อีกอย่าง ถ้าชายหนุ่มเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมเป็นเครื่องบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคือผู้ชนะตัวจริงของการประลองครั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆคงไม่มีข้อขัดข้องที่เขาจะมอบตำแหน่งให้ผู้ที่เก่งกว่า
“ค่อยยังชั่ว ถ้างั้นก็เริ่มเลย” จางเซวียนพยักหน้า
“ผมฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้จะทำให้คุณเสียเปรียบ ดังนั้น เพื่อความชอบธรรม ผมจะให้คุณออกตัวก่อน 3 กระบวนท่า” ฝงฮั่นชิวพูด
ราชันย์เทพเจ้ากับเทพเจ้าสวรรค์สร้างเป็นนักรบที่อยู่กันคนละชั้น ถือว่าไม่เหมาะสมหากราชันย์เทพเจ้าอย่างเขาท้าดวลกับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง เขาจึงควรมอบแต้มต่อให้อีกฝ่าย
แต่จางเซวียนกลับส่ายหน้าและปฏิเสธข้อเสนอ “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก”
อีกฝ่ายเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้หมาดๆ ในความเห็นของเขา แต้มต่อไม่ใช่เรื่องจำเป็น
จางเซวียนไม่อยากเสียเวลากับการเจรจาต่อรอง เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ไปปรากฏตัวตรงหน้าฝงฮั่นชิวในชั่วพริบตา ด้วยการโบกมือเบาๆ บรรยากาศทั่วทั้งลานบ้านก็ดูจะแข็งทื่อในทันที
“เขาไร้เทียมทานจริงๆ!”
ฝงฮั่นชิวกำลังคิดจะออมมือให้ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า เขาหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ ไม่กล้าคิดจะออมมืออีก
เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณอย่างดุเดือดขณะตอบโต้ด้วยการใช้หมัด
แต่จางเซวียนดูจะไม่สะทกสะท้านสักนิดกับการตอบโต้ของฝงฮั่นชิว เขาปล่อยพลังฝ่ามือออกไปอย่างสบายๆ แล้วสีหน้าของอีกฝ่ายก็พลันซีดเผือด
พริบตาต่อมา ร่างของเขาถูกสอยกระเด็นไปกระแทกเข้ากับผนังเต็มแรง
ชัยชนะถูกตัดสินแล้วภายในกระบวนท่าเดียว
ทั้งที่เป็นถึงราชันย์เทพเจ้า แต่ฝงฮั่นชิวก็ยังเทียบชั้นกับจางเซวียนไม่ได้
จางเซวียนเดินเข้าหาฝงฮั่นชิวและพูดว่า “มอบโควต้าของคุณให้ผม”
ปริมาณพลังปราณของเขาลดลงมากหลังจากใช้พลังปราณเทียบฟ้าปะทะกับกระแสพลังงานสีเทา แต่ในทางกลับกัน พลังปราณใหม่ที่บริสุทธิ์กว่าเดิมก็ทำให้เขามีพละกำลังสูงขึ้น ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดอย่างฟู่เจียงเฉินก็ไม่อาจรับมือกับตัวเขาในเวลานี้ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงฝงฮั่นชิว
“ขอบคุณที่ปรานีผม” ฝงฮั่นชิวลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่ยังไม่อยากเชื่อ
แม้เขาจะแทบยอมรับไม่ได้ แต่ก็ดูออกว่าอีกฝ่ายออมมือให้เขาในการสำแดงกระบวนท่าเมื่อครู่ก่อน เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ไม่ใช่แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยอย่างที่เป็นอยู่
ฝงฮั่นชิวกระดิกนิ้ว เขายื่นตราหยกอันหนึ่งให้จางเซวียน
มันคือตราหยกที่อนุญาตให้ผู้ครอบครองมันเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้
จางเซวียนรีบรับตราหยกมาอย่างโล่งใจ
ด้วยสิ่งนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้เข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณและตามหาหลัวลั่วชิงเสียที
“พี่ฝงเซวียน ไม่ทราบว่าคุณแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรทั้งที่เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง?” ฝงฮั่นชิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ตัวเขาเคยรั้งอันดับ 1 ของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด จึงเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของสรวงสวรรค์
แต่แม้เขาจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว ก็ยังสู้ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้
เขาไม่อาจหาเหตุผลได้จริงๆว่านักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ขอแค่คุณสั่งสมได้มากพอ สุดท้ายก็จะเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“สั่งสมได้มากพอ…” ฝงฮั่นชิวทวนคำอย่างงุนงงก่อนจะพยักหน้า “น้องฝงเซวียน คุณกำลังจะบอกว่าผมควรใช้เวลาและความพยายามในการขัดเกลาวรยุทธให้มากกว่านี้เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง แทนที่จะรีบร้อนฝ่าด่านวรยุทธใช่ไหม?”
ฝงฮั่นชิวเคยคิดว่าเขาใช้เวลามากพอแล้วในการสร้างรากฐานวรยุทธจนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง ซึ่งก็เพราะการหมั่นเพียรสะสมความแข็งแกร่งนี้เองที่ทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จในระหว่างการสู้รบ
แต่กลับกลายเป็นว่าเขายังคงอ่อนด้อยอยู่มากหากเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย
รากฐานวรยุทธของเขายังไม่แข็งแกร่งพออีกหรือ?
แต่เขาก็มั่นใจว่าพยายามจนสุดกำลังแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร!
ก็เหมือนกับการเรียงกล่องให้ซ้อนกันเป็นตั้งสูง ซึ่งเมื่อได้ความสูงระดับหนึ่งแล้ว ก็คงไม่อาจสูงกว่านั้นได้อีก
นักรบย่อมมีขีดจำกัดในการขัดเกลาวรยุทธของตัวเอง หากพยายามดันทุรังก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไป ผลที่ได้อาจเป็นไปในทางกลับกัน
“ใช่แล้ว ในบางครั้งน่ะ ถึงคุณจะรู้สึกว่าทุ่มสุดตัวแล้ว แต่ถ้าพยายามมากขึ้นอีกหน่อย ก็จะพบว่ายังพัฒนาได้อีก” จางเซวียนพูด
ก็เหมือนกับการที่เขาเคยคิดว่าพลังปราณเทียบฟ้าคือพลังปราณที่ไร้เทียมทานที่สุดในโลก แต่เมื่อได้มาฝึกฝนเวทนาสวรรค์ ก็รู้ทันทีว่ามันแตกต่างกับสิ่งที่เขาเคยมี ต่างกันเป็นอีกระดับขั้นเลยทีเดียว
“ผมได้ประโยชน์มากจากคำชี้แนะของคุณ!”
ได้ยินคำนั้น ฝงฮั่นชิวก้มศีรษะและกล่าวขอบคุณ เขาซักถามต่อด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกายของความอยากรู้ “น้องฝงเซวียน, คุณคงต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวกว่าจะขัดเกลาวรยุทธมาถึงขั้นนี้ ใช่ไหม?”
“ใช่!”
เมื่อหวนนึกถึงความลำบากลำบนต่างๆนานาที่เขาพบเจอในการฝึกฝนวรยุทธ จางเซวียนรู้สึกว่าเขาคงบ่นเรื่องนี้ได้ทั้งวัน!
“ตั้งแต่ผมสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงเมื่อ 5 วันก่อน ผมก็ฝึกฝนอย่างหนักทุกวันเพื่อขัดเกลาวรยุทธ ไม่ว่าจะมีธุระยุ่งแค่ไหน ก็จะต้องสละเวลาอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงให้กับวรยุทธ บางครั้ง ผมฝึกฝนวรยุทธติดต่อกัน 4 ชั่วโมงโดยไม่ได้พักเลย คุณคงนึกภาพออกนะว่าผมผ่านความยากลำบากแค่ไหนกว่าจะสำเร็จวรยุทธอย่างทุกวันนี้”
“5 วัน?” ฝงฮั่นชิวผงะ “คุณฝึกฝนวรยุทธ 4 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างมาก และเพิ่งทำแบบนั้นมา 5 วันหลังจากสำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง?”
หลังจากฟังที่จางเซวียนพูด ฝงฮั่นชิวคิดว่าอีกฝ่ายคงฝึกฝนวรยุทธมาอย่างน้อยก็หลายสิบปีกว่าจะได้แบบนี้…แต่ 5 วันนี่นะ?
ไสหัวไป!
ลำบากลำบนกับผีอะไร! การปลีกวิเวกครั้งเดียวของผมยังยาวนานกว่านั้นอีก!
แถมยังมีบางวันที่คุณฝึกฝนวรยุทธแค่ชั่วโมงเดียวด้วย…
“ก็ใช่น่ะสิ ผ่านมาก็ตั้ง 5 วันแล้ว ผมควรจะฝ่าด่านวรยุทธได้เสียที แต่ก็ยังหาเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมไม่ได้” จางเซวียนพูด “เรื่องนี้ถือว่าแย่ทีเดียว อ้อ ใช่สิ! จิ่วเกอ ทำไมไม่ให้ผมช่วยคุณฝ่าด่านวรยุทธล่ะ?”
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาต้องรีบเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณให้ได้ จางเซวียนก็คงจะอุทิศเวลาให้กับการค้นหาเวทนาสวรรค์ระดับใหม่ ซึ่งป่านนี้ก็คงฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว
เห็นกันชัดๆว่าเขายังล้าหลัง
แค่คิดว่าตอนนี้บรรดาศิษย์สายตรงของเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ทำให้จางเซวียนออกจะกระวนกระวาย เขาต้องเร่งสปีดแล้ว ไม่อย่างนั้น พบหน้ากันอีกครั้ง คงได้เจื่อนเต็มที
“แปลว่า…ตั้งแต่คุณฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงสุดได้สำเร็จ คุณก็ใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธเพียงไม่ถึง 20 ชั่วโมง ใช่ไหม?” ฝงฮั่นชิวอยากคลุ้มคลั่งเต็มที
“น้องฝงเซวียน ผมไม่ได้จะว่าอย่างนู้นอย่างนี้นะ แต่การได้เป็นราชันย์เทพเจ้าน่ะมีอะไรที่มากกว่าการขัดเกลาวรยุทธ คุณจะต้องเข้าถึงพละกำลังและอำนาจของธรรมชาติให้ได้ ซึ่งนั่นต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามไม่น้อย…”
ยังพูดไม่ทันจบ ฝงฮั่นชิวก็รู้สึกว่าฝงเซวียนไม่ได้ตั้งใจฟังเขาแล้ว คำพูดของเขาค่อยๆจางหายไป
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ‘ฝงเซวียน’ ก็เดินไปหาฝงจิ่วเกอ ซึ่งฝ่ายหลังก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น
“ในเมื่อยังพอมีเวลา ก็ทำเสียให้เสร็จๆไป!”
จางเซวียนไม่พูดพร่ำทำเพลง เขานำยาเม็ดออกมาเม็ดหนึ่งและโยนใส่ปากของฝงจิ่วเกอ จากนั้นก็ทาบฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายและปล่อยกระแสพลังปราณเข้มข้นเข้าสู่ร่างนั้น
ฝงจิ่วเกอเลิกคิ้วขณะก้าวข้ามขีดจำกัดของวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว พลังงานปริมาณมหาศาลเข้าไปรวมตัวกันอยู่ที่จุดตันเถียนของเขา ก่อนจะระเบิดออกมาในรูปของรังสีทรงพลังที่พวยพุ่งขึ้นสู่หมู่เมฆ
“นี่คือพละกำลังของราชันย์เทพเจ้า…”
ฝงฮั่นชิวกับกลุ่มผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้างๆทึ้งผมด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ฝงจิ่วเกอฝ่าด่านวรยุทธได้ง่ายๆแบบนี้หรือ?”
ฝงฮั่นชิวเพิ่งพูดถึงความยากเย็นของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้า แต่เพียงครู่เดียว ‘ฝงเซวียน’ ก็ช่วยศิษย์สายตรงของเขาให้ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ
มีวิธีตบหน้ากันที่เลวร้ายกว่านี้อีกไหม*?*
ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ที่เขาช่วยให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ก็เป็นที่รู้กันว่ามีวรยุทธถดถอยตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเพราะสภาวะพิเศษบางอย่าง ถึงขนาดที่เพิ่งถูกขับออกจากตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้
ในเมื่อฝงจิ่วเกอเพิ่งได้วรยุทธคืนมา เขาก็น่าจะยังอยู่ระหว่างขั้นตอนของการขัดเกลาวรยุทธ
แต่ด้วยยาเพียงเม็ดเดียว อีกฝ่ายก็สำเร็จวรยุทธในขั้นที่ตัวเขาต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะทำได้
ฝงฮั่นชิวอดรู้สึกไม่ได้ว่าโลกทั้งโลกกลับตาลปัตรไปหมด
ราชันย์เทพเจ้าเป็นกันได้ง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
แล้วถ้ามันง่ายขนาดนี้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมา…เขามัวทำอะไรอยู่?
แม้วรยุทธของฝงจิ่วเกอจะถดถอยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ระหว่างนั้น เขาได้บ่มเพาะจิตวิญญาณของตัวเองเป็นอย่างดี
จากสถานภาพสูงส่งแต่ดั้งเดิมในฐานะอัจฉริยะของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ เขาร่วงลงสู่จุดต่ำสุด ได้สัมผัสทั้งความอบอุ่นและความเย็นชาของโลกใบนี้ ประสบการณ์ที่ได้เป็นสิ่งล้ำค่าที่หล่อหลอมให้ตัวเขาเป็นอย่างที่เขาเป็น และนั่นทำให้จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่าที่เคย
ด้วยเหตุนี้ ยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธขั้นราชันย์เทพเจ้าจึงส่งผลดีกับเขามาก ทำให้ฝงจิ่วเกอฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ
ถ้าเป็นคนอื่น คงยากที่จะช่วยให้ฝ่าด่านวรยุทธได้ง่ายดายแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น กายเนื้อของฝงจิ่วเกอยังได้รับการชำระล้างจากพลังปราณของจางเซวียนตอนที่อีกฝ่ายกำลังกำจัดกลุ่มพลังงานสีเทาด้วย ซึ่งนั่นมีส่วนมากในการสร้างรากฐานวรยุทธให้เขา
หลังจากฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จ ฝงจิ่วเกอใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธระยะหนึ่ง สุดท้าย เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์ ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ!”
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก” จางเซวียนตอบ “ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
ฝงจิ่วเกอลุกขึ้นยืนและสัมผัสพละกำลังที่ได้มาใหม่ครู่หนึ่ง “วรยุทธของพลังปราณของผมเข้าถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าแล้ว แต่ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณยังอ่อนด้อย ผมจะต้องบ่มเพาะมันอีกสักหน่อยเพื่อนำสมดุลกลับคืนสู่ภายในร่างกาย”
ถึงเขาจะพบเจออะไรมามากในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ก็ยังอายุน้อยเกินไป จิตวิญญาณจึงยังคงอ่อนด้อย