ตอนที่ 1,003 ราชวงศ์หลี่ล่มสลาย
ชายชราวัย 60 ปีเศษ รายล้อมด้วยนักรบเกราะแดง ค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างแช่มช้า
“เฉียนเฟยเซวีย คุณชายเว่ยขอเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยง เจ้าได้รับคำเชิญสำคัญเช่นนี้ เหตุไฉนถึงรีบหนีมาโดยไม่บอกลาสักคำ”
ชายชราไว้เคราแพะ รูปร่างหน้าตาดาษดื่นธรรมดา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความดุร้ายและอำมหิต
“หลิวซยง เจ้ามันสุนัขรับใช้พวกตัวชั่วร้าย ยังกล้ามาเสนอหน้ากับข้าอีกหรือ?”
เฉียนเฟยเซวียดวงตาลุกวาวด้วยไฟแค้น ยินดีสละชีพของตนเองเพื่อสังหารชีวิตชายชราที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคนนี้
หลิวซยงหัวเราะในลำคอ ก่อนกล่าวตอบว่า “วาจาของเจ้าช่างหยาบคายยิ่งนัก เหตุไฉนเจ้าถึงต้องพูดจาเช่นนี้ด้วย? ข้าอุตส่าห์ตามเจ้ามาตั้งไกล เพื่อจะเชิญเจ้ากลับไปร่วมงานเลี้ยงดี ๆ ต่างหาก”
“เฮอะ!”
เฉียนเฟยเซวียแค่นเสียงพูดด้วยความโกรธแค้น “ฝ่าบาททรงเมตตาเจ้ามากมาย ตระกูลหลิวของเจ้ารับใช้ราชวงศ์หลี่มาหลายชั่วอายุคน พวกเจ้าได้กลายเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ประจำจักรวรรดิ คิดไม่ถึงเลยว่าในวันที่นครหลวงถูกตีแตก กลับเป็นพวกเจ้าที่นำกำลังพลออกมาไล่ล่าสังหารพวกเดียวกันเอง ไม่ทราบว่าเจ้ายังเป็นคนอยู่อีกหรือไม่?”
“นกน้อยย่อมเลือกทำเลหาอาหาร ข้าก็เป็นเพียงบ่าวที่ต้องเลือกนายให้ถูกคนเท่านั้น”
หลิวซยงประมุขตระกูลหลิวยิ้มแย้มราวกับนี่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง “ราชวงศ์หลี่เป็นอดีตที่ไม่อาจหวนคืนอีกแล้ว ทำไมข้าจะต้องเอาอนาคตของตระกูลหลิวไปฝากไว้กับราชวงศ์ที่จบสิ้นแล้วด้วยเล่า? บัดนี้ เมื่อตระกูลเว่ยได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย มันจะมีเหตุผลอันใดที่ข้าจะไม่สนับสนุนพวกเขา? เจ้าพูดออกมาเช่นนี้ ยิ่งเร่งให้ความตายมาถึงตัวเจ้าเร็วขึ้นมากกว่าเดิม”
“หึหึ”
“นี่สินะสุนัขรับใช้ที่แท้จริง”
“สุดท้าย คนพวกนี้ก็ไม่ได้ตายดีสักคน”
“ข้าอุตส่าห์หลงเข้าใจว่าตระกูลหลิวเป็นมิตร ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด ข้าก็ยิ่งรู้สึกละอายใจมากเท่านั้น เมื่อองค์จักรพรรดิของเรากลับมา พระองค์ท่านจะต้องทรงสั่งประหารตระกูลหลิวยกตระกูลแน่นอน!”
ข้างกายของเฉียนเฟยเซวียยังคงมีขุนนางใหญ่ผู้อาวุโสอยู่อีกหลายท่าน พวกเขาต่างก็ส่งเสียงคำรามก่นด่าหลิวซยงราวกับต้องการจะถลกเนื้อเถือหนังอีกฝ่ายเป็น ๆ
“ในเมื่อพูดคุยดี ๆ ไม่รู้เรื่อง ข้าก็คงต้องส่งพวกเจ้าลงนรกเสียแล้ว”
หลิวซยงยกมือโบกสะบัดและคำรามว่า “ตามไปภักดีต่อองค์จักรพรรดิของพวกเจ้าในยมโลกเถอะ”
วูบวูบวูบ!
นักรบเกราะแดงพุ่งออกมาข้างหน้า
“พวกเราสู้ตาย”
“พวกเราอย่าได้ยอมแพ้เด็ดขาด”
“ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้แก่พระองค์ท่าน”
การต่อสู้ตลอดเส้นทางหลบหนีที่ผ่านมาทำให้กลุ่มของเฉียนเฟยเซวียแทบไม่เหลือพลังสำหรับการต่อสู้อีกแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กลัวตาย จิตใจของทุกคนยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและพร้อมที่จะเผชิญหน้าการต่อสู้อยู่เสมอ!
การต่อสู้ครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ทว่านี่เป็นการไล่ล่าสังหารแต่เพียงฝ่ายเดียว
“ฟู่…”
ร่างกายของเฉียนเฟยเซวียสั่นสะท้านเมื่อคมกระบี่ฝังเข้าไปในหัวไหล่ซ้ายของเขา ชายหนุ่มกระอักเลือด ตัวคนก็ลอยกระเด็นออกไปตกกระแทกพื้นอย่างแรง ในสภาพที่แขนซ้ายห้อยร่องแร่ง
ร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งตามมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้เท้าเหยียบใบหน้าเฉียนเฟยเซวียเอาไว้
ปลายกระบี่ทาบลำคอของเฉียนเฟยเซวีย
เขาสามารถจดจำอีกฝ่ายได้โดยทันที มันมีนามว่าเว่ยอู่อี้ เป็นขุนพลคนสำคัญของตระกูลเว่ย คอยช่วยงานหลิวซยงเสมอมา มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ไม่ทราบเลยว่าต้องมีมือกระบี่และข้าราชการที่ภักดีต่อราชวงศ์หลี่ต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของบุคคลผู้นี้ไปมากมายขนาดไหนแล้ว
เฉียนเฟยเซวียโกรธแค้นจนหัวใจแทบระเบิด
ฟู่! ฟู่!
ปลายกระบี่ของเว่ยอู่อี้เรืองแสงสว่างไสวเมื่อมันโคจรพลังลมปราณลงไป กล้ามเนื้อแขนของมันปูดโปน พร้อมที่จะเสือกแทงกระบี่ใส่ลำคอของผู้ตรวจการหนุ่มได้ตลอดเวลา…
“คิดจะตายมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
หลิวซยงเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มแย้มอย่างสบายใจ “เฉียนเฟยเซวีย ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง…”
“เฮอะ”
เฉียนเฟยเซวียยิ้มเหยียดหยามตอบกลับไป “จะฆ่าก็ฆ่า ข้าทนเห็นหน้าเจ้าต่อไปไม่ไหวแล้ว”
หลิวซยงส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ในเมื่อพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ถ้าอย่างนั้น… ก็ตายซะ”
เว่ยอู่อี้ดึงกระบี่ขึ้นและแทงกระบี่ลงไป
เฉียนเฟยเซวียหลับตาลงรอรับความตาย
แต่หลายลมหายใจผ่านไป ปลายกระบี่ก็ยังไม่ได้ทิ่มแทงลงมา
นี่มันอะไรกัน?
เฉียนเฟยเซวียลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่คาดฝัน และเขาก็ได้เห็นว่ากระบี่ในมือของเว่ยอู่อี้ที่จ่ออยู่บริเวณหว่างคิ้วของตนนั้น ได้หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศคล้ายกับดวงดาวบนฟากฟ้า…
ใบหน้าของเว่ยอู่อี้แดงก่ำ ไม่สามารถออกแรงแทงกระบี่มาข้างหน้าได้
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลิวซยงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
และทันใดนั้น อาวุธในมือของนักรบเกราะเพลิงทุกคนก็สูญเสียการควบคุม พวกมันทรยศเจ้านายของตนเองและทิ่มแทงตัดแขนตัดขาผู้เป็นเจ้านายด้วยความคมกริบ…
ฟู่! ฟู่!
โลหิตพุ่งกระฉูดจากคมกระบี่
เสียงกรีดร้องดังไม่รู้จบ
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากเกินไป
นักรบเกราะเพลิงจำนวนมากต้องเสียชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว และสถานการณ์ก็พลิกกลับตาลปัตรอย่างคาดไม่ถึง
“ใคร?”
สีหน้าของเว่ยอู่อี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่เกิดขึ้นในใจ
ทันใดนั้น หลิวซยงขยับเท้าถอยหลังไปหลายก้าว ดวงตาจ้องมองไปยังถนนกลางหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป ตัวสั่นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ไม่ทราบเลยว่าบุคคลจำนวนหลายร้อยคนนั้นมาปรากฏตัวอยู่ห่างจากพื้นที่แห่งนี้นานเท่าไหร่แล้ว บางคนมีใบหน้าที่หลิวซยงคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น เขาจึงรู้สึกไม่ต่างจากได้เห็นวิญญาณคนตายกลางวันแสกๆ…
“ฝะ…ฝะ…ฝะ…ฝ่า…”
ความหวาดกลัวและความตกตะลึงกลืนกินจิตใจ
คำง่าย ๆ แค่คำว่า ‘ฝ่าบาท’ หลิวซยงก็ยังพูดออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ชายชราไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น
เนื่องจากว่าทหารหลายร้อยนายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าขณะนี้ล้วนแต่เป็นกองทัพเป่ยไห่แห่งราชวงศ์หลี่ที่มีข่าวลือว่าเสียชีวิตอยู่ในอาณาเขตสนธยาหมดสิ้นแล้วนั่นเอง
นอกจากองค์จักรพรรดิแล้ว ก็ยังมีหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มผู้อ้างตนว่าเป็นผู้ที่หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิและสร้างฝันร้ายให้แก่ผู้คนนับจำนวนไม่ถ้วนอีกด้วย
และก็ยังมีอัครเสนาบดีจั่วเซียง แม่ทัพใหญ่เกาเฉิงฮั่น ราชองครักษ์โหลวซานกวน…
พวกเขา…
ยังไม่ตายอีกหรือ?
ไหนว่าตายหมดแล้วไงล่ะ?
หรือว่าเขากำลังเห็นภาพมายา?
หลิวซยงยกมือขยี้ตาตนเอง
แต่แทนที่กองทัพเป่ยไห่จะหายไป คนเหล่านั้นกลับยิ่งเดินขบวนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
คราวนี้ หลิวซยงได้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว
เป็นพวกเขาจริง ๆ
พวกเขากลับมาแล้ว!
“พวกเรารีบหนี…”
หลิวซยงส่งเสียงร้อง หมุนตัวกลับและออกวิ่ง
ชายชราตกใจกลัวจนเหลือความคิดเดียวในหัวสมองว่า ตนเองต้องรีบหลบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
แต่เขาเพียงได้หมุนตัวเท่านั้น แรงดึงมหาศาลก็ปกคลุมร่างกายและฉุดให้ก้าวถอยหลังอย่างช้า ๆ
“ตายเสียเถอะ!!”
เว่ยอู่อี้ก็รู้ดีว่าตนเองคงไม่มีทางหนีรอดแล้วเช่นกัน เขาตัดสินใจปล่อยกระบี่ในมือที่ไร้การควบคุมและนำกระบี่เล่มใหม่ออกมาจากถุงเก็บของวิเศษ ตัวคนพลิ้วไหวด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า กระบี่ในมือถูกแทงตรงไปยังองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
“บังอาจนัก”
วูบ!
หลินเป่ยเฉินลงมืออย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มก้าวออกมาข้างหน้า ยกมือขึ้นใช้นิ้วคีบกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม และเพียงบิดข้อมือเล็กน้อย กระบี่ในมือของเว่ยอู่อี้ก็หักครึ่ง ก่อนที่คมของมันจะพุ่งเข้าไปปักใส่ใจกลางหัวใจของผู้เป็นเจ้าของกระบี่
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในลมหายใจเดียว
นี่คือความแตกต่างระหว่างขั้นพลังของทั้งสองฝ่าย
ผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ไม่ต่างจากเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน
หลังจากนั้น เขาก็เดินไปหาเฉียนเฟยเซวีย
เฉียนเฟยเซวียกำลังตัวสั่นเทา
ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด
แต่เป็นเพราะความตื่นเต้น
เขาเองก็เห็นว่าองค์จักรพรรดิและกองทัพเป่ยไห่มาปรากฏตัวขึ้นแล้ว
“ฝ่าบาท…”
เมื่อสองคำนี้หลุดออกมาจากปาก น้ำตาก็ไหลหยดลงมาจากดวงตาของเฉียนเฟยเซวีย
วิชาวารีบำบัด
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นด้วยความฉุนเฉียว ก่อนจะปล่อยละอองน้ำสีฟ้าซึมซับเข้าสู่ร่างกายเฉียนเฟยเซวีย
ก่อนพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ท่านผู้ตรวจการเฉียน ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้นะ แต่ท่านกลับเรียกผู้อื่นก่อนอย่างนั้นหรือ… ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนเลาะเนื้อตัดกระดูกท่านเอง แล้วให้องค์จักรพรรดิตามมาช่วยทีหลังก็แล้วกัน เฮอะ!”
อานุภาพของวิชาวารีบำบัดเป็นอย่างไรบ้าง?
ต่อให้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของขั้นเซียนก็ยังสามารถรักษาให้หายได้อย่างง่ายดาย เกาเฉิงฮั่นก็เคยถูกชุบชีวิตกลับคืนจากประตูยมโลกมาแล้ว มีหรือที่จะไม่สามารถรักษาเฉียนเฟยเซวียได้?
เมื่อละอองน้ำซึมซับเข้าสู่ผิวหนัง เฉียนเฟยเซวียผู้บาดเจ็บสาหัสและกำลังจะตายก็สามารถดีดตัวลุกขึ้นยืนได้ทันที
“อ้า ขอบคุณคุณชายหลินมากขอรับ…”
เมื่อได้ยินคำตัดพ้อจากหลินเป่ยเฉิน เขาก็พูดพอเป็นพิธี ก่อนจะวิ่งผ่านเด็กหนุ่มไปนั่งคุกเข่าลงแทบเท้าองค์จักรพรรดิและร้องไห้รายงานว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงกลับมาแล้ว… แต่ราชวงศ์หลี่ล่มสลาย จักรวรรดิของเราจบสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไอ้หมอนี่ ใจคอจะขอบคุณเขาแค่นี้เองเหรอเนี่ย?
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินการรายงานของเฉียนเฟยเซวีย เขาก็ต้องมีอาการตกตะลึงเช่นเดียวกับทุกคน
ว่าไงนะ?
เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ
ราชวงศ์หลี่ล่มสลายแล้วอย่างนั้นหรือ?