ตอนที่ 1006 ความเปลี่ยนแปลงของหานโม่ฉือ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากใช้เวลาอยู่ในนิกายกระบี่สายฟ้าสองถึงสามวัน สถานการณ์ของสมาชิกจากนิกายหมื่นบุปผาทุกคนก็เข้าที่เข้าทางแล้ว

นิกายกระบี่สายฟ้าเต็มไปด้วยผู้คนที่จริงใจและแสดงความต้อนรับต่อทุกคนด้วยความยินดี เพราะเหตุนั้น ศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาที่ย้ายเข้ามาใหม่จึงสบายใจกันอย่างยิ่งและไม่รู้สึกอึดอัดกันแม้แต่น้อย

ในฝั่งของนิกายหมื่นบุปผา การที่ศิษย์ส่วนใหญ่เลือกออกจากนิกายส่งผลให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของนิกายลดน้อยลงไปมาก ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้มีข่าวกระจายออกไปและมีการรับสมัครศิษย์เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่านิกายหมื่นบุปผาร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจมาเป็นเวลานานแล้วก็แพร่กระจายไปทั่วดินแดนเช่นกันและมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่เลือกจะสมัครเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผา

ในเวลาเดียวกัน ขุมกำลังจำนวนหนึ่งก็แสดงจุดยืนของตนออกมาโดยประกาศว่าร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจเช่นกัน

ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สามสำนักและเก้านิกายจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายไปโดยปริยาย

สำนักเมฆาคราม สำนักเบิกภูผา นิกายกระบี่สายฟ้า นิกายนภาคราม นิกายธาราแดง นิกายมังกรฟ้า นิกายพยัคฆ์ขาวและนิกายหงส์แดงยังคงร่วมมือกันและไม่ถูกแทรกแซงโดยจอมยุทธ์ปีศาจ ส่วนขุมกำลังที่เหลือได้แก่ สำนักห้าขุนเขา นิกายเมฆาล่องลอย นิกายหมื่นบุปผา และนิกายเต่าดำก็ยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจไปนานแล้ว

ขุมกำลังของฝ่ายจอมยุทธ์ปีศาจและฝ่ายดินแดนมหาเทพก็ประกาศเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างชัดเจนส่งผลให้สถานการณ์ทั่วทั้งดินแดนติดอยู่ในสภาวะจนมุมไปชั่วคราว

แม้ขุมกำลังฝ่ายจอมยุทธ์ปีศาจซึ่งนำโดยสำนักห้าขุนเขาจะอ่อนแอกว่า ทว่าพวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากจอมยุทธ์ปีศาจ เพราะฉะนั้นแล้วการเอาชนะคนเหล่านี้จึงมิใช่เรื่องง่าย

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายจอมยุทธ์ปีศาจก็กำจัดฝ่ายของดินแดนมหาเทพไม่ได้ง่าย ๆ เช่นกัน

เพราะเหตุนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงติดอยู่ในสภาวะจนมุมชั่วคราวและไม่มีฝ่ายใดที่เปิดฉากลงมือ ราวกับมีข้อตกลงตรงกันโดยไม่ต้องใช้วาจาและทั้งสองฝ่ายกำลังเฝ้ารอการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของการประชันฝีมือระหว่างสามสำนักและเก้านิกาย

หลังจากออกจากนิกายกระบี่สายฟ้าไปนานเจ็ดวัน ในที่สุดหานโม่ฉือก็กลับมา

ภายในห้องพัก ฉินอวี้โม่เอนกายพิงไหล่อันอบอุ่นของหานโม่ฉือและฟังเขาเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้

เมื่อหลายวันก่อน หานโม่ฉือสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่คล้ายคลึงกับพลังในร่างของตน เขาจึงออกจากนิกายกระบี่สายฟ้าเพื่อไปตรวจสอบให้แน่ชัด และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ มีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดเขาอย่างแท้จริง หลังจากใช้เวลาหลายวัน เขาก็ได้สิ่งนั้นมาครอบครองและกลับมาที่นิกายกระบี่สายฟ้า

หานโม่ฉือในตอนนี้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างรู้สึกได้ ตอนนี้กลิ่นอายจากร่างของเขายากเกินหยั่งถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นความสูงส่งโอหังที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ ด้วยซ้ำ

แม้แต่ฉินอวี้โม่ที่อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ก็ยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น มันเป็นแรงกดดันที่แผ่ตรงเข้ามาถึงชั้นกระดูกซึ่งแผ่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด

“ตอนนี้พลังของเจ้าฟื้นฟูกลับมาเพียงใดแล้ว ?”

ฉินอวี้โม่สบตาหานโม่ฉือด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ นางสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและต้องการทราบถึงความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน

“ครึ่งหนึ่ง ข้ายังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่จะฟื้นฟูพลังจนถึงระดับสูงสุดได้”

หานโม่ฉือไม่ปิดบังความจริงจากฉินอวี้โม่ ความทรงจำของเขาค่อย ๆ ย้อนกลับคืนมาควบคู่กับพลังที่ฟื้นฟูขึ้น ตอนนี้เขาทราบหลายสิ่งหลายอย่างชัดเจนแล้วทว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะบอกมันกับฉินอวี้โม่ ศัตรูที่พวกเขาจะต้องเผชิญน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าจอมยุทธ์ปีศาจมากนัก ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน หากต้องต่อสู้กับคนเหล่านั้น เขาตระหนักดีว่าไม่มีโอกาสตอบโต้ได้อย่างแน่นอน

“โม่เอ๋อร์ เมื่อจัดการเรื่องวุ่นวายที่ดินแดนมหาเทพเสร็จสิ้น ข้าจะต้องแยกจากเจ้าเป็นการชั่วคราว”

หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดหานโม่ฉือก็กล่าวออกไป

ความแข็งแกร่งของเขากำลังฟื้นฟูกลับมาอย่างต่อเนื่องและในไม่ช้าก็เร็วตัวตนของเขาจะต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องการแยกตัวออกไปก่อนเพื่อช่วยยื้อเวลาให้กับฉินอวี้โม่ พลังของนางในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป หาก ‘คนเหล่านั้น’ พบเข้า เกรงว่านางจะต้องเผชิญกับปัญหาไม่รู้จบเป็นแน่

“ตกลง เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไปหาเจ้าเอง”

ฉินอวี้โม่ไม่เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความและพยักศีรษะพร้อมกล่าวอย่างหนักแน่น

“เอาล่ะ ตอนนี้คงจะเหลือเวลาอีกหนึ่งถึงสองปี ไม่ต้องรีบกังวลไปหรอก”

หานโม่ฉือโอบร่างบางเข้าหาอ้อมแขนและไม่ต้องการแยกจากนางแม้แต่อึดใจเดียว ทว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบีบบังคับให้พวกเขาต้องแยกจากกันเป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานพวกเขาก็จะได้พบกันอีกครั้ง และเมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจแยกทั้งสองออกจากกันได้อีก…

ในขณะเดียวกันกับที่ดินแดนมหาเทพกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ชะงักงัน ในเวลานี้ฉินอี้เฟยก็พาเด็กน้อยทั้งสองข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายและปรากฏตัวในเมืองเล็ก ๆ ภายในใจกลางดินแดนมหาเทพ

“ว้าวว ! ที่นี่คือดินแดนมหาเทพอย่างนั้นรึ ? สภาวะพลังของที่นี่หนาแน่นกว่าดินแดนเทพมายาถึงหลายสิบเท่า ช่างเป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ เลย !”

เสี่ยวอ้ายโม่ผู้ซึ่งขี่อยู่บนหลังสิงโตสง่างามสัมผัสถึงได้ถึงสภาวะพลังที่มหาศาลซึ่งหลั่งไหลเข้ามาในตัวและอดกล่าวด้วยความอัศจรรย์ใจไม่ได้

“ที่นี่คือดินแดนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า สภาวะพลังของมันย่อมอุดมสมบูรณ์เป็นธรรมดา เหตุใดจะต้องตื่นเต้นด้วยเล่า ?”

เสี่ยวอ้ายฉือกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยใจเย็นขณะชำเลืองมองเสี่ยวอ้ายโม่ด้วยแววตาเย้ยหยันเล็ก ๆ ก่อนหันกลับมาเอ่ยถามฉินอี้เฟย “ท่านลุงขอรับ เราจะออกไปสืบหาตำแหน่งของท่านพ่อและท่านแม่เลยหรือไม่ ?”

แม้จะมีอายุเพียงหกขวบ เด็กน้อยทั้งสองก็ชาญฉลาดอย่างยิ่ง เนื่องจากทราบดีว่าบิดามารดาของพวกตนยอดเยี่ยมและโดดเด่นกว่าผู้คนทั่วไป พวกเขาจึงมั่นใจว่าจะสืบหาข่าวได้ไม่ยากนัก

“ข้าก็อยากจะสืบหาเบาะแสของทั้งคู่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมืองนี้เป็นเมืองที่เล็กเกินไปและคนในเมืองนี้อาจไม่ทราบเบาะแสที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นอันดับแรกเราควรเดินทางไปที่เมืองใหญ่”

ฉินอี้เฟยพยักศีรษะและกล่าวแผนการออกไป หลังจากนี้เขาจะต้องจัดเตรียมให้เด็กน้อยทั้งสองอยู่ในที่พักให้เรียบร้อยก่อนออกมาสืบข่าวโดยลำพัง เพราะหากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีศัตรูใด ๆ อยู่ คนเหล่านั้นจะได้ไม่เล็งเป้าหมายมาที่เด็กน้อยทั้งสอง

หลังจากสอบถามเกี่ยวกับเมืองใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง ฉินอี้เฟยก็พาหลานทั้งสองมุ่งหน้าไปยังเมืองซัวเยว่ซึ่งเป็นเมืองรองที่ใกล้สุดทันที

เมืองซัวเยว่เป็นเมืองรองเมืองหนึ่งในมณฑลกลางของดินแดนมหาเทพ เมืองแห่งนี้ไม่ได้รุ่งเรืองมากนักทว่ามีผู้คนสัญจรเข้าออกอย่างไม่หยุดหย่อน

ทั้งสามกลมกลืนเข้ากับฝูงชนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายและไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใดจนเกินไป พวกเขาเดินหน้าเข้าสู่ตัวเมืองและติดต่อจองห้องพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

“พวกเจ้าคอยอยู่ที่นี่ล่ะ ข้าจะออกไปสืบข่าวสักพัก”

ฉินอี้เฟยกำชับกับเด็กน้อยทั้งสองก่อนมุ่งหน้าออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อไปยังสมาคมทหารรับจ้างของเมือง ไม่ว่าจะเป็นในดินแดนใด สมาคมทหารรับจ้างมักเป็นสถานที่ที่สืบหาข่าวคราวได้เร็วที่สุดและเป็นความจริงที่ทุก ๆ คนต่างก็ทราบดี

สมาคมทหารรับจ้างของเมืองซัวเยว่มีบรรดาจอมยุทธ์แวะเวียนผ่านเข้า-ออกอย่างไม่รู้จบ ทว่าฉินอี้เฟยก็มิใช่ผู้ที่มีความแข็งแกร่งโดดเด่นนักจึงไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษ

เมื่อก้าวเข้ามาในสมาคม เขาก็ไม่ได้รีบร้อนสืบหาข่าว ทว่าเดินไปนั่งลงในมุมหนึ่งอย่างเงียบ ๆ และแอบฟังบทสนทนาของผู้คนรอบตัว

“เจ้าได้ยินข่าวมาหรือไม่ที่ตอนนี้ดินแดนมหาเทพของเราถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งแล้ว ?”

ใครคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่ปิดบังและวาจาของเขากระตุ้นความใคร่รู้ของฉินอี้เฟยทันที

เนื่องจากไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่ ฉินเทียนและคนอื่น ๆ อยู่ที่ใด อีกทั้งอุปกรณ์สื่อสารที่มีก็ไม่สามารถติดต่อกับคนเหล่านั้นได้ เพราะเหตุนั้น เขาจึงต้องสืบทราบข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนมหาเทพก่อนที่จะหาทางสืบข่าวคราวของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ

“แน่นอนว่าข้าก็ได้ยินมา มันเป็นเพราะขุมกำลังใหญ่จำนวนหนึ่งยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจไปแล้วและนิกายหมื่นบุปผาก็แตกแยกจนเกือบจะล่มสลายไป ตอนนี้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของคนเหล่านั้นน่าจะตกเป็นอันดับรั้งท้ายในสามสำนักและเก้านิกายแล้ว”

จอมยุทธ์อีกคนตอบกลับทันที ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะไม่ทราบเรื่องใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าดินแดนมหาเทพถึงคราเปลี่ยนแปลงแล้ว ทว่าจอมยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งในระดับทั่วไปอย่างพวกเขาจะไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อสถานการณ์เช่นนี้

“ข้าได้ยินมาว่าผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผานำคณะศิษย์ส่วนใหญ่จากนิกายหมื่นบุปผาไปเข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้า ดูเหมือนว่านิกายกระบี่สายฟ้าจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะเทียบชั้นกับสามสำนักได้แล้ว หลังจากที่เกิดสงครามขึ้นมา เชื่อว่าอันดับพลังของขุมกำลังในดินแดนมหาเทพจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน”

จอมยุทธ์อีกคนกล่าวพร้อมถอนหายใจเบา ๆ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับดินแดนมหาเทพเช่นนี้

ในตอนนี้ ดินแดนมหาเทพที่เคยสงบสุขกำลังตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่…