ตอนที่ 914 แอบแฝงเจตนาร้าย

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“คัมภีร์เป็นตายเหรอ? ชื่อดีนี่!”

หลังจากได้ยินชื่อจากปากโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็ตะลึงไปก่อนชั่วครู่ แล้วจึงว่าต่ออย่างครุ่นคิด

“ถ้าหากอักษรตายสามารถข่มขู่ให้หวาดกลัวได้จริง งั้นก็คงจะเหมือนกับคัมภีร์เป็นตายในมือของยมบาลในรูปภาพ ที่สามารถกำหนดการเกิดการตายของคนได้สินะ?”

“ท่านอาจารย์ ยังไง…เราลองกันดูหน่อยไหมครับ?”

โจวเซี่ยวเทียนคันยุบยิบในใจจนยากจะทน เขียนลงไปชื่อหนึ่งทำให้คนเป็น หากเขียนลงไปอีกชื่อจะทำให้คนตาย คนที่ครอบครองบันทึกเล่มนี้ จะไม่กลายเป็นราชายมโลกในพริบตาหรือ?

“ลองยังไงล่ะ? ให้ฉันเขียนชื่อแกไว้บนด้านหลังเหรอ?”

เยี่ยเทียนจ้องโจวเซี่ยวเทียนอย่างไม่สบอารมณ์ อักษรเป็นนั้นใช้ปราณแท้จากภายในร่างเขาไปเกือบครึ่ง อักษรตายยิ่งไม่รู้ว่าจะสูบปราณแท้ของเขาไปอีกสักเท่าไหร่ แถมเรื่องความเป็นความตาย เยี่ยเทียนยิ่งก็ไม่กล้าลองสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นกัน

“งั้นก็ช่างมันเถอะครับ อักษรตายนี่ราวกับสามารถสูบวิญญาณคนได้ แค่ดูผมก็กลัวแล้วล่ะ”

แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอาจารย์พูดเล่น แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังตกใจถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่ “คัมภีร์เป็นตาย” เล่มนี้ยังไม่ผสานร่างกัน เขาก็รับเคราะห์จากอักษรตายไปแล้วไม่น้อย จึงรู้สึกหวาดกลัวมันอย่างแท้จริง

“โอกาสมีอยู่ พรุ่งนี้เป็นวันพบปะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แล้วยังกลัวว่าจะหาคนมาทดลองไม่ได้เชียวหรือ?”

บนใบหน้าเยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มเย็น การสืบทอดมรรควิธีที่ส่งต่อกันมาในประเทศจีน นับเป็นหนึ่งสำนัก แตกต่างจากศาสนาพุทธและคริสต์ที่นำแรงศรัทธาผ่านการบูชาด้วยธูปเพลิงจากสาวกมาฝึกวิชาโดยสิ้นเชิง นับแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ผู้ฝึกวิชาเต๋าในประเทศจีนกับผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติจากต่างแดนหรือบุคคลในตำนานตะวันตกล้วนไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน

อีกทั้งหลังการรุกรานจากฝ่ายสัมพันธมิตรแปดประเทศเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว วงการวิชาเต๋าในเมืองจีนเองก็เกิดปะทะกับเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากต่างแดน ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเยี่ยเทียนเองไม่อาจทราบได้ แต่เขารู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายต้องไม่ดีอย่างแน่นอน

ยิ่งเมื่อบวกกับราชครูจากประเทศไทยผู้เป็นศัตรูอันร้ายกาจคนนั้นกับดยุคแดรกคูล่าซึ่งเคยเกิดการปะทะกับลูกน้องของเขา ศัตรูในงานประชุมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในครั้งนี้ของเยี่ยเทียนต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน แล้วไยจึงต้องกลัวว่าพอถึงเวลาจะไม่มีคนให้เขาทดสอบการทำงานของคัมภีร์เป็นตายเล่มนี้?

สำหรับเยี่ยเทียน ประโยชน์ของ คัมภีร์เป็นตายนั้นไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ด้วยระดับวิทยายุทธ์ของเยี่ยเทียน หากเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเข้าตอนนี้ ก็คงไม่กล้าใช้กำลังที่มีทั้งหมด เพราะหากทำอย่างนั้น อาจกระตุ้นให้เกิดภัยสวรรค์ จนทำให้ข้ามไปสู่อัสนีสวรรค์จินตันก่อนเวลาอันควร

แต่เมื่อมีคัมภีร์เป็นตายเล่มนี้ เวลาเยี่ยเทียนเผชิญหน้ากับศัตรูย่อมสะดวกสบายขึ้นมาก ถึงแม้จะยังไม่ได้ลองทดสอบ แต่เยี่ยเทียนก็เชื่อว่าแม้เป็นคนที่มีวิทยายุทธ์ระดับเดียวกันกับตนเอง คงไม่สามารถต่อต้านพลังอำนาจของอักษรตายนั้นได้แน่นอน

“ขึ้นไปกันเถอะ เมื่อครู่ทำเสียงเอะอะออกไปไม่น้อย อย่าเผลอสร้างปัญหาขึ้นมาจริงๆ เลย”

เห็นว่าบาดแผลลูกศิษย์หายดีแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่อยากรั้งอยู่ใต้ดินอีกต่อไป หลังจากเก็บคัมภีร์เป็นตายเรียบร้อย ทั้งสองคนก็กลับขึ้นมาภายในห้องบนผิวดิน

“คุณเยี่ย คุณโจวไม่เป็นอะไรแล้วเหรอครับ?”

โจวจี้หวาที่กำลังพูดคุยอยู่กับกู้ต้าจวินเห็นพวกเยี่ยเทียนออกมาแล้ว ก็มองไปยังร่างของโจวเซี่ยวเทียนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อครู่ตอนเข้าไปโจวเซี่ยวเทียนเหลือเพียงลมหายใจรวยริน แต่เวลานี้นอกจากรอยเลือดเปรอะเปื้อนทั้งตัวภายนอก ก็มองไม่เห็นว่าได้รับบาดเจ็บที่ไหนอีกเลย?

เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบว่า

“ไม่เป็นไรแล้วครับ คุณโจว ผมขอไปพักผ่อนสักหน่อย ก่อนออกเดินทางวันพรุ่งนี้อย่าให้ใครมารบกวนนะครับ”

พอใช้งานคัมภีร์เป็นตาย เยี่ยเทียนก็สูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย ดีที่เขานำพลอยวิเศษจำนวนหนึ่งติดตัวมา ปราณวิเศษถูกสูบออกมาจากพลอยวิเศษเป็นสาย เพียงชั่วไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างของเยี่ยเทียนก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ท่ามกลางปราณวิเศษสีขาว

“เมื่อก่อนพลอยวิเศษหนึ่งชิ้นก็สามารถเลื่อนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้แล้ว วันนี้ปราณวิเศษสองชิ้น คุณประโยชน์กลับทำได้เพียงแค่ทะนุบำรุงปราณ พอถึงขั้นบรรลุมรรคผลจินตัน จะไม่ยิ่งต้องอาศัยทั้งคุณภาพและปริมาณหรือ?”

หลังจากยี่สิบกว่าชั่วโมงเต็ม ปราณวิเศษที่ล้อมรอบร่างเยี่ยเทียนก็ซึมซับเข้าสู่ภายในร่างกายเยี่ยเทียนจนหมด เยี่ยเทียนที่ดูราวกับมีรากต้นไม้เกี่ยวพันค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปยังพลอยวิเศษที่กลายเป็นฝุ่นผงบนฝ่ามือสองข้าง แล้วส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจเล็กน้อย

ร่างกายของมนุษย์เปรียบได้กับภาชนะหนึ่ง ก่อนที่เยี่ยเทียนจะเลื่อนระดับไปสู่บรรลุมรรคผลจินตัน ปราณวิเศษที่ร่างกายของเขาสามารถรับได้มาถึงจุดเต็มที่แล้ว ปราณวิเศษจากภายในพลอยวิเศษสองชิ้นนี้ส่วนใหญ่จึงถูกใช้ไปอย่างเสียเปล่า ทำให้เยี่ยเทียนปวดใจอย่างที่สุด

 “ช่วงเวลาร้อยปี สูญสลายในพริบตา รู้แจ้งวิถีแห่งสวรรค์มากหน่อย หนทางภายภาคหน้าย่อมยิ่งราบรื่น!”

สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเยี่ยเทียนก็ข่มแรงปรารถนาต่อมรรคผลจินตันในใจลง ถ้าหากเขาต้องการผ่านภัยสวรรค์ มีเพียงต้องปลดปล่อยพลังชีวิตภายในร่างกายด้วยกำลังทั้งหมดจึงจะกระตุ้นอัสนีสวรรค์ได้ แต่เวลานี้ใจของเยี่ยเทียนยังคงมีห่วง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจากโลกใบนี้ไป จึงได้แต่ใช้คำพูดเหล่านี้ปลอบโยนตัวเอง

“ท่านอาจารย์ คุณกู้มาแล้ว ได้เวลาแล้วครับ!”

เสียงโจวเซี่ยวเทียนดังมาจากประตู เยี่ยเทียนได้ยินก็เงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่าเป็นเวลาพลบค่ำวันต่อมาแล้ว พระอาทิตย์อัสดง ส่องแสงเหลืองทองทั่วทั้งฟ้าดิน

พอเห็นเยี่ยเทียนเดินออกมาจากห้อง กู้ต้าจวินก็รีบลุกไปต้อนรับ ตอบว่า

“คุณเยี่ย สถานที่ประชุมคือคฤหาสน์แห่งหนึ่งในชานเมืองซูริกครับ ระยะทางจากที่นี่ใช้เวลาขับรถครึ่งชั่วโมง!”

“ไปกันเถอะครับ หลังจากออกมาครั้งนี้ ผมเกรงว่าน้อยครั้งจึงจะได้ออกนอกประเทศอีก!”

เยี่ยเทียนพยักหน้า มีราชครูทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ ต่อให้เยี่ยเทียนคิดปิดบังตัวตนก็คงทำไม่ได้ เมื่อพวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากัน จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดิ่งสู่สระโลหิต  ความแค้นที่สืบต่อมานานร่วมครึ่งศตวรรษ ก็ได้มาถึงเวลาสะสางแล้วเช่นกัน

หลังผ่านศึกนี้ ต่อให้เยี่ยเทียนคิดอยากเก็บงำวิชาก็คงทำไม่ได้ เพราะเกรงว่าแต่ละประเทศคงใส่ชื่อเขาให้เป็นเป้าหมายที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ นอกจากลอบข้ามเขตแดนแล้ว ทันทีที่เยี่ยเทียนออกจากพรมแดนจีน คงจะได้รับความสนใจจากทุกฝ่ายในทุกการกระทำ

“เมื่อไหร่คุณภาพอากาศเมืองจีนจะเป็นอย่างที่นี่ได้สักทีนะ?”

นั่งลงบนรถของกู้ต้าจวินแล้ว มองไปยังทุ่งข้าวบาร์เลย์สีเหลืองทองไร้ขอบเขตนอกชานเมืองซูริกในฤดูใบไม้ผลิ เยี่ยเทียนยังอดส่ายหน้าไม่ได้ เขาไม่ใช่คนประเภทรู้สึกว่าพระจันทร์ ประเทศอื่นสวยงามกว่าบ้านตัวเอง แต่ในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ประเทศจีนยังทำได้ห่างไกลจากประเทศฝั่งตะวันตกมาก

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็เอ่ยปาก ว่า

“อาจารย์ครับ อากาศในฮ่องกงดีกว่าปักกิ่งตั้งเยอะ ผมว่าอาจารย์กับอาจารย์หญิงก็แค่ย้ายไปอยู่ฮ่องกงก็พอ!”

“บ้านเกิดยากจากลา เซี่ยวเทียน แม่ของแกก็ไม่อยากไปฮ่องกงไม่ใช่เหรอ?”

เยี่ยเทียนถอนหายใจ หลังจากลงหลักปักฐานแล้วคนก็ยิ่งมีบ่วงเพิ่มขึ้น พ่อแม่ญาติโยมรวมไปถึงภรรยาล้วนอยู่ในแผ่นดินใหญ่ แล้วเขาจะจากมาได้อย่างไร? เช่นเดียวกับแม่ของโจวเซียวเทียน ที่ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ยอมตามลูกไปอยู่อาศัยในฮ่องกง อยู่ได้อย่างมากสิบวันถึงครึ่งเดือน ก็อยากกลับเรือนสี่ประสานในปักกิ่งแล้ว

รถของกู้ต้าจวินขับอย่างมั่นคง และยังควบคุมเวลาได้อย่างแม่นยำ หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถเยอรมันติดทะเบียนสถานทูตก็ขับเข้ามาภายในคฤหาสน์อย่างช้าๆ

ในที่จอดรถรอบนอก มีรถยนต์ติดทะเบียนการทูตนานาประเทศหลายสิบคันจอดไว้อยู่แล้ว สถานการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้เฉพาะที่ทำการสหประชาชาติเท่านั้น คนที่ไม่รู้คงจะนึกว่าเอคอัครราชทูตนานาชาติมารวมกันที่นี่เพื่อเปิดประชุม

“คุณผู้ชายทุกท่านมาจากประเทศจีนหรือเปล่าครับ?”

ทันทีที่จอดรถ ชายผิวขาวแต่งกายแบบทูตก็เดินเข้ามาหา เอ่ยปากว่า

“ตัวแทนของแต่ละประเทศส่วนใหญ่มาถึงแล้วครับ เชิญทุกท่านตามผมมา!”

“ช่างราวกับซ่อนเสือเร้นมังกรจริงๆ ดูท่าโลกกว้างใหญ่ คงไม่ได้มีเพียงระบบฝึกวิชาปรากฎในประเทศจีนเพียงที่เดียว”

เยี่ยเทียนปลดปล่อยจิตสัมผัสออกมาสายหนึ่งโดยไร้สุ้มเสียง ทันใดก็สัมผัสถึงคลื่นพลังจิตอันแข็งแกร่งหลายสายที่แผ่ออกมาจากอาคารค่อนข้างหรูหราตรงหน้าแห่งนั้น พลังจิตของคนกลุ่มนี้ถึงแม้ไม่เข้มข้นเท่าจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียน แต่นอกจากพวกโก่วซินเจียแล้ว เยี่ยเทียนก็เป็นยอดฝีมือซึ่งหาได้ยากในโลกฆราวาสแห่งนี้

หลังตามผู้รับรองผิวขาวไปแล้ว พวกเยี่ยเทียนก็เข้าไปยังภายในอาคารเสริมเหล็กกล้าที่อยู่ข้างหน้านั่น

อาคารแห่งนี้ราวกับเพิ่งก่อสร้างขึ้น พื้นที่ภายในกว้างขวางใหญ่โต ภายในเกรงว่าต่อให้หลายร้อยคนนั่งก็ยังไม่หนาแน่น ตรงกลางห้องประชุม ยังมีพื้นที่โอ่โถงอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง พื้นผิวล้วนปูด้วยหินสีเทา อีกทั้งบนพื้นยังมีร่องรอยตะไคร่น้ำบางส่วนที่ยังขัดไม่ออก

“ผู้จัดงานประชุมนี้แอบแฝงเจตนาไม่ดีหรือเปล่านะ?”

เห็นการตกแต่งภายในสถานที่แล้ว มุมปากของเยี่ยเทียนก็ยกขึ้นเล็กน้อย ที่นั่งทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ตรงกลางเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ราวกับลานโคลอสเซียมในยุคโรมันโบราณ ที่เฝ้ารอให้ผู้เข้าร่วมลงสนามห้ำหั่นกัน

การเข้าไปด้านในของกลุ่มเยี่ยเทียนทั้งสามคน ดึงดูดให้คนจำนวนมากภายในห้องต่างมองมา แต่ว่าสายตาของคนส่วนใหญ่ล้วนมุ่งมาที่ร่างโจวเซี่ยวเทียนด้านข้างเยี่ยเทียน พลังชีวิตที่ไหลเวียนพุ่งพล่านภายในร่างกายเขานั้น ราวกับเสือร้ายที่ถูกกักขังอยู่ในกรง แต่ทันใดดวงตาของคนเหล่านั้นก็เลื่อนกลับอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเพราะสัมผัสถึงอันตรายได้จากร่างของโจวเซี่ยวเทียน

ในทางกลับกันเยี่ยเทียนผู้เดินมายังตรงกลาง ไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครต่อใครเลย นั่นเพราะทุกผู้คนที่อยู่ในที่นั้น ล้วนไม่มีใครสามารถสัมผัสถึงคลื่นพลังงานจากร่างกายของเขา ในสายตาของคนจำนวนมากจึงเหมือนเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง

แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเยี่ยเทียน อย่างน้อยที่สุดในสถานที่นี้ ก็ยังมีสองคนที่จับจ้องสายตามาทางเยี่ยเทียน

ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ฝั่งทิศใต้ของห้องประชุม คือชายผู้สวมชุดสูทภูมิฐาน เพียงแต่ใบหน้าของเขาขาวซีด รีมฝีปากแดงก่ำ มองแล้วให้ความรู้สึกอันตรายอย่างพิสดาร และข้างกายของเขายังมี “สหายเก่า” ของเยี่ยเทียนอยู่หนึ่งคน เจ้าพ่อบ่อนคาสิโนจากลาสเวกัส รูดอล์ฟนั่นเอง

ส่วนอีกคนที่จับตามองเยี่ยเทียนนั้น เป็นคนที่นั่งอยู่ริมทิศตะวันออกของห้อง รูปร่างผอมแห้ง ริ้วรอยบนใบหน้าทำให้คนไม่อาจตัดสินอายุของเขาได้ ทว่าดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น ฉายแววอันตรายออกมาเป็นระยะ ราวกับงูพิษที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในความมืด

สัมผัสถึงสายตาที่มองมาจากทางทิศใต้และตะวันออกทั้งสองทิศได้ เยี่ยเทียนที่ก้มหน้าอยู่ก็เลยเงยหน้าขึ้นมา เผยยิ้มอย่างสดใสให้กับรูดอล์ฟที่นั่งทางทิศใต้ แต่เมื่อเห็นคนข้างรูดอล์ฟ รอยยิ้มก็สว่างไสวยิ่งขึ้น

……………….