่อมเป็นอย่างสุดท้าย
สถานศึกษาหนานซีจะถูกตัดการสืบทอด เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระราชวังหลี กลับคืนสู่ธรรมเนียมของนิกายหลวง!