บทที่ 1751.1 ล้มไม่เป็นท่า (1)

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อแล้ว เหมียวอี้ก็เปลี่ยนท่าทีเร็วมากเช่นกัน ยกมือห้ามชิงเยว่ที่แสร้งใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่อื่น “ในเมื่อประมุขปราสาทยอมพบแล้ว ก็อย่าให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรเลย รอให้ติดต่อกันเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”

 

ชิงเยว่และคนอื่นๆ ทำสายตาสงสัย เจ้าคงไม่เข้าไปคนเดียวจริงๆ หรอกใช่มั้ย?

 

เหมียวอี้ส่งสายตาสื่อว่าจะตัวเองจะไม่เป็นอะไร แล้วลอยออกจากกลุ่มคน เหาะตามผู้หญิงคนนั้นไป

 

พวกชิงเยว่เองก็ไม่ได้ห้าม รู้สึกว่าปราสาทดำเนินจันทร์คงจะไม่กล้าถึงขนาดทำซี้ซั้วกับหัวหน้าภาคหนิว ไม่อย่างนั้นปราสาทดำเนินจันทร์จะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว แค่กังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรก็เท่านั้นเอง ถึงอย่างไรความปลอดภัยของเหมียวอี้ก็ส่งผลกระทบต่อทุกคนมาก

 

เมื่ออยู่บนฟ้าแล้วมองไปข้างล่าง ตำหนักกลางทะเลสาบบนยอดเขาดูไม่ใหญ่ เมื่อเหยียบลงพื้นแล้วถึงรู้สึกได้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของตำหนักผลึกม่วงหลังนั้น ตั้งตระหง่านเกิดเงาสะท้อนกลับหัวอยู่ในน้ำ ราวกับกระเพื่อมอยู่กลางคลื่นเล็กๆ สวยงามและให้ความรู้สึกสดชื่น

 

เหมียวอี้ตามผู้หญิงคนนั้นไปเหยียบลงบนหัวสะพานริมทะเลสาบ เป็นสะพานผลึกม่วงแนวตรงที่ไม่กว้างแต่กลับประณีตมาก สะพานทอดยาวไปถึงประตูหลักนอกตำหนักซึ่งอยู่ห่างไปร้อยจั้ง

 

เมื่อเดินไปบนสะพานผลึกม่วงที่วิจิตรประณีต  ก็จะเห็นเงาเมฆขาวสะท้อนอยู่บนคลื่นสีมรกตฝั่งซ้ายและขวา มีเสน่ห์ไปอีกแบบ เพียงแต่การให้เหมียวอี้เดินทางยาวขนาดนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาสักเท่าไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของเหมียวอี้ก็เหมือนจะไม่ถือสาเช่นกัน

 

เดินมาถึงตีนบันไดนอกตำหนัก ผู้หญิงคนนั้นก็ส่งตัวเหมียวอี้ให้ผู้หญิงอีกคนที่ยืนรออยู่บนบันได แล้วตัวเองก็หันตัวเดินจากไปแล้ว

 

“หัวหน้าภาคหนิว เชิญ!” ผู้หญิงที่อยู่บนบันไดยื่นมือเชิญจากข้างบน

 

เหมียวอี้เดินขึ้นบันไดไป หลังจากก้าวเข้าในตำหนักหลักที่สวยสว่างพร่างพราว ผู้หญิงคนนั้นก็บอกอีกว่า “รอสักครู่ จะไปรายงานก่อน” พูดจบก็เดินไปที่ตำหนักหลังคนเดียว

 

ขณะยืนอยู่ในตำหนักกว้างโล่งคนเดียว เหมียวอี้ก็มองสำรวจสภาพแวดล้อมรอยๆ บนผนังสลักลวดลายพระจันทร์และดวงดาวแบบต่างๆ เอาไว้ ความโปร่งแสงของเพดานโค้งผลึกม่วงทำให้ในตำหนักดูเหมือนเปล่งแสงสีม่วงอ่อนๆ ให้ความรู้สึกเหมือนภาพฝันมายา ทั้งในและนอกตำหนักมองไม่เห็นใคร ทำให้ที่นี่ดูเงียบวิเวกอยู่บ้าง

 

รอได้สักประเดี๋ยว ผู้หญิงที่เข้าไปแจ้งก็เดินกลับมาจากตำหนักหลัง ไปยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างในตำหนัก รอจนกระทั่งบนหลังคาโค้งเกิดเสียงบางอย่าง ดึงดูดให้เหมียวอี้เงยหน้ามอง เห็นเพียงผ้ามุ้งบางสีม่วงห้อยลงมาราวกับม่าน ตกลงพื้นพอดี

 

หมายความว่ายังไง? เหมียวอี้กำลังแปลกใจ จู่ๆ แววตาก็เป็นประกาย เห็นเพียงตำหนักหลังมีเงาร่างที่อ่อนหวานแช่มช้อยของผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ต่อให้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็มองทะลุม่านมุ้งนั่นไม่ได้ ดังนั้นจึงมองออกคร่าวๆ ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งบางสีเงิน เกล้ามวยผมสูง ส่วนหน้าตาเป็นอย่างไรนั้นเห็นไม่ชัดเจน เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะใช้ตาทิพย์มอง

 

เห็นได้ชัดว่าว่าผู้หญิงที่อยู่หลังม่านมุ้งมองเห็นเหมียวอี้อย่างชัดเจน

 

ขณะเหมียวอี้กำลังสอดส่องสายตามองเงาร่างที่อยู่หลังม่าน อีกฝ่ายก็เปล่งเสียงดังฟังชัดแล้ว “ไม่ทราบว่าหัวหน้าภาคหนิวต้องการพบข้าด้วยเรื่องอะไร?”

 

เสียงพูดกลับฟังดูไพเราะ ทำให้ยิ่งอยากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงหลังม่านบาง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามกลับ “ท่านก็คือประมุขปราสาทดำเนินจันทร์เหรอ?”

 

อีกฝ่ายตอบว่า “หรือเจ้าคิดว่ายังมีใครกล้าปลอมตัวเป็นประมุขที่ปราสาทดำเนินจันทร์? เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเหรอ?”

 

เหมียวอี้ลองคิดดูแล้วก็เห็นด้วย จึงถามต่อว่า “หรือประมุขปราสาทเตรียมจะคุยกับผู้น้อยอย่างนี้?”

 

อีกฝ่ายไม่สนใจจะตอบคำถาม “หัวหน้าภาคหนิวไม่จำเป็นต้องหาเรื่องทะเลาะกับข้า ว่ามาเถอะ มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”

 

มารดาเจ้าเถอะ แบบนี้มีอย่างที่ไหน? เหมียวอี้ด่าในใจ ความรู้สึกเวลามองเห็นอีกฝ่ายไม่ชัดเจน แต่อีกฝ่ายมองเห็นตัวเองชัดเจน ทำให้เขารูสึกอึดอัดมาก เขาเองก็ฟังออกว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายสื่อความรำคาญใจและไม่อยากเจอ จึงกลับมาพูดถึงประเด็นหลัก “คืออย่างนี้นะ กำลังจะสร้างจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลใหม่ ในพื้นที่แดนรัตติกาลหาจุดที่เหมาะสำหรับทัพใหญ่ไม่เจอ ดูทั้งแดนรัตติกาลแล้วก็พบว่ามีแค่ในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์เท่านั้น ข้าก็เลยอยากจะปรึกษากับประมุขปราสาท ว่าจะสามารถเลือกที่ตั้งจวนหัวหน้าภาคในเขตปราสาทดำเนินจันทร์ได้หรือไม่?”

 

“มีบัญชาสวรรค์ของฝ่าบาทเหรอ?” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ถาม

 

เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องเล็กแค่นี้จะรบกวนฝ่าบาททำไม ท่านกับข้าเป็นเพื่อนบ้านกัน ต่อไปต้องอยู่ด้วยกันนาน นั่งลงเจรจากันดีๆ ก็ได้”

 

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาเจรจากับข้า ส่งแขก!” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์กล่าว

 

“ประมุขปราสาททำอย่างนี้ไม่ไร้น้ำใจไปหน่อยเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ

 

“รอให้เจ้าขอคำสั่งจากฝ่าบาทมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์กล่าว

 

“ถ้าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่ในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ ก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้โจรชั่วมารบกวนได้ ทำไมประมุขปราสาทไม่ยินดีที่จะทำ กำลังพลจวนหัวหน้าภาคจะได้ไม่ต้องมาที่นี่บ่อยๆ” คำพูดของเหมียวอี้แฝงการขู่คุกคาม กำลังสื่อว่าถ้าเจ้าไม่ให้ข้านำกำลังพลมาตั้งมั่นที่นี่ ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรข้าก็จะมาตรวจค้น

 

“ถ้าไม่มีบัญชาสวรรค์ แล้วยังกล้าบุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร มาหนึ่งคนก็ฆ่าทิ้งหนึ่งคน!” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินไป ไม่แยแสคำขู่ของเหมียวอี้เลย

 

“เจ้ากล้าเหรอ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ

 

“ส่งแขก!” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขา เงาร่างที่อยู่หลังม่านบางหันตัวแล้วเดินหายเข้าไปในตำหนักหลังอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

 

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ในตำหนักเดินเข้ามา แล้วยื่นมือเชิญ “หัวหน้าภาคหนิวเชิญกลับ”

 

เหมียวอี้พูดไม่ออกนิดหน่อย แบบนี้ไม่ค่อยเหมือนผลลัพธ์ที่เขาคิดเอาไว้ ตามที่เขาคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าเขาออกหน้าดำเนินการเอง ไม่ว่าจะเป็นปราสาทไหนในสิบปราสาทดำเนินก็ล้วนตอบตกลงหมด แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่เหลือทางไว้ให้เจรจากันเลยสักนิด หรือว่าตัวเองคาดการณ์ผิดพลาด ปราสาทดำเนินจันทร์ไม่ใช่คนคนท่านผู้นั้นเหรอ?

 

หลังจากเชิญให้ออกจากตำหนักใหญ่แล้ว เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดก็ถือระฆังดาราในกระบอกแขนเสื้อติดต่อไปหาจงหลีค่วยที่ปราสาทดำเนินนภา ให้จงหลีค่วยไปหาประมุขปราสาทดำเนินนภา เตรียมจะให้เวินหวนเจินคุยกับทางนี้ให้สักหน่อย

 

ทว่าผลที่ได้ก็คือปราสาทดำเนินนภาไม่ยอมช่วยเรื่องนี้ บอกว่าช่วยไม่ไหว เหมียวอี้จะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

 

จึงเก็บระฆังดาราในมือ เดิมข้ามทะเลสาบไปตามสะพาน หันกลับไปมองตำหนักหลักที่สวยแพรวพราวของปราสาทดำเนินจันทร์ แล้วก็มองผู้หญิงที่เดินมาส่งแขกข้างๆ อีก แทนที่จะบอกว่ามาส่งแขก บอกว่ามาจับตาดูเสียยังดีกว่า เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไป

 

พวกชิงเยว่ที่รออยู่บนฟ้าเห็นเขากลับมาแล้ว ทุกคนส่งสายตาสอบถาม เหมือนกำลังถามว่าการเจรจาเป็นอย่างไร

 

“กลับ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น แล้วนำคนเหาะออกไป

 

พวกชิงเยว่สบตากัน ดูจากสีหน้าเหมียวอี้ก็เดาออกว่าการเจรจาล้มเหลวแล้ว จากนั้นก็เหาะตามหลังไป

 

หลังจากมาถึงดาราจักร ชิงเยว่ก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจอประมุขลี่หัวของปราสาทดำเนินจันทร์แล้วเหรอ?”

 

เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วแล้วบอกว่า “ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่จวนหัวหน้าภาคกำลังจะสร้างใหม่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสร้างปัญหา คิดว่าข้าจะไม่กล้าหาเรื่องนางเหรอ?”

 

ชิงเยว่เข้าใจแล้ว ก็แค่ได้เจอตัว แต่เจรจาไม่สำเร็จ นางแอบรู้สึกขำอย่างอดไม่ได้ นางรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จต่ำมาก ตอนแรกที่ยุยงให้เหมียวอี้มาสร้างจวนที่นี่ ก็เพราะอยากทดสอบความสามารถเหมียวอี้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า นางจงใจจะให้เหมียวอี้ปล่อยไก่ เจ้าหมอนี่จะไม่ได้เอาแต่วางมาดเหมือนมั่นใจใส่นางกับหลงซิ่น แต่นางก็ยังปลอบใจว่า “เจรจาไม่สำเร็จก็สมเหตุสมผลแล้ว ที่บอกว่าจะหาเรื่องน่ะช่างเถอะ ไปมีเรื่องกับประมุขปราสาทลี่หัวแห่งปราสาทดำเนินจันทร์ไม่ไหวหรอก ขนาดฝ่าบาทยังต้องไว้หน้านางหลายส่วน”

 

“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้หันมาถาม

 

ชิงเยว่ตอบว่า “เดิมทีลี่หัวคือผู้หญิงของพี่น้องร่วมสาบานของฝ่าบาท ขนาดฝ่าบาทยังเรียกนางว่าน้องสะใภ้ ถ้าพวกเราไปหาเรื่องนางก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม”

 

“ผู้หญิงของพี่น้องร่วมสาบานของฝ่าบาท? พี่น้องร่วมสาบานคนไหนของฝ่าบาท?” เหมียวอี้งง

 

ชิงเยว่ถ่ายทอดเสียงเบาลงหลายส่วน “ยังจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานคนไหนได้อีกล่ะ ฝ่าบาทมีพี่น้องร่วมสาบานแค่สองคน คนหนึ่งคือประมุขพุทธะ อีกคนคือประมุขไป๋ ท่านนั้นที่ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจก็คืออดีตผู้ชายของลี่หัว”

 

เหมียวอี้ตกใจ “ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์คือผู้หญิงของประมุขไป๋เหรอ? ไม่ใช่ประมุขปีศาจหรอกเหรอ?”

 

………………………………